จอมโกงจอมภูตอน 27 ติดปีกให้นกป่า
อินทรีดำ-เรื่อง ปัณณิกา-ภาพ
มณีนั่งกินกาแฟและอาหารเช้ากับประเสริฐตามปกติ วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวแต่เช้า มองไปทางไหนก็เห็นแต่หมอกควันไฟลอยปริ่มยอดไม้ ใบไม้เปลี่ยนสีออกเหลืองบ้าง สีส้มบ้าง ใบแก่จัดปลิดปลิ่วลงว่อนๆ มณีเล่าให้ประเสริฐฟัง
“คำสั่งกรมป่าไม้ห้ามไม่ให้ปลูกไม้ป่าหลายชนิด มีอยู่ชนิดหนึ่งคือไม้ซ้อ ซึ่งเมื่อปลูกเป็นผืนใหญ่มักเกิดโรคระบาดเป็นจำพวกแมลงเจาะลำต้นแบบเดียวกับไม้สัก”
“แต่ของเราปลูกไม้ซ้อดอยหนึ่ง ประดู่ดอยหนึ่ง แดงอีกดอยหนึ่ง สลับเป็นบล็อคก็ไม่เห็นเป็นโรคแมลงอะไรนี่ครับ” ประเสริฐโต้แย้งขึ้น
“กรมป่าไม้เล็งเห็นว่า มีแปลงปลูกไม้ซ้อตายเพราะว่ามีแมลงเจาะลำต้น ซึ่งเป็นหนอนผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่ง ก็เกรงจะเสียมากกว่าได้มั้ง” มณีเล่าต่อ
“อีกชนิดหนึ่งเป็นไม้ยมหอม มีด้วงเจาะยอดหักและมักแตกเป็นหลายนาง ก็เลยสั่งหยุดเหมือนกัน นี่ก็คงจะปลูกเป็นแปลงใหญ่อีกน่ะแหละ หลักวนวัฒนวิทยาของสวนป่าใช้เพียงบางวิธี แต่อีกหลายวิธียังไม่เคยนำมาใช้ การตัดสินใจอาจถูกและอาจผิด แต่เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่ง เราก็เลิกเก็บเมล็ดซ้อก็แล้วกัน อีกอย่าง โรงผึ่งเมล็ดไม้ซ้อของเราก็กลายเป็นโรงเรียนไปแล้ว ”
“ในป่าธรรมชาติที่ผมไปเก็บเมล็ดไม้ซ้อพบว่ามันขึ้นกระจัดกระจายทั่วไปในป่าเบญจพรรณ หรือป่าไม้สัก ผสมผสานกัน ไม่พบว่าขึ้นเป็นผืนใหญ่เลยนะครับ” ประเสริฐเล่าต่อ
“นั่นแหละธรรมชาติของมัน เราไปฝืนธรรมชาติมากไปก็เลยตายหมู่ เสียดายก็แต่ไม้ซ้อปลูกง่ายโตเร็วมาก เนื้อไม้ก็ดี นิ่ม แกะสลักได้สวยงามคล้ายไม้สักทีเดียว ในประเทศมาเลเซียไม้ซ้อเป็นไม้แกะสลักที่ขึ้นหน้าขึ้นตามาก มีราคาแพงด้วย เออ ประเสริฐ ปีนี้ จะเข้าไปนอนที่แก่งหลวงกันไหม?” มณีปรารภขึ้น
“ไปซิครับ ปีหนึ่งได้พักผ่อนสักคืนสองคืนก็ดีหน่อย หลุดโลกไปอยู่กลางป่า หายเครียดครับ ยิ่งไม่เคยไปทะเลกันเลย” ประเสริฐตอบ
“แล้วชาวบ้านล่ะ จับเบอร์เหมือนเดิมหรือ ?“ มณีถามพลางนึกในใจ การเข้าไปท่องเที่ยวนอนชายหาดกลางป่าทำกันมาทุกปีจนแทบจะเป็นพฤติกรรมองค์กรเสียแล้ว อากาศกลางหุบเขาริมฝั่งแม่น้ำน่านที่เรียกว่าแก่งหลวงเย็นสบาย มีน้ำใสๆให้ลงอาบและว่ายเล่น ความสุขเล็กๆของการผ่อนคลาย ชาร์ตแบทเตอรี่กันนั่นเอง
“คงต้องจับเบอร์แหละดีที่สุด ใครๆก็อยากไป ไม่งั้นก็จะกลายเป็นว่าเราไม่ยุติธรรมครับ”
“ประเสริฐดำเนินการเลยนะ ปีนี้เอา 10 คนก็พอ มากนักก็เปลืองเหล้าว่ะ” มณีท้วงนิดๆ ประเสริฐหัวเราะแฮะๆ
ที่หน้าแถวคนงาน ประเสริฐสั่งงานเสร็จก็บอกกล่าวเรื่องไปเที่ยวพักผ่อยหบ่อนใจที่แก่งหลวง
“ปีนี้หัวหน้าอยากให้พี่น้องเราไปด้วยแค่ 10 คนเท่านั้น เหตุผลคือเปลืองเหล้า” ประเสริฐพูดจบ เสียงหัวเราะอย่างครึกครื้นดังขึ้น
“เอ้า จับเบอร์ ใครสละสิทธิ์ก็ไม่ต้องลุกมาจับ โดยเฉพาะผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ใดๆ” เสียงโฮ่หิ้วดังขึ้น เป็นเสียงผู้หญิงที่ไม่พอใจ
“กดขี่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงร้องพร้อมกันอย่างกับฝึกเชียร์มวยทะเล
“คนที่ได้ไป วิเชียร ไว เผ่น ฤทธิ์ เชื่อม ประสิทธิ์แก้ว ลุงชุ่ม ลุงพุฒ” ประเสริฐหยุดนิ่ง ทุกคนมองตาใสๆ แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อีกสองคน ครูใหญ่กับครูน้อยไม่ต้องจับเบอร์ ” เสียงหัวเราะดังอึงมี่ ทุกคนเดินทางไปหน้างานเช่นที่เคย
“เอาครูไปด้วยนี่ ไม่ใช่อะไรหรอก ผู้ช่วยจะขาดคอเดียวกัน” คนหนึ่งพึมพำ
“กูว่าไม่ใช่ขาดคอหรอกมึง แต่กลัวขาดขาด้วยมั้ง” เสียงพูดจบก็หัวเราะคิกๆ
“แล้วเอาลุงชุ่มกับลุงพุฒไปด้วย สงสัยจะให้ไป...ลาตาย” พูดจบก็หัวเราะกันสนุกด้วยความคะนองปาก
เดือนมีนาคมอากาศร้อนมากที่สุด แต่เดือนนี้แหละที่แก่งหลวงน้ำใสสะอาดตาน่าอาบและน่าลงเล่นมาก น้ำใสไหลผ่านแก่งหินขนาดใหญ่ที่ทอดตัวขวางแม่น้ำน่าน ส่งเสียงดังซ่านซ่าตลอด 24 ชม. หาดทรายขาวบริสุทธิ์ แม้จะเม็ดหยาบไปนิดแต่ก็เป็นหาดกลางลำน้ำที่สวยงามมาก ขุนเขาสูงเสียดฟ้าสองฝั่งแม่น้ำน่านมีต้นไม้ใหญ่ทะมึนทึน นี่เปรียบเป็นอีกโลกหนึ่ง
คณะเตรียมตัวกันด้วยความคึกคัก เครื่องครัว ข้าวสารอาหารแห้ง พริกเกลือ ที่ขาดไม่ได้คือปลากระป๋อง ทุกคนเตรียมอุปกรณ์การประมงที่สำคัญเช่น ข่ายตาถี่ ข่ายตาห่าง แห เบ็ดตกปลาแบบฝรั่ง เบ็ดปัก เบ็ดราว ปลาร้าเหยื่อ ไส้เดือนเต็มกระป๋องนม ผ้าพลาสติกกางเต็นท์ ลวด เชือกไนล่อน มีดพร้า เสียม จอบ
และแล้วขบวนก็ออกเดินทางด้วยเสียงโห่ฮาป่ากันสะนั่นหวั่นไหว เป็นความสุขที่ทุกคนรอคอย ประเสริฐใส่หมวกคาวบอยสุดโก้ กางเกงยีน เข็มขัดและเสื้อออกสไตล์พระเอกเดินป่า รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ ส่วนมณีแต่งตัวด้วยกางเกงขาสั้น เสื้อปล่อยชายแบบไปทะเล ดูสบายตาไม่น้อย สวมรองเท้าแตะฟองน้ำธรรมดา ๆ
รถควบตะบึงไปยังแก่งหลวง ผ่านขุนเขาที่ถูกบุกรุกทำไร่เลื่อนลอยนับหมื่นๆ ไร่ แต่ป่าที่เหลืออยู่เป็นป่าดงดิบเขาเต็มไปด้วยไม้ยางแดง ตะเคียนทอง กะบาก ฯลฯ ผ่านสันปันน้ำก็วิ่งลงไปอีก ผ่านป่าถูกบุกรุกอีกเช่นเคย ผืนป่ากว้างใหญ่ไกลแค่ไหนก็หนีไม่พ้นขวานและพร้าฟาดฟัน ป่าไม้ใหญ่ๆล้มลงหมดเหลือแต่ตอ เหลือให้เห็นเพียงไร่ข้าวโพดสุดลูกหูลูกตา ช่างน่าอนาจใจ
มณีมองหน้าผาแสนสวย ผาชู้ แล้วลงไปถ่ายรูป ผ่านดงยางแดงสวยมากก็ลงไปถ่ายรูป เจอชาวบ้านก็ได้ความว่ามาจากบ้านใหม่ บ้านหนองบัว บ้านศรีบุญเรือง บ้านน้ำหก ฯลฯ มณีรู้สึกได้เลยว่า พอเข้าเขตป่าใหญ่และภูเขาสูงอากาศเย็นมากขึ้นๆ
“อีก 12 กม.ก็ลงไปถึงแก่งหลวง ปีนี้คงไม่มีน้ำป่ามาแบบไม่น่าจะเกิดอีกนะ” มณีปรารภขึ้น
“ผมว่าคงไม่มั้ง ปีนี้ไม่มีฝนหลงฤดูเลยนี่ครับ” ประเสริฐพูดขึ้นพลางก็หักรถหลบรถบรรทุกที่ดูท่าจะแบกน้ำหนักพอควร
ที่หาดแก่งหลวง พอรถจอดสนิทใต้ต้นมะเดื่อใหญ่ข้างถนนสายนาน้อยถึงบ้านโคก อุตรดิตถ์ มณีเดินลงไปตกใจมากกับภาพที่เห็น มีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์นอนสองเต็นท์ ยังมีว่างเหลือพอเพียง
“เรากางเต็นท์ใหญ่นอนรวมกันทั้งหมดดีกว่า จะได้ไม่เกะกะมากนัก” มณีพูดขึ้นแล้วช่วยกันยกเสบียงลงจากรถยนต์ คณะพรรคผ่อนนอนหลับกลางป่าทำงานตามหน้าที่ มณี ครูใหญ่ ครูน้อย ประเสริฐ เดินลงไปหากลุ่มนักท่องเที่ยว
“สวัสดีครับ ผมกับคณะอยู่ที่หน่วยปรับปรุงต้นน้ำภูพยับหมอก ริมถนนที่มีบ้านทาร์ซานปลูกบนต้นมะค่าโมงครับ”
“สวัสดีครับ ผมคณะการบินไทยครับ มาพักผ่อนที่นี่หลายครั้งแล้ว อ้อ! ป่าไม้ก็มาพักเหมือนกันนะครับ” ชายสูงอายุรูปร่างผอมบาง ผิวผ่องตอบ พลางก็เดินเข้ามาทักทาย
“ใช่ครับ ! พวกผมมากันทุกปี แต่ปีละครั้ง อยู่ไกลทะเลน่ะครับ ก็เลยมาเที่ยวทะเลบกแทน” มณีพูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม
“ใช่ทะเลบกจริงๆ ยังไงก็ได้พักผ่อนครับ ที่หน้าหน่วยมีบ้านบนต้นไม้นั่นน่ะหรือ ผมเห็นเหมือนกัน ยังชี้ชวนกันให้ดูเลยนะ”
“ถ้าคณะว่างๆ เมื่อไร แวะเยี่ยมได้นะครับ ยินดีต้อนรับ ครูใหญ่มิ่งขวัญกับครูโสภณสอนที่โรงเรียนในหมู่บ้านครับ”
การเสวนาจบเพียงนั้น และเย็นย่ำก็รวมวงเข้าด้วยกัน การเสวนาเฮฮาประสาคนชอบเที่ยวป่าเกิดขึ้น ไวลงไปดักข่าย ฤทธิ์กับเผ่นปักเบ็ดใต้หาดลงไป ลุงชุมดื่มเป็นเพื่อนผู้ช่วยและคณะ ลุงพุฒง่วนอยู่กับการใส่ฟืนเข้าสามเส้าปิ้งย่างปลาสดๆ ทุกคนมีความสุขภายใต้บรรยากาศชายหาดแสนสวยแสนโรแมนติก คณะจากกรุงเทพถ่ายรูปกันไม่ขาดระยะ เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ต้องยอมรับว่า ในช่วงชีวิตหนึ่งคนเราอยากกลับเข้าไปหาป่า
เช้าตรู่ แสงสีทองส่องประกายมาจากทิวไม้ด้านทิศตะวันออก ไอจากผิวน้ำลอยกรุ่นๆ แม้เป็นฤดูร้อน แต่กลางป่าเย็นยะเยือก กลุ่มการบินไทยเดินเล่นกันเป็นคู่ๆ ถ่ายรูปกับแสงสวยยามเช้า กลุ่มป่าไม้นั่งปิ้งย่างปลาที่หาได้ ข้าวนึ่งตั้งบนเส้ากำลังพ่นควันลอยสู่ชั้นบรรยากาศ เผ่นเทข้าวนึ่งลงกระจาดแล้วเกลี่ยให้หมาด อัดลงกระติบแล้วยกไปตั้งรอพวกๆ ที่กำลังเดินมาหา วงกินข้าวกลางหาดทรายเรียบง่ายแต่ได้บรรยากาศกลางป่า คณะการบินไทยยังพักค้างต่ออีกหนึ่งคืน
กลุ่มป่าไม้เดินทางกลับหน่วยด้วยความเหนื่อยอ่อน อดนอนแต่กลับได้ปลามาน้อยมาก ปลาหายไปไหนหมด แต่ความสดชื่นที่ได้พักผ่อนก็ทำให้แบตเตอรี่มีไฟเต็ม พร้อมลุยกันต่อ ส่วนผู้ช่วย ครูใหญ่ ครูน้อย มีเรื่องเหย้าแหย่กันได้ไม่เลิกราจากกีฬาบัตร
มณีเดินทางต่อไปกรมป่าไม้ตามหน้าที่ หัวหน้าฝ่ายปรับปรุงต้นน้ำเรียกให้ไปพบรองอธิบดีกรมป่าไม้คนใหม่ ซึ่งก็คือป่าไม้เขตแพร่คนเก่าที่เคยเตือนมณีว่า รับงานอย่างนี้ ผูกคอตายเสียดีกว่า ผู้อำนวยการกองต่างๆ เรียกว่าเพื่อนร่วมรุ่นท่านรองอธิบดีกรมป่าไม้ มงคล ปราการไชย ประสงค์ที่จะสืบทอดเจตนารมย์ในการจัดตั้งกองทุนมูลนิธิเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ท่าน ซึ่งเป็นคนดีที่เพื่อนๆยอมรับและนับถือ แล้วมณีก็กลับน่านด้วยหัวใจที่พองโต
“คณะท่านรองอธิบดีกรมป่าไม้ ท่านอุกฤต มหากาฬ ท่านป่าไม้เขตแพร่ เสน่ห์ ปราบอธรรม หัวหน้าฝ่ายปรับปรุงต้นน้ำ และผู้อำนวยการกองบำรุง เข้าชื่อเป็นผู้จัดตั้งมูลนิธิ มงคล ปราการไชย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาเยาวชนต่อเนื่องตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบปริญญาตรี ทุนอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนภูพยับหมอก เพื่อกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และจะร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ”
มณีกลับมาที่หน่วยเรียกประชุมเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วเล่าเรื่องการตั้งมูลนิธิมงคล ปราการไชย เพื่อเป็นทุนส่งเสริมการศึกษาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงจบปริญญาตรี แต่งานหนักก็จะตามมา งานเตรียมเปิดป้ายสำนักงานมูลนิธิและหาทุนสมทบเพื่อก่อตั้ง
วันเปิดสำนักงานมูลนิธิ ท่านอธิบดีกรมป่าไม้ รองอธิบดีกรมป่าไม้ ป่าไม้เขตแพร่ หัวหน้าฝ่ายปรับปรุงต้นน้ำ และมีผู้มาร่วมงานอีกมากมายโดยเฉพาะหน่วยงานในท้องที่
“ก่อนอื่น ผมใคร่ขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านได้ยืนขึ้น เพื่อรำลึกถึงคุณมงคล ปราการไชย ผู้ริเริ่มกองทุน 1 นาทีครับ”
อธิบดีกรมป่าไม้กล่าวขึ้นขณะเป็นประธาน
“ขอบคุณทุกท่าน และผมขอกล่าวว่าเพื่อให้การจัดการกองทุนโรงเรียนมีระบบและรัดกุม ใช้แต่ดอกเบี้ยเป็นเงินทุนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด และเรียกชื่อมูลนิธินี้ว่า มูลนิธิมงคล ปราการไชย ขอบคุณผู้มีเกียรติที่กรุณาบริจาคเงินเพื่อช่วยกันสร้างกำลังของชาติให้มีคุณภาพต่อไป”
ท่านอธิบดีกรมป่าไม้และแขกผู้มีเกียรติได้ร่วมกันเปิดแพรคลุมป้ายสำนักงานมูลนิธิ มงคล ปราการไชย กลางหุบเขาบ้านภูพยับหมอก
“เมื่อเยาวชนได้รับการศึกษา มีโอกาส มีงานทำ และก้าวพ้นดงป่าออกไปได้เช่นที่ควรจะเป็น การเคลื่อนย้ายของมนุษย์เกิดขึ้นเป็นวัฏจักร นักเรียนทุนที่สามารถก้าวออกไปได้จะไม่กลับมาหักล้างถางพงอีกต่อไป ป่าไม้ย่อมลดอัตราความเสี่ยงได้มากขึ้น”
เสียงท่านรองอุกฤต มหากาฬ พูดกับเพื่อนๆ ท่านอย่างตั้งความหวัง
“ใช่ มงคลมันคิดถูกต้องแล้ว ที่ติดปีกให้นกป่า” เสน่ห์ ปราบอธรรม กล่าวลอยๆ
“ส่งเสริมการศึกษาเยาวชนต่อเนื่องตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบปริญญาตรี”