ตอน ตอน 13 โรงผึ่งเมล็ดไม้
การสร้างหมู่บ้านในฝันใกล้ความเป็นจริงเข้ามาทุกขณะ บ้านหลังสุดท้ายที่สร้างได้ช้าที่สุดคือบ้านลุงพุฒ เพราะว่ามีแรงงานเพียงแรงเดียว ลุงพุฒไม่เคยปริปาก แต่ทุกวันที่เลิกงานจะเดินเข้าป่า ไปตัดไม้ไผ่บ้าง ไม้เสาขนาดโต 2 กำ(สองคืบ) ยาว 8 ศอกครึ่ง บางคนสงสารก็ไปช่วยกันแบกจากป่ามาแล้วช่วยกันตกแต่งให้ดูดี
“หัวหน้าสั่งว่า ถ้าเจอไม้แก่นล่อนให้ตัดมาใช้ได้ ทิ้งไว้ในป่าไฟไหม้ทุกๆ ปีเสียประโยชน์เปล่าๆ แต่ถ้าเจอไม้แตกสองนางสามนางก็ให้ตัดลงมาใช้สักนางสองนาง เหลือไว้สักนางหนึ่ง เป็นการบำรุงป่าให้สวยงามมากขึ้น”
วิเชียรเล่าขณะแบกไม้ช่วยลุงพุฒ
“ไม้อะไรสองนางสามนาง” เผ่นถามวิเชียร
“ไม้ต้นไหนที่แตกหลายง่ามไง ถ้าแตกสองง่ามเรียกว่า สองนาง ถ้าแตกสามง่าม เรียกว่า สามนาง ปกติต้นไม้ที่ดีควรมีนางเดียว”
วิเชียรอธิบายตามที่หัวหน้าเล่า
“อ้อ ! เหมือนมีเมียคนเดียวก็ต้องสวยวันยังค่ำ” เผ่นเข้าใจ
“ผมว่าส่วนใหญ่เป็นไม้ที่แตกจากตอเดิมนะ ถึงมีหลายนาง” เผ่นขยายความตามที่สังเกตเห็น
“เออใช่ ! ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ต้นแม่มันถูกตัดไปแล้ว หน่อที่แตกใหม่ก็มักจะมีมากกว่า 3 หน่อเสมอ แต่เหลือรอด 3 หน่อนี่ถือว่าตอมันต้องใหญ่ แข็งแรง แต่บางชนิดก็ไม่แตกหน่อนะ ตายไปเลย”
วิเชียรเล่าต่อจากประสบการณ์เดินป่ามานานหลายสิบปี
ตกค่ำ การพัฒนาบ้านลุงพุฒมีเพื่อนบ้านมาร่วมกันหนาตา เพราะว่าเป็นหลังสุดท้ายตามที่ผู้ช่วยประเสริฐประกาศหน้าแถวตอนเช้าก่อนออกงาน ตะเกียงเจ้าพายุและตะเกียงแก๊ส 3 ดวงส่องสว่างจ้า เด็กๆ กวาดเศษไม้เศษหญ้ามาใส่กองไฟถูกก่อขึ้นเป็นหย่อมๆ เพื่อให้แสงสว่างเพิ่มขึ้น เผาขยะไปในตัวด้วย
วันนี้ปิดการสร้างบ้านพักหลังสุดท้าย มีขนมนมเนยแจกอิ่มหนำสำราญกว่าทุกวัน ช่างไม้ประจำหมู่บ้านหมายหลุม ระยะถูกต้อง แผนกขุดลงมือทำงาน อีกกลุ่มเกลาไม้เสา อีกพวกเกลาไม้คาน ตง และ พอตั้งเสาได้ไม้คานก็ตีกระหนาบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวเดียว บ้านก็เป็นรูปเป็นร่าง แผนกมุงหลังคาปีนขึ้นไปแล้วงานก็ลุล่วงด้วยความชำนาญ เพราะว่าทำร่วมกันมากว่า 48 หลังแล้ว เป็นอันว่าบ้านลุงพุฒเสร็จเรียบร้อย
“ลุงพุฒ ขึ้นบ้านเอาฤกษ์เอาชัยหน่อย” มณีพูดเสียงดัง ลุงพุฒยิ้มเห็นหมากปากแดง แล้วจูงมือป้าม้วนและตาลูกสาวเดินขึ้นบ้านด้วยความดีใจ ทุกคนตบมือแล้วเฮกันดังลั่น
“บ้านของเรา” ลุงพุฒพึมพำบอกเมียและลูก
“หนูจะนอนที่ไหน พ่อ?” ตาถามขึ้นด้วยเสียงใสๆ นัยตาโตแจ๋วแหวว
“นอนกับแม่กับพ่อซิ ยังเด็กอยู่” ป้าม้วนกระซิบเสียงดังตามแบบฉบับที่ฟังแล้วไม่ต้อง
แคะขี้หู
ลุงพุฒเดินไปดูห้องครัว ห้องนอน ใบหน้าที่มีความสุขชวนให้มณีน้ำตาซึม เป็นความสุขที่ยากจะบรรยายว่า รู้สึกเช่นไรที่ทำให้นกมีรังอยู่ หนูมีรังนอน แต่นี่เพื่อนร่วมชะตากรรมกว่า 200 ชีวิตได้มีบ้านเป็นของตนเองอย่างถาวร มันคือผลพวงของความสามัคคีมีน้ำใจ ให้อภัยและไม่เกี่ยงงอนกันและกัน แม้มิใช่พี่น้องร่วมอุทร
แล้วมณีก็เดินไปที่เนินดินจุดที่จะสร้างโรงเรียน
เกราะดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนเดินไปรวมกันที่มณียืนอยู่ ประเสริฐ และทองม้วนเตรียมแจกขนมหวาน วันนี้ได้กินแปลกออกไปกว่าถั่วเขียวต้มน้ำตาล แต่เป็นกล้วยบวชชีที่แสนจะหวานกลมกล่อมและหอมมันหม้อใหญ่
“เด็กๆ เข้ามาก่อน จัดแถว” มณีตะโกนเสียงดัง เด็กๆ รีบเข้าแถว
“คนเฒ่าคนแก่ต่อมาเลย แล้วก็ผู้ใหญ่ทั้งหลาย กินได้ตามชอบ 2-3 ถ้วยก็ได้ แต่ต้องค่อยๆเวียนมากินนะ”
มณีมองดูพลันความคิดก็แล่น
“นี่ก็อีกความสุขที่กล้วยข้างครัวออกผลมาให้ แต่ดัดแปลงนิดหน่อย เป็นของหวานที่แสนอร่อยลิ้น ได้ทั้งอิ่มท้อง ได้ทั้งอิ่มใจ ได้ทั้งอิ่มความสัมพันธ์ กล้วยน้ำว้าที่ปลูกทิ้งปลูกขว้างพอออกเครือเหลือปลีก็ตัดไปต้มจิ้มน้ำพริก ใส่ต้มข่าไก่ก็ได้ ยำหัวปลีก็อร่อย พอเป็นลูกแก่กินเป็นผลไม้ใกล้ตัว แล้วก็ยังเหลือต้นให้ตัดเอาหยวกมาแกงปลาย่างหรือเป็นผักสดจิ้มน้ำพริกได้อย่างเอร็ดอร่อย ต้องให้ชาวบ้านปลูกกล้วยน้ำว้าทุกบ้าน แจ๋ว”
เสียงทับพีขอดหม้อ กล้วยบวชชีหมด มณีพูดเสียงดังเช่นเคย
“อิ่มท้องแล้วนะ ต่อไปนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องหันมาช่วยกันอีกงานหนึ่งคือ การสร้างอาคารเรียนเพื่อลูกหลานของเราทุกคน แบบที่สร้างผู้ช่วยเตรียมไว้แล้ว พวกที่ขุดดินมาถมเนินเตรียมรับงาน ขาดแต่ไม้เคร่าฝาและเครื่องหลังคาเดี๋ยวหน่วยจัดให้ ส่วนหน้าต่างประตูจะขอบริจาคจากร้านวัสดุก่อสร้าง เสาจะใช้เสาไม้ที่เป็นศาลาเก่ามาดัดแปลงเอา พื้นเทปูนไส้ในใช้ไม้ไผ่ซีกแทนเหล็ก คิดว่าแค่รับน้ำหนักโต๊ะเก้าอี้คงไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราจะเริ่มงานกัน พี่น้องคงต้องช่วยกันสร้างโรงเรียนให้ลูกหลานแล้วเนาะ”
มณีจบด้วยคำวิงวอนเช่นทุกครั้ง นี่คือการพัฒนาที่ไม่ได้จ้าง ค่ำคืนหนึ่งๆกว่าจะเลิกก็ซึ่งก็ปาเข้าไปสองยาม มันเป็นงานที่เต็มไปด้วยความหวัง
วันนี้ก็เหมือนทุกวัน มณีและประเสริฐต่างตื่นแต่เช้าและเข้าที่ทำการ มานั่งกินกาแฟ กินข้าว แล้วก็คุยกันตามปกติ พอได้เวลาประเสริฐก็ออกไปจัดงาน
มณีนั่งทำบันทึกถึงผู้บังคับบัญชาประกอบการเบิกจ่ายค่าวัสดุต่างๆ เพื่อเทลานตากเมล็ดไม้ ในบันทึกมณีอ้างว่า
“จำเป็นต้องสร้างลานตากเมล็ดไม้ จึงขอเบิกปูนซีเมนต์ ทราย หิน เหล็ก ลวด”
มณีสั่งให้ประเสริฐไปเบิกมาจากร้านค้าวัสดุเจ้าประจำ
ค่ำ หลังอาหารผ่านพ้นไปอย่างอิ่มหนำสำราญ ทุกคนออกจากบ้านมาด้วยความตั้งใจ ต่างก็แบกจอบแบกเสียม ลงมือช่วยกันปรับพื้นที่ดินที่ถมสูงให้แน่นเพื่อเทปูน และขึ้นโครงหลังคา คนแข็งแรงทำหน้าที่ผสมปูน ขนอ่อนแอช่วยกันปรับพื้นที่ที่จะเทปูน อีกกลุ่มช่วยกันวางแผงไม้ไผ่แกนกลาง ผู้หญิงและเด็กๆ ช่วยกันขนทราย หิน น้ำ เพื่อให้คนผสมปูนทำงานได้เร็วขึ้น ทุกอย่างพร้อมงานเทปูนลานตากเมล็ดไม้ก็เริ่มขึ้นอย่างขมีขมัน ชั่วครึ่งคืน ลานตากเมล็ดไม้ขนาด 16x20 เมตรก็เสร็จเรียบร้อย โดยมีแนวหลุมที่ขุดเตรียมลงเสาเว้นว่างไว้อย่างลงตัว แต่แล้วก็มีเสียงขี้เมาตะโกนขึ้น ไอ้น้อยเจ้าเก่า
“พัฒนาอะไรกันนักหนาหัวเน่า…….ผมดูแล้วนี่เป็นการกดขี่ประชาชนคนยากคนจน !”
มีเสียงโห่ไล่ดังขึ้น ไอ้น้อยเดินเซถลาเข้ามาร่วมวงด้วยอีกมือถือขวดเหล้า
“มือไม่พายยังเอาตีนมึงราน้ำ เอาซะดีไหมหัวหน้า”
ว่าพลางก็จะเกิดการรุมประชาทัณฑ์ไอ้น้อย ไอ้น้อยยังก๋าไม่เลิก
“เห็นกูเมาเหรอะ เข้ามาเลย”
ปากยังดี แต่ยืนยังแทบจะไม่อยู่ นางแรมโผล่มาจากงานชักกะเย่อถูลู่ถูกังไอ้น้อยกลับบ้าน เด็กๆ ลูกน้อยเดินตามกลับไปด้วยใบหน้าเหยเก
“การพัฒนาทุกคนเหนื่อย ผมรู้ แต่ผมทั้งเหนื่อยและเสี่ยง ที่ยอมเสี่ยงก็เพื่อพวกเราคนทำงาน เพราะฉะนั้น เรื่องแค่นี้อย่าถือสา น้อยมันเมาก็แค่นั้น แต่เมียมันเข้าใจและก็ช่วยงานพัฒนาโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย สงสารเมียกับลูกๆ มัน ขอให้ทุกคนอดทนและอย่าถือโกรธน้อยเลย”
มณีจบคำกล่าวสั้นๆ แล้วก็บอกเลิกงานในคืนนี้ พร้อมยกมือไหว้กราดไปทั่ว
“ขอบคุณๆๆ ทุกๆ คน” ชาวบ้านทุกคนยกมือไหว้ตอบ
อีก 7 วัน ต่อมา มณีบันทึกถึงผู้บังคับบัญชาอีกครั้งแล้วส่งไปทางไปรษณีย์เช่นเคย ข้อความคือ
“ในทางวิชาการป่าไม้ เมล็ดไม้ซ้อเมื่อแก่เก็บได้ต้องปลิดเมล็ดออกล้างน้ำแล้วผึ่งในร่มโรงเรือน ไม่ให้ถูกแดด หากถูกแสงแดดความมีชีวิตจะสั้น ต้องใช้ลมที่พัดผ่านทำให้เมล็ดแห้ง อัตราการงอกและการรอดตายจะสูงขึ้น จึงขอดัดแปลงลานตากเมล็ดไม้เป็นโรงผึ่งเมล็ดไม้”
มณีเบิกกระเบื้องมุงหลังคา น็อต ตะปู สีน้ำทารักษาเนื้อไม้ มณีโก่งราคาการเบิกจ่ายสูงกว่าปกติเพื่อผันเงินออกมาซื้อวัสดุอื่นๆ ที่เบิกไม่ได้
มณีก็ไม่ได้ติดตามแต่อย่างใดว่า ทางกองอนุมัติหรือไม่ หากแต่ลงมือสร้างโรงผึ่งเมล็ดไม้ทันที เรื่องไม้ที่ใช้ มณีใช้แรงงานหลวงเลื่อยทุกวันจนได้ไม้พอเพียงที่จะสร้างโรงเรือน แต่ขอโทษที เสาหน้า 8 นิ้ว ทุกชิ้นส่วนเท่าสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย แน่นหนามาก
อีกหนึ่งเดือนถัดมา การสร้างโรงผึ่งเมล็ดไม้เสร็จเรียบร้อย ได้อาคารเสาไม้จริงหลังคามุงกระเบื้องลอนคู่ โดยมีพื้นเป็นปูนที่เทลานตากเมล็ดไม้ และแทบไม่น่าเชื่อว่ากรมป่าไม้ได้แจ้งเวียนให้เลิกปลูกไม้ซ้อเนื่องจากพบว่า มีการระบาดของหนอนเจาะลำต้น ทำให้ต้นไม้ซ้อตายเป็นผืนใหญ่ โรงผึ่งเมล็ดไม้ซ้อจึงร้างเลิกใช้ประโยชน์ไปโดยปริยาย เข้าล็อคดังโพล๊ะ
มณีทำบันทึกอีกครั้ง เล่าเรื่องแรงงานที่จ้างปลูกป่าต้นน้ำ ขอสร้างหมู่บ้านป่าไม้โดยไม่อาศัยงบประมาณ ในแผนงานระบุจะมีที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและที่ดินทำกิน มีโรงเรียนให้บุตรธิดาชาวบ้านได้เรียนหนังสือโดยดัดแปลงจากโรงผึ่งเมล็ดไม้ซ้อ มีแหล่งน้ำใช้สอย มีการเลี้ยงปลาโตเร็วเป็นอาหาร มีพืชผักสวนครัว และมีวัด
การทำงานพัฒนาเร่งรีบอย่างกับหนีไฟ ไม้ไผ่เฮียะสานลายสองตีเป็นฝา หน้าต่างประตูเป็นไม้จริงที่ได้รับบริจาคมาจากพ่อเลี้ยงนวลในตลาดนาน้อยและคนที่เห็นดีเห็นงามด้วย ไม้ฝาเลื่อยจากไม้ในป่าที่ยังมีให้เลื่อย ด้วยแรงงานหลวงตามเคย ชั่วเวลาที่ผ่านไป 3 สัปดาห์ อาคารเรียนชั้นเดียวเสร็จเรียบร้อย ป้ายโรงเรียนแกะสลักสวยงาม
มณีเดินทางไปพบครูใหญ่โรงเรียนบ้านหนองห้า เพื่อปรึกษาและขอรับการสนับสนุนครูช่วยสอน
“พี่เทียน ทำยังไงดี เด็กๆ จะมาเรียนที่หนองห้าก็ไม่มีค่ารถยนต์เดินทาง มันไกล เสื้อผ้าก็ไม่ค่อยจะมีใส่กันเลย ขอครูไปสอนหนังสือที่ภูพยับหมอกเถอะครับ อาคารเรียนสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าได้ครูไม่พอ จะจ้างลูกจ้างวุฒิครูมาช่วยสอนให้ด้วยครับ”
“ได้ เดี๋ยวผมจะบันทึกเสนอไปว่าป่าไม้สร้างอาคารเรียนยกให้ แต่ไม่มีครู คงต้องเป็นโรงเรียนสาขาของที่นี่นะครับ ”
“เรื่องโต๊ะเก้าอี้นักเรียน มีของเก่าที่ยกทิ้งไว้ไหมครับ ผมจะขนไปซ่อมใช้งานไปก่อน ดีกว่าไม่มี?” มณีถาม ครูเทียนมองสบตายิ้มแล้วตอบ
“ได้ครับ ได้ มีกองทิ้งไว้หลังห้องเยอะเลย จะมาขนไปซ่อมเมื่อไรก็บอกนะครับ”
สัปดาห์ต่อมา มณีขับรถไปขนโต๊ะ เก้าอี้เก่าๆ จากโรงเรียนบ้านหนองห้ามาซ่อม ได้จำนวนตามที่มีความจำเป็น ความฝันเรื่องเด็กๆ จะได้เรียนหนังสือมองเห็นรำไร มณีสั่งให้ประเสริฐจัดมือช่างไม้ลงมือซ่อมแซมโต๊ะเก้าอี้ อีกกลุ่มทาสีอาคาร อีกกลุ่มขนย้ายลงไปเก็บที่ในห้อง กลัวเด็กๆ มาเล่นจะพังเสียก่อน ทุกครั้งที่มีงานพัฒนา ก็เหมือนมีงานมหรสพกลางหมู่บ้าน มีแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุแก็ส มีกองไฟก่อเป็นหย่อมๆ มีคนทำงานและมีเด็กๆ มาวิ่งเล่นส่งเสียงดัง ไม่เหงาสักคืน
“การพัฒนาทุกคนเหนื่อย ผมรู้ แต่ผมทั้งเหนื่อยและเสี่ยง ที่ยอมเสี่ยงก็เพื่อพวกเรา คนทำงาน”