ออนซอนวงฟ้อน บ้านดงกะโลง
เมืองปากเซ แขวงจำปาศักดิ์
“เอื้อยนาง”
พระพุทธศาสนาเป็นสื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนบนสองฝั่งโขงมานานหลายศตวรรษ พระพุทธรูปที่สำคัญ ๆ หลายองค์ หลายยุคถูกอัญเชิญข้ามไปข้ามมาสองฝั่งโขงหลายสมัย เช่น พระแก้วบุษราคัม ที่วัดศรีอุบลรัตนาราม ในเมืองอุบลราชธานี อันเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และลูกหลานชาวอุบลได้อัญเชิญออกมาแห่รอบเมืองในเทศกาลสงกรานต์ของทุกปีนั้น บรรพบุรุษอุบลราชธานีก็อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ หรืออย่างพระแก้วมรกตที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เราก็อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ และยังมีอีกหลายองค์ในประวัติศาสตร์สองชาติฝั่งโขง เช่น พระบาง พระสุก พระใส พระเสริม พระโรจน์ พระแก้วผลึก พระเจ้าองค์ตื้อ ที่มีประวัติ ตำนาน การอัญเชิญ แห่แหนข้ามไปข้ามมาสองฝั่งโขง
และครานี้ ผู้เขียนก็มีโอกาสไปทอดผ้าป่าสามัคคีจากวารินชำราบ ไปสู่บ้านดงกะโลง เมืองปากเซ
พระพุทธรูปองค์โต ๒ องค์ถูกบรรทุกบนรถ ๖ ล้อไปส่งที่ด่านช่องเม็ก แล้วมีรถจากบ้านดงกะโลงมารับต่ออีกช่วงหนึ่ง ส่วนชาวคณะญาติโยมให้พาหนะรถตู้ รถปิกอัพพาตามกันไป
ออกเดินทางจากวารินชำราบ อุบลราชธานีตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงด่านช่องเม็กมีญาติพี่น้องชาวบ้านดงกะโลงมารอรับ กว่าจะทำเรื่องผ่านแดนได้ก็เกือบเที่ยงจึงได้ออกจากช่องเม็ก มุ่งหน้าไปข้ามโขงสู่เมืองปากเซ โดยนำรถลงแพขนานยนต์ที่บ้านห้วยเพ็ก(ช่วงนั้นยังไม่มีสะพานข้ามโขง)
ผ่านเมืองปากเซเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางหมายเลข ๑๓ ที่มุ่งไปสะหวันนะเขต ราว ๘ กิโลเมตรก็ถึงบ้านดงกะโลง
บ้านดงกะโลงเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นเดียวกับวัดที่มีสิ่งปลูกสร้างน้อยมาก ศาลาโรงธรรมที่อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานก็เป็นอาคารชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ รูปแบบศิลปะลาวทั่วไป ทำให้ชาวคณะศรัทธาที่เดินทางข้ามฝั่งโขงมาแสนไกลรู้สึกปลาบปลื้มอิ่มอกอิ่มใจอิ่มบุญกันถ้วนหน้าที่ได้มาทำบุญแหล่งขาดแคลนจริง ๆ
ก้าวแรกที่เข้าสู่ดงกะโลงเราถึงขนาดขนลุกด้วยความเขินเลยเชียว เพราะมีแถวสาว ๆ แต่งตัวสวย ๆ มานั่งยอง ๆ เป็นแถวยาวเหยียดจากหมู่บ้านถึงประตูวัด คอยต้อนรับชาวคณะผ้าป่าจากฝั่งไทย ในมือทุกสาวมีพานดอกไม้สีแดงเจิดจ้ายกขึ้นจรดหน้าผากแสดงความเคารพสุดซึ้ง แถวหลัง ๆ ถัดไปเป็นแถวของเด็ก ๆ ยืนกำดอกไม้เต็มกำมือ ทุกคนมีใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข ปรีดิ์เปรม ครั้นรถคันแรกเลี้ยวซ้ายเข้าไปถึงทุกคนก็นั่งลงยองย่อยอมือขึ้นจรดหน้าผาก อย่างนอบน้อมสูงสุด
