ตอน 7 เผชิญหน้า
หลังการปลดล็อคทางการเมือง ส.จ.คำสอบตกการเลือกตั้งปีนั้นด้วยคะแนนฉิวเฉียด บางคนบอกว่าเพราะเดินขบวนให้เลิกปลูกป่าไม่ชนะ ก็เลยแพ้ แต่บางคนก็บอกว่าแกแพ้ภัยตนเองเพราะว่าทำเขาไว้เยอะ มณีไม่กล้าเล่าให้ใครฟังว่า พลบค่ำวันหนึ่ง มี อส.คนหนึ่งแอบมาพบ แล้วเสนอให้มณีช่วยลงขันเก็บ ส.จ.คำ เพราะว่าเดินขบวนป่วนการปลูกป่าไม่เลิกง่ายๆ แต่มณีตอบกลับไปด้วยความจริงใจว่า เรื่องแค่นั้น ไม่น่าจะต้องโกรธเคืองถึงขั้นฆ่าแกงกัน อ.ส.คนนั้นกลับไปด้วยท่าทีสุภาพ
ต่อมาการข่าวแอบมาแจ้งมณีให้ระวังตัวมากๆ เพราะว่า ส.จ.คำยังโกรธไม่หาย อาจเพราะว่าสอบตกทางการเมืองแล้วเสียหน้า เสียงกระซิบบอกด้วยว่า นายยักษ์ที่เคยทำงานกับทางหน่วยนั่นแหละคือคนที่ ส.จ.คำสั่งการ มณีรับรู้ด้วยความงงๆ เพราะว่านายยักษ์ก็ทำงานด้วยกันมาอย่างดี และก็ชอบมาหยอกล้อเล่นเมื่อไปตรวจงานสนามบ่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งก็หายไป ไม่มาทำงานที่หน่วยอีกเลย
ส่วนงานปลูกป่าต้นน้ำยังคงดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง เก็บริบสุมเผาครั้งสุดท้ายแล้วปักหลักหมายแนวปลูก ระหว่างนั้นชาวบ้านที่เป็นเจ้าของไร่เลื่อนลอยห้วยสามสบใต้ เข้าร่วมทำกินด้วยการปลูกข้าวโพด ข้าวไร่ ละหุ่ง ฝ้าย มากกว่า 700 ไร่ใน 1000 ไร่
“พี่น้องชาวไร่ครับ เมื่อท่านปลูกพืชไร่ของท่านในสวนป่าของทางราชการ ท่านได้ที่ดินทำกิน หลวงได้ต้นไม้ที่เติบโตดีเพราะว่าทุกครั้งที่ท่านดายวัชพืชใส่ปุ๋ยพืชไร่ของท่าน ผลพลอยได้ตกถึงหลวงด้วย ท่านได้ช่วยทางราชการอีกทางหนึ่ง ระหว่างที่พืชไร่เติบโต ต้นไม้ก็ควรจะเติบโตดีมากด้วย ถ้าหากท่านตัด ทำลาย ถอน ต้นไม้ของหลวงออก มันก็จะเห็นชัดเจน แต่ถ้าท่านช่วยดูแลจนเก็บพืชไร่เรียบร้อย ทางหน่วยจะมีคณะกรรมการไปตรวจไร่แล้วตัดสินว่า ไร่ไหนได้รางวัลอะไร ซึ่งจะแจกรางวัลโดยนายอำเภอ สจ. ครู อาจารย์ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และข้าราชการจากทุกกระทรวงที่มาร่วม ” งานวันประเพณีชาวไร่ที่ภูพยับหมอก ผมหวังว่าเราจะช่วยประเทศชาติด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันนะครับ”
มณียกเหตุผลให้ชาวไร่ฟังในการประชุมลงชื่อเข้าปลูกพืชไร่ในสวนป่า แต่ในใจคิดกลับอีกทีว่า ชาวไร่ทำไร่ หน่วยก็ไม่ต้องดายวัชพืช ประหยัดไปหลายเงิน โกงเข้ากระเป๋าตุงแน่ๆ
แต่ถ้าต้องจัดงานก็หมดหลายเงินแน่ๆ ใช่! แจกรางวัลชาวไร่ก็คงใช้เงินไม่น้อย หมดอีกนั่นแหละ ว้า!
ฝนเดือนหกตกเต็มเม็ด ดินชื้นแฉะ และมีเค้าว่าจะตกสม่ำเสมอแน่นอนแล้ว
“กล้าไม้กราดแดดจนแกร่ง ได้ขนาดที่จะปลูกลงดิน แต่ฝนตกมานี่ดินเปียกแค่ไหนแล้วประเสริฐ?” มณีถาม
“ผมลองขุดดูแล้ว ดินเปียกลงไปลึกกว่าคืบแล้วนะครับ ปลูกได้ช่วงนี้ก็ดี จะได้รับฝนเต็มๆตลอดฤดูกาล” ประเสริฐอธิบาย
“เมื่อคืนพี่นั่งดูสถิติปริมาณน้ำฝนและวันฝนตก ดูท่าปีนี้จะได้ฝนดี พี่ว่า งั้นก็ลงมือได้เลย แบ่งหมวดขนย้ายกล้าไปสำรองไว้ตีนดอยหมวดหนึ่ง อีกหมวดหาบกล้าขึ้นไปปลูก คงต้องขนกล้าไปสำรองไว้สักสามวันแล้วค่อยให้หมวดปลูกเริ่มต้น ประเสริฐจัดการได้เลย”
งานขนย้ายกล้าไม้ไปตีนดอยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แล้วงานปลูกป่าก็เริ่มขึ้น ทุกหมวดทำงานกันตามหน้าที่ การปลูกป่าเริ่มต้นด้วยการแบ่งหมู่ปลูก มีมือจอบขุดหลุมนำหน้า ตามด้วยคนหาบกล้าไม้ไปหยอดลงหลุมหรือข้างหลุม คนปลูกๆ ตามหลังไปเรื่อยๆ แต่ละวันงานเดินไปได้อย่างราบเรียบจนกระทั่งใกล้เที่ยงวันหนึ่ง ประเสริฐไปเดินติดตามงานตามปกติ มีคนงานวิ่งมาหาแล้วตะโกนขึ้น
“ผู้ช่วยครับ ! นางทองไม่รู้เป็นอะไร ล้มลงแล้วเลื่อนไหลไปตามดอย มีเลือดไหลออกมาที่ขาเต็มไปหมดครับ กล้าไม้แหลกหมด” ประเสริฐๆ วิ่งตัดไหล่ดอยลงไปยังตีนดอยอย่างรวดเร็ว
“กล้าไม้แหลกช่างมันเถอะ ! ไปดูคนก่อน” ประเสริฐตะโกนตอบพลางวิ่งพลาง พอถึงตัวนางทองก็สั่งการให้ชาวบ้านสองสามคนช่วยกัน
“ช่วยกันอุ้มดีๆ นะ เดียวผมไปขับรถมารับตีนดอย” ประเสริฐชี้นิ้วบอกจุดรับแล้ววิ่งไปขับรถตะลุยเข้ามารับนางทอง แล้วรีบพาไปโรงพยาบาลนาน้อย นางทองถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ประเสริฐและศรีวรรณนั่งรอระเบียงโรงพยาบาล
“ญาตินางทองใช่ไหมครับ ? นางทองแท้งลูก เสียใจด้วย คงต้องนอนโรงพยาบาลก่อนเพื่อขูดมดลูกและคงต้องให้เลือดด้วย”
ประเสริฐกับศรีวรรณได้ฟังแล้วก็หน้าสลดทั้งคู่ ประเสริฐขับรถกลับหน่วยแล้วรีบเข้าไปเล่าให้หัวหน้าฟัง มณีฟังด้วยความสะเทือนใจ
“พี่ นางทองท้องกี่เดือนไม่รู้ หาบกล้าไม้ไปปลูก ดินลื่นพลาดท่าไถลลงจากยอดดอยลงมาแท้งลูกครับ หมอเลยให้อยู่โรงพยาบาลครับ”
ประเสริฐเล่าด้วยสีหน้าซีดเผือด
“พวกเราก็ไม่มีใครรู้ว่าใครจะท้องหรือไม่ท้อง เห็นทีจะต้องกำหนดมาตราการเรื่องสุขภาพกันหน่อย จะได้ไม่เกิดเหตุสลดใจอีก ยังไงเดี๋ยวคืนนี้เรียกชาวบ้านมาชุมนุมกันหน่อย จะได้ปรึกษาหารือกันว่าจะป้องกันและช่วยเหลือกันอย่างไร”
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ชาวบ้านเดินข้ามสะพานมารวมกันอยู่ที่ทำการหน่วย
“คืนนี้ ทุกคนคงพอจะรู้แล้วนะครับว่า นางทองตกดอยจนแท้งลูก ทั้งผมและประเสริฐไม่มีใครรู้เลย หัวหน้าคนไหนรู้บ้างไหม?”
มณีพูดด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนใจ
“ผมรู้ครับ บ้านอยู่ใกล้กับนางทองและนายทอน แต่หัวหน้าก่อนๆ เขาสั่งให้หยุดงาน รายได้ก็ไม่พอกินครับ หัวหน้าก็มาใหม่ยังไม่รู้เรื่อง พอดีก็มาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน”
“ต่อไปนี้ ถ้าใครท้องแล้วไม่บอก แต่ไปหาบกล้าไม้หรือไปปลูก จนแท้งลูก ผมจะไล่ออก เพราะว่าถ้าบอกปุ๊บผมจะย้ายงานให้มาทำงานในเรือนเพาะชำ งานเบาๆ ได้ เราสูญเสียกำลังของชาติไปอีก 1 คน มันน่าเสียใจไหม ? เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ไม่ว่าคนท้องหรือคนที่ผ่าตัดมาใหม่ หรือคนที่ป่วยเรื้อรังใดๆ หรือแก่อย่างกับลุงเขียน บอกผมหรือผู้ช่วย จะได้ช่วยกันหาทางให้ทำงานตามสภาพร่างกาย งานได้มากน้อยอย่าไปกังวล คนแข็งแรงจะต้องแบกรับงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้งานเสร็จตามแผน”
เสียงพึมพำดังทั้งห้อง
“ประเสริฐ รับผิดชอบเรื่องนี้เพิ่มอีกนะ ใครมีปัญหามาคุยกับผู้ช่วยให้พิจารณาได้เลย” มณีพูดจบแล้วหันหน้าไปทางประเสริฐ เป็นอันรู้กัน
“อีกเรื่องหนึ่ง ผมเห็นสภาพความเป็นอยู่พวกเราแล้วไม่ค่อยสบายใจนัก บ้านคนอยู่นะไม่ใช่เล้าไก่ ผมกับผู้ช่วยอยากจะปรึกษาพวกเราว่า ในจำนวน 32 หลังคาเรือนนั่นน่ะ มีกี่หลังที่อยู่กันหลายครอบครัว ถ้าพวกเราต้องย้ายไปปลูกบ้านที่ห้วยสามสบและดงเปื๋อย โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัย 100 ตารางวา ที่ดินทำกินครอบครัวละ 15 ไร่ สร้างโรงเรียนให้ด่วน และพวกๆ ที่วิ่งเล่นกันจนจะเป็นหนุ่มแล้วเนี่ยได้มีที่เรียน เอาไหม?” มณีจบคำกล่าวก็มีเสียงอื้ออึงรับขึ้น
“ถ้าได้อย่างที่หัวหน้าว่าก็ดีมากๆ เลยครับ พวกผมมาอยู่ที่นี่ก็ละทิ้งบ้านเก่าไปแล้ว แต่ที่นี่ก็อาศัยแค่แรงงานทำมาหากินไปวันๆ ไม่รู้อนาคตเลยครับ” บุญชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น
“ป้าว่า ดีมากเลยจ้ะ จะได้ลงหลักปักฐานอยู่กันให้เป็นหมู่บ้านเดียวกัน แต่จะเอาเงินที่ไหนไปรื้อแล้วสร้างละคะ?” ป้าคำสงสัยทั้งที่เห็นดีมากๆ
“กลางวันใช้คนงานหลวง โกงหลวง กลางคืนใช้แรงงานพัฒนาจากพวกเรา ฟรี กลางคืนคงต้องขอให้พวกเราทุกหลังคาเรือน แม้กระทั่งเด็กและผู้เฒ่าผู้แก่ ลงแรงกันทุกคน เอาหรือไม่เอา?” สิ้นเสียงมณีมีเสียงคุยกันอึงมี่ จนฟังไม่ได้ศัพท์
“ผมเห็นด้วยครับ แต่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่” ศรีวรรณพูดขึ้น
“ใครเห็นด้วย ยกมือ ” มณีถามเสียงดัง ประเสริฐนับจำนวนได้ 19 คน
“ใครไม่เห็นด้วย ยกมือ” มณีถามเสียงดังอีกครั้ง ประเสริฐนับได้ 6 คน
“อีก 7 บ้านไม่ออกเสียง” มณีกล่าวต่อแล้วนิ่ง “เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยครับ”
“ไม่แน่ใจครับ งงๆ อยู่ครับ” ชาวบ้านกลุ่มไมแสดงออกกล่าวขึ้น
“ใช่ เรื่องใหม่ๆอย่างนี้ กลับไปปรึกษากันในหมู่พวกเราก่อนก็ดี แล้วมาให้คำตอบอีกทีหนึ่ง” มณีสรุป “เรื่องนี้ผู้ช่วยคงจะจัดแบ่งหมวดหมู่เพื่อแบ่งงานพัฒนาให้เสมอๆ กัน ” มณีทิ้งท้าย
“บ้านของเรา โรงเรียนของลูกหลานเรา ไม่ร่วมกันก็คงจะต้องอยู่เหมือนเล้าไก่ไปอย่างนี้แหละ” ไอ้น้อยแสดงความเห็น ทุกคนปรบมือให้กราวใหญ่ รอยยิ้มปริ่มว่าจะไหลออกจากดวงตาทุกดวง
“ไม้ที่จะปลูกบ้านละครับ จะเอาที่ไหน”คนหนึ่งถามขึ้น
“เรื่องไม้นี่ ผมว่าคงต้องใช้ไม้เก่าที่มีกันอยู่บ้าง หาเพิ่มเติมบ้าง แรกทีเดียวคงต้องสร้างด้วยเสาไม้กลม พื้นฟาก ฝาไม้ไผ่เฮียะสานแบบลายขัดตาสอง “ประเสริฐกล่าวเพิ่มเติม
“ถ้าผมอยากได้เสาเรือนใหม่ ผมตัดไม้จากหลังเขาได้ไหม?” คนหนึ่งถามขึ้น
“ความจริงตัดไม้ตรงไหนก็ผิดกฎหมายหมดแหละ แต่ชาวบ้านอยู่กันตามธรรมชาติยังไงก็หนีการใช้ธรรมชาติไม่ได้หรอก ผมว่าถ้าเป็นไม้แก่นล่อนล้มขอนนอนไพร ก็น่าจะไม่เสียหายนะ ทิ้งอยู่ในไร่เลื่อนลอยเยอะแยะ ไฟป่าก็ไหม้ไปทีละนิดๆ อีกไม่นานก็ไหม้จนหมด เราเก็บหามาใช้ประโยชน์ก่อนเสื่อมสภาพน่าจะดีกว่า ล้มแล้วเลื่อยมาใช้ได้เลย ”
มณีทิ้งท้ายอย่างไม่เกรงกลัวอะไร เสียงพูดคุยกันเป็นคู่ๆ เกิดความรู้สึกร่วมกันว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ประเสริฐลองมาเล่าให้ชาวบ้านฟังซิว่า ขั้นตอนการทำงานพัฒนาจะเป็นอย่างไร”
“พี่น้องครับ พื้นที่เหนือหน่วยขึ้นไปสองฝั่งห้วยสามสบ ผมรังวัดแล้วมีพื้นที่กว่า 30 ไร่ แบ่งแปลงละ 100 ตารางวา จะได้ที่ดิน 150 แปลง แต่เรามีครอบครัวอยู่เพียง 49 ครอบครัว ใน 32 ครัวเรือน ส่วนอีก 100 แปลงที่เหลือ กันเป็นที่ดินสวนครัวโรงเรียน บ่อปลา และแบ่งให้ลูกหลานที่ยังไม่ได้แต่งงาน แม้แต่เด็กเล็กอย่างศรีวัยน้องด่วนลูกลุงอินทร์ ถนนในหมู่บ้านกว้าง 8 เมตร บนดอยท้ายหมู่บ้านและลานตีนดอยเป็นเขตวัดในอนาคต สระน้ำจะขุดตรงห้วยคดๆ 2 ไร่ครึ่ง สนามโรงเรียนและโรงเรียน 3 ไร่ครึ่ง” ประเสริฐอธิบายอย่างละเอียด
ทุกสายตาพุ่งตรงมาที่ผู้พูดด้วยความหวังและยิ้มแย้ม เด็กๆ ดีใจจะได้โรงเรียนเรียนหนังสือ เป็นภาพที่มณีเห็นแล้วคิดในใจ “ต้องสร้าง” ชาวบ้านคงจะมีความสุขมาก
“พี่น้องครับ งานนี้ทุกคนต้องอดทน เพราะว่าหลังเลิกงานป่าตอนกลางวันแล้ว หกโมงเย็น กินข้าวเสร็จต้องแบกจอบเหน็บพร้ามาร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านอย่างจริงจังและลำบากเต็มที่จนกว่าจะเสร็จสิ้น จะทนไหวไหม?” มณีสรุปตบท้าย
“ไหว ๆๆๆ”
เสียงตอบสั้นๆ แต่มีความหมายมันแสดงถึงความจริงจังที่จะเกิดขึ้น นี่คืออีกความหวังที่ไม่เคยหวัง แต่สำหรับมณีแล้วซึ้งใจในความอดทนที่พี่น้องเหล่านี้ต้องตรากตรำทำงานปลูกป่าต้นน้ำด้วยความยากลำบาก ลำบากขนาดต้องเลือดตกยางออก
วันหนึ่ง มณีเดินทางไปติดต่อราชการที่อำเภอ พบยักษ์คนงานเก่านั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าอำเภอ ต่างส่งยิ้มให้กันและกัน ซึ่งตามข่าวที่ว่า ส.จ.คำสั่งการให้ทำงานสำคัญ มณีตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งคุยกันเหมือนเดิม ยักษ์ขยับให้นั่งที่ระเบียง
“ยักษ์หายไปไหน ไม่มาช่วยผมทำงานเลยนะ” มณีเปรยขึ้น
“แหะๆ ผมเข้าไร่ครับ” ยักษ์ตอบหัวเราะๆ
มณีจ้องหน้านิ่งแล้วถามตรงๆ
“ยักษ์ ! ผมได้ข่าวมานะว่า ส.จ.คำสั่งให้ยักษ์มายิงผม จริงไหม?”
มณีพูดจบก็พูดต่ออีก
“ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ ยักษ์เห็นผมรังแกชาวบ้านไหม ? ”
มณีพูดเสร็จก็ผละจากไป ยักษ์รีบยกมือไหว้แล้วเดินตามไปโอบเอว กระซิบค่อยๆ ว่า
“ ผมทำไม่ได้หรอกครับ ผมรู้ว่าหัวหน้าเป็นคนยังไง ไม่ต้องห่วงนะครับ”
แล้วก็ต่างแยกย้ายกันไปติดต่อราชการ มณีกลับมาหน่วยด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยวแต่..ก็รู้สึกโปร่งขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เรื่องยักษ์และสจ.คำแม้รู้มาจากสายก็ไม่กล้าเล่าอะไรให้ใครฟัง
อีก 6 เดือนต่อมา ยักษ์หายหน้าไปจากหนองห้า ส.จ.คำถูกยิงไส้ทะลักตายด้วยปืนลูกซองทำเอง ปิดฉาก ส.จ.ผู้กว้างขวางเขตอำเภอนาน้อย อย่างสิ้นสงสัย มณีไม่ได้ไปร่วมงานศพเนื่องจากติดราชการกรมป่าไม้ตามปกติเพื่อเบิกค่าจ้างแรงงานให้กับคนทำงาน
เมื่อกลับมาหน่วยก็มีเรื่องเล่าขานกันมากมาย ล้วนแต่สงสัยกันว่า ทำไม ส.จ.คำถูกยิงตาย ใครสั่งเก็บ! ใครเป็นคนยิง ! สาเหตุมาจากเรื่องอะไร ยักษ์หายไปไหนไม่กลับบ้าน
“โจทย์แกเยอะ” เป็นประโยคสรุปสั้นๆ
“ต่อไปนี้ ถ้าใครท้องแล้วไม่บอก แต่ไปหาบกล้าไม้หรือไปปลูก จนแท้งลูก ผมจะไล่ออก”