เสน่ห์อยุธยา
๒.เหงาสงัดเงียบไปดั่งไพรสณฑ์
"เอื้อยนาง"
ฉันถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงแว่ว แต่คราวนี้เป็นเสียงขับกลอนสุนทรภู่ ผสานเสียงดนตรีไทยแว่วหวาน และแสนเศร้า เคล้ามากับสายลมยามรุ่งอรุณ
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้ารกชัฏสงัดคน...”
“คัม...ออน...” เสียงเล็กแหลมดังขึ้นข้างหู พร้อมมือน้อย ๆ แต่เปี่ยมพลังยื่นมาฉุดฉันให้ลุกขึ้นแล้วพาล่องลอย ปลิวไป ไร้น้ำหนัก ออกจากห้องพักผ่านย่านที่ภูมิทัศน์ดูแปลกตา เห็นเพียงหลังคาจั่วของอาคารบ้านเรือนวิบวับในหมู่ไม้ แม่น้ำ และคูคลองมองเห็นเป็นเส้นขาวราวกับงูใหญ่ทอดตัวนอนยาวเหยียดไม่เห็นหัวเห็นหาง
“จะไปไหนกัน” ฉันเอ่ยถามแต่ไม่มีเสียงตอบ มือน้อยทรงพลังยังคงฉุดให้ฉันล่องลอย ผ่านบ้านเรือน ผู้คน ที่เรียงรายอยู่ริมคลอง น้ำเปี่ยมตลิ่งจนรุกล้ำเข้าไปถึงใต้ถุนบ้าน เด็ก ๆ ตัวเปลือยเปล่ากระโดดลงจากชานบ้านที่ยื่นล้ำสู่ลำคลองลงพื้นน้ำเสียงดังตูมตาม ๆ ผสานเสียงหัวเราะหยอกล้อ แต่ต้องหยุดชะงักไป ด้วยเสียงผู้ใหญ่ที่กำลังพายเรือผ่านมาตะโกนไล่ให้ขึ้นเรือน แล้วตัวเองก็จ้ำพายพาเรือออกสู่กลางน้ำ มุ่งไปสมทบกับอีกหลาย ๆ ลำ ที่ดูต่างเร่งรีบบ่ายหน้าตามกันไปสู่แม่น้ำใหญ่
ทันใดนั้น เจ้าตัวน้อยก็ฉุดฉันมานั่งบนเรือลำหนึ่งที่เจ้าของคนพายเรือเป็นหนุ่มใหญ่หน้าตาดุดัน เขาเร่งรีบจ้ำใบพายเสียงดังจวบจาบ จนเหงื่อพราวไปทั้งร่าง ครั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นฉัน กับเด็กหัวสีน้ำตาลเขาก็ชักสีหน้า อ้าปากค้างพูดไม่ออกอยู่เป็นครู่
“ไปด้วย” เจ้าเด็กหัวลูกตาลเอ่ยออกมา หนุ่มนั้นจึงร้องขึ้นเสียงดังราวกับฟ้าผ่าว่า
“ไม่ได้ เด็กกับผู้หญิงไปไม่ได้ ขึ้นเรือนเดี๋ยวนี้เลย ” ไม่พูดเปล่ายังทำท่าจะเอาใบพายมาฟาดหัวเราอีกแน่ะ เจ้าหัวลูกตาลเลยฉุดดึงฉันพาล่องลอยอีกหน
“กลับบ้านไปเลย พม่ายกมากันเต็มวัดหน้าพระเมรุแล้ว” เขาสำทับ คงรีบร้อนจนลืมแปลกใจในการไปการมาของเรา ยังคงก้มหน้าก้มตารีบเร่งตามเรือลำอื่น ๆ มุ่งหน้าสู่ทิศทางเดียวกัน ทั้งหมดแต่งตัวเหมือนนักรบโบราณ
เสียงผู้คนบนฝั่งร้องตะโกนเรียกหากันดังโหวกเหวก เสียงเด็กร้อง เสียงรัวกลอง
ดังสับสน ฉันมองเห็นภาพผู้คน ผู้หญิง เด็ก ผู้เฒ่า ผู้แก่ บ้างอุ้มลูกจูงหลาน บ้