สารคดีเชิงประวัติศาสตร์
เสด็จในกรมฯ กับ ประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี
“เอื้อยนาง”
เทศกาลแห่เทียนพรรษา อุบลราชธานีผ่านไปกว่าสัปดาห์ แต่ร่องรอยหลายอย่างยังคงเหลือให้เห็น เช่น อัฒจันทร์ชั้นที่นั่ง(ชม)ริมถนนหน้าศาลากลางจังหวัด ข้างทุ่งศรีเมือง และศาลหลักเมือง ยังคงรื้อเก็บไม่หมด หากซอกซอนเข้าไปในวัดบางวัดจะเห็นต้นเทียนที่สวยงาม ตระการตา ตั้งเด่นให้ชมไปอีกนาน
ประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี เป็นการจัดการของจังหวัด การท่องเที่ยว องค์กรเอกชน หน่วยงานราชการต่าง ๆ ตลอดสถานศึกษา และวัด ร่วมมือ ร่วมใจในแต่ละปี เพื่อให้งานนั้นดูยิ่งใหญ่ ในทุก ๆ สายตา ที่มาแล
แต่สำหรับชาวบ้านอย่างเราแล้ว หากไม่มีลูกหลานที่กำลังเรียนไปฟ้อน ไปแสดง หรือเป็นสมาชิกคณะกลองยาว เราก็เพียงบริจาคเงินตามศรัทธาให้วัด(ที่ทำเทียนไปแห่ประกวด)แล้วก็แล้วไป ถึงวันบุญ ก็ทำบุญ ทำงานกันเงียบ ๆ ตามปกติของตน อาจซื้อเทียนธรรมดาจากตลาด(แทนเทียนฟั่นที่ทำเองมาแต่โบราณ)ไปถวายวัด ปฏิบัติกิจตามประเพณีชาวพุทธที่ดีตลอดพรรษาอยู่แล้ว แม้ไม่ได้ไปเบียดเสียดร่วมชมขบวนแห่เทียนในถนนเมืองอุบลฯ
แม้ส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์งานศิลป์บนต้นเทียนจะกลายเป็นอาชีพไปแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่ง ในความเรียบง่าย ก็ยังคงทำด้วยความศรัทธา ไม่เสื่อมคลาย
ตำนานการแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานีมีขึ้นกว่าร้อยปีมาแล้ว ตั้งแต่ยุคที่ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ 5 เสด็จมาเป็นผู้สำเร็จราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ณ เมืองอุบลราชธานี(มณฑลลาวกาวยุคนั้น) ซึ่งชาวอุบลยุคนั้นเรียกพระองค์ท่านว่า “เสด็จในกรม”
ในช่วงสมัยนั้นลัทธิล่าอาณานิคมแผ่ขยายเข้ากลืนกินหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลสยามจึงต้องรู้เท่าทัน ปรับนโยบายการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงระบบบริหารภายในให้มีประสิทธิภาพ
ปี พ.ศ. 2436 พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์(ต่อมาเป็นกรมหลวง)จึงต้องเสด็จมาเป็นผู้สำเร็จราชการดังกล่าว ทรงประทับ ณ อุบลราชธานี พร้อมด้วยข้าหลวงใหญ่น้อยตามเสด็จ มาช่วยราชการบ้านเมือง เช่น ม.ร.ว. ปฐม คเณจร(ราชเลขา) , พระยาประเสริฐดำรง(นายแพทย์), พันตรีหลวงสรกิจพิศาล(ผู้บังคับการทหาร), ขุนประเสริฐศุภกิจ(กองแผนที่) และ อื่น ๆ พร้อมด้วย นายทหาร พลทหาร อีกกว่า 500 นาย
เสด็จในกรมตอนนั้นทรงหนุ่มฉกรรจ์(ประสูติ ปี 2400 ดังนั้นชันษา 36 ) มาถึงไม่นานก็ได้สาวงามชาวอุบลราชธานีเป็นหม่อม ถึง 4 คน มีทั้งลูกหลานเชื้อสายเจ้าเมืองเก่า(เจ้าพระตา) และลูกชาวบ้านธรรมดา ท่านมีบุตร ธิดา กับ หม่อม ๆ ชาวอุบลหลายองค์ และเป็นต้นสกุล ชุมพล ( และชุมพล ณ อยุธยา ในปัจจุบัน)
ส่วนข้าราชบริพารของพระองค์ท่านหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ หนุ่มโสด และไม่โสดก็มาหลงเสน่ห์สาวอุบลกันเป็นแถว ๆ ฝ่ายสาวเจ้าชาวอุบลก็ปลื้มชาวบางกอกไม่น้อย แต่งงานเกี่ยวดองกันถึงขนาดลงหลักปักฐาน สืบเชื้อสายเป็นชาวอุบลมาจนปัจจุบันก็มีไม่น้อย
ก็มีเหมือนกันที่ผู้ใหญ่ฝ่ายอุบลคนเก่าคนก่อนไม่แฮปปี้ ไม่อยากให้ลูกหลานว่านเครือไปเจือไปแจม ก็ส่งสาวเจ้าลูก หลาน กลับจำปาศักดิ์เมืองเก่า(เรื่องเล่า จาก คุณ พ่อบำเพ็ญ ณ อุบล)
เหตุฉะนี้ทำให้หนุ่มอุบลหัวอกเป็นหนอง ขวางหู ขวางตา หนุ่มบ้านใหม่ไทบางกอก มักมีเรื่องระหองระแหงกันบ่อย ๆ
ครั้งหนึ่ง มีงานแห่บั้งไฟของคุ้มวัดกลาง เล่นกันสนุกสนานละ หัวอกที่เคยระบมด้วยหนองก็เลยแตกปุ มีการตีกันหัวร้างข้างแตก แลมีคนตาย เสด็จในกรมจึงทรงห้ามไม่ให้มีการแห่บั้งไฟในเมืองอุบลแต่นั้นมา (นอก ๆ ยังมีตลอดมา) แต่ให้มีการแห่เทียนพรรษาแทน
ต้นเทียนยุคแรก ๆ ไม่ได้ใหญ่โต วิจิตร พิสดารดังปัจจุบันหรอก ชาวบ้านจะนำเทียนมารวมกันแล้วมัดติดกับลำไม้ไผ่ ใช้กระดาษเงิน กระดาษทองปิดรอยต่อ นำไปมัดติดกับปี๊บน้ำมันก๊าด แล้วแห่เทียนไปวัด บนเกวียน หรือล้อ ที่ใช้คนลากจูงไป ถ้าใช้วัวลาก ก็จะตกแต่งรอบเขา คอ ข้อเท้าด้วยกระดาษสี แขวนเกราะหรือกระพรวนดังกรุ๋งกริ๋งผสานกับเสียงกลอง กรับ ฆ้องในขวนแห่เป็นที่ครึกครื้น
การทำต้นเทียนได้พัฒนาให้สวยงาม ใช้ฝีมือ ใช้การออกแบบสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จากการหล่อดอก ติดพิมพ์ ลายไทยง่าย ๆ เช่น ประจำยาม กระจังตาอ้อย บัวคว่ำ บัวหงาย ฯลฯ พัฒนามาเป็นงานแกะสลัก บนต้นเทียน สร้างสรรค์รูปแบบแปลกใหม่ หลากหลาย ใหญ่โต ใช้ขี้ผึ้งเป็นร้อยกิโลกรัม ใช้เวลาทำเป็นแรมเดือน มีลูกมือ ช่างเล็ก เณรน้อยหลายสิบในแต่ละต้นเทียน จนช่างทำเทียนอุบลราชธานีเป็นที่ต้องการของจังหวัดอื่น ๆ มากมายในปัจจุบัน กลายเป็นชั้นครู ที่หล่อหลอมขึ้นมาจากความรัก และศรัทธาในพุทธศาสนาโดยแท้
ความใหญ่โต มโหฬาร ของต้นเทียน และงานแห่เทียนในปัจจุบันนี้ ทำให้อดนึกถึงความอลังการของงานศิลป์ งานสร้าง ปราสาทหินในถิ่นอีสานเมื่อหนึ่งพันปีที่ผ่านมาไม่ได้เลยค่ะ