ถึงวัดแล้ว ชาวดงกะโลงได้แสดงออกถึงความดีอกดีใจในศรัทธาคณะนี้ด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยข้าวปลาอาหาร และพิธีสู่ขวัญ ผูกข้อต่อแขน อวยชัยให้พรสมกับที่เป็นบ้านพี่เมืองน้องที่ประเพณี วัฒนธรรมแทบไม่แตกต่างกันเลยในหลายด้าน นอกจากด้านวัตถุและความสะดวกสบายเท่านั้นที่พี่น้องฝั่งขวารุดหน้าไปกว่ามากมาย
ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวดงกะโลงเห็นหนุ่มเจิ้นลูกชายคนโตของผู้เขียนก็แสดงความรักใคร่เอ็นดูด้วยการผูกเสี่ยวให้กับหนุ่มเจตชาวบ้านดงกะโลงที่มีอายุใกล้เคียงกัน และมีหน้าตาคล้ายกัน ก็เป็นปลื้มกันทั้งสองเสี่ยว และชาวคณะทั้งสองฝ่ายล่ะค่ะ
เสร็จพิธีการสู่ขวัญต้อนรับแล้วชาวคณะศรัทธาจากเมืองวารินถิ่นน้ำแซบจึงได้พักผ่อนนอาบน้ำ อาบท่า ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสเดินเที่ยวในหมู่บ้านตามประสานักสอดรู้สอดเห็น เก็บบภาพถ่ายและแสวงหาข้อมูล แง่มุมละ ตกเย็นจึงได้กลับสู่วัดอีก เป็นเวลาฉลองผ้าป่าพอดี บนศาลามีการสวดมนตร์ไหว้พระ ขณะที่ลานอันกว้างใหญ่ใต้ต้นไม้ใกล้ศาลามีการตั้งเวที ตั้งโต๊ะอาหาร และมีร้านค้าร้านขายเรียงราย
เหล่าสาว ๆ ที่มาเข้าแถวต้อนรับอยู่เป็นทิวแถวแต่แรกมาถึงนั้น ตกกลางคืนมาแปลงกายเป็นนางสาว (นางฟ้อน) ใน “วงฟ้อน” ซึ่งเป็นมหรสพคบงันฉลองผ้าป่าจากฝั่งไทยในครานี้
วงฟ้อนนี้คงจะมีเป็นประจำยามมีงานวัด สังเกตจากพื้นเวทีที่เทคอนกรีตเป็นรูปวงกลมรัศมีประมาณ ๑๐ – ๑๕ เมตร ไว้อย่างถาวร
“วงฟ้อน” ก็คือวงรำวงนั่นเอง ต่างแต่ว่า วงฟ้อนที่บ้านดงกะโลงนี้ ข้างเวทีจัดโต๊ะ เก้าอี้ และร้านขายเครื่องดื่ม เหล้า เบียร์ ไว้บริการนางสาว และแขกทั้งหลายคือลูกค้าให้นั่งดื่มกินกันได้ทั้งคืน
แม้นว่า บ้านดงกะโลงจะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่แขกที่มาเที่ยววงฟ้อนกลับกลับมีมากมายจนโต๊ะไม่ว่าง เบียร์ (เขียนข้างขวดอ่านเป็นไทยได้ว่า เขยลาว) หลายสิบลังขายหมดแต่หัวค่ำ ต้องไปขนมาจากเมืองปากเซอีกเต็มคันรถปิกอัพ คนลาวนั้นดื่มเบียร์เก่งทั้งหญิงและชาย ทำให้วงฟ้อนยืดเยื้อจนซอดแจ้ง(สว่าง) ดวงตะวันโผล่พ้นภูบาเจียง ภูมะโลง ภูเขาแห่งตำนานที่ขวางทะมึนอยู่ทางด้านทิศตะวันออกนั่นแล้วจึงได้เลิกรากลับบ้านกัน
วงดนตรีที่ใช้ประกอบวงฟ้อน เป็นวงดนตรีสากลจากเมืองปากเซ นักร้องส่วนหนึ่งนั้นมาจากห้องอาหาร “สุขสบาย” ในเมืองปากเซ เช่นกัน ดนตรีเริ่มบรรเลงเสียงก้องฟ้าตั้งแต่หัวค่ำ ถึงแม้ขณะที่บนศาลาจะมีการสวดมนตร์ไหว้พระ เสียงดนตรีก็ยังดังกลบไม่ยอมลดรา ผู้เขียนเห็นผู้เฒ่าบางคนออกจะหงุดหงิดว่าน่าจะให้เสร็จพิธีก่อนซึ่งคงไม่เกิน ๒ ทุ่ม จึงวานเด็ก ๆ ให้ไปบอกเขาให้ลดเสียงลงหน่อย พระกำลังสวดมนตร์ ไม่นานเด็กก็กลับมาบอกว่า
“ลดบ่ได้ ย่านแขกบ่มา...ฮ่วย”
นั่นเป็นเพราะแขกของวงฟ้อนไม่จำเพาะอยู่แต่ในหมู่บ้านนี้เท่านั้น เสียงดนตรีนี้จะตามไปฮ้องเฮียกเอิ้นเติน(ร้องเรียกกวาดต้อน)เอาหนุ่ม ๆ แก่ ๆ จากหมู่บ้านอื่นที่อยู่ไกลออกไปทุกทิศทาง ไกลออกไปจนถึงเมืองปากเซซึ่งอยู่ห่างออกไป ๘ กิโลเมตรเชียว ซึ่งก็ได้ผลตามนั้นแหละ ในท่ามกลางความเงียบของยามค่ำคืน เสียงดนตรีจะดังแทรกซอนไปเรียกผู้ได้ยินเดินทางมาจนล้นหลาม คลาคร่ำลานวัด
“วงฟ้อน” นั้นสมชื่อว่าเป็นวงฟ้อนจริง ๆ เพราะไม่ว่าดนตรีจะเล่นเพลงอะไร เพลงไทย เพลงลาว เพลงฝรั่งด้วยจังหวะอะไร ๆ ก็ช่าง ผู้ฟ้อนก็ฟ้อนลูกเดียวทั้งหลายและหญิง สาวลาวทุกคนฟ้อนสไตล์เดียวกันหมด คือ ขยับเพียงมือส่ายไปมาขวาซ้าย กับขาที่ก้าวเนิบ ๆ ไปรอบเวที หนุ่มไทยที่ไปกับคณะ โดยเฉพาะคุณเจิ้นถึงกับมือหดตีนหดเมื่อถูกเชิญชวนให้ออกไปฟ้อนด้วย เพราะเคยแต่เต้นแบบกระยึกกระยือเป็นกิ้งกือถูกแดด
ทุกรอบจะฟ้อนไปเรื่อย ๆ เพียงเพลงเดียว แม้ผู้ฟ้อนกำลังมันขนาดไหน เมื่อจบเพลงก็ต้องหยุดและกลับที่นั่ง แล้วจะเริ่มรอบใหม่ต่อเมื่อมีแขกหนุ่ม ๆ (หรือไม่หนุ่ม) ให้เกียรติ์เปิดเวทีอีกโดยการซื้อบัตร (เงินค่าบัตรนี้หักส่วนหนึ่งเป็นค่าวงดนตรี ที่เหลือเข้าวัด)
ผู้ซื้อบัตรแต่ละรอบจะแจ้งเจตนาของตนว่าต้องการออกฟ้อนกับนางฟ้อนใด แล้วจะมีการเชิญนางฟ้อนนั้น พร้อมเพื่อนอีกสองคน รวมเป็นสามนางไปยืนเรียงแถวที่หน้าเวที หนุ่มผู้ซื้อบัตรพร้อมเพื่อนอีกสองก็ไปโค้งอย่างสุภาพ แล้วฟ้อนเคียงกันไปรอบเวที คนอื่น ๆ คู่อื่นๆจึงออกไปฟ้อนด้วย นางสาวดาวเด่นบางคนถูกเรียกชื่อเกือบทุกรอบแทบไม่ได้นั่งเลย ส่วนคนอื่นๆ ที่คอยตามก็แทบไม่ได้นั่งเช่นกันนั่นแหละ หนุ่มบางคนฟ้อนอยู่ทั้งคืนไม่เคยควักเงินกีบซื้อตั๋วเลยก็มี
วงดนตรีจึงเล่นแบบ เล่นหนึ่งเพลงแล้วพัก สลับกับการพูดป่าวร้องของโฆษก ซึ่งจะกล่าวเกริ่นถึงหนุ่มผู้ให้เกียรติเปิดวงฟ้อนแต่ละรอบว่าเป็นใคร มาจากไหน บอกชื่อ บอกตำแหน่ง หน้าที่การงาน พร้อมสรรเสริญยาวเฟื้อย พร้อมนั้นก็เชิญพี่น้องป้องปลายทั้งหลายแหล่ ทั้งแม่หญิง พ่อชาย ผู้กำลังหลับใหลอยู่ในบ้าน ให้ออกมาร่วมฟ้อนต้อนรับผ้าป่าจากพี่น้องฝั่งไทยด้วยกัน....เด้อ...ว่าไปยืดยาว กว่าจะได้ฟ้อนแต่ละรอบแทบหลับก่อน ผู้เขียนเองดื่มเบียร์ลาวไปจอกเดียว(จอกพลาสติกเล็ก ๆ สีสดใส) ก็ออกอาการเซแล้ว ต้องขึ้นไปนอนบนศาลา ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนตีสี่ เสียงดนตรี เสียงโฆษกยังป่าวร้องก้องดัง ต้องลุกขึ้นมาร่วมวงทั้งร้องเพลงทั้งฟ้อนจนสว่างคาตาเรียกว่าออนซอนแท้ ๆ
ที่ออนซอนหลายก็คือ แม้วงฟ้อนจะทำการบรรเลงอยู่ทั้งคืนจอดแจ้ง เหล้าเบียร์ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เขาก็เดินฟ้อนเรื่อย ๆ อยู่แบบนั้นทั้งคืน ได้เวลาพูด ผู้พูดก็พูดไป ผู้เล่นนดนตรีก็เล่นไป หามีใครทำเรื่องราวตีรันฟันแรงแย่งนางสาวฟ้อน หรืออวดศักดาหน้าเวที เหมือนวงหมอลำซิ่งบ้านเราแต่ประการใดไม่...ฮ่วย
ออนซอนหลายเด้ค่ะ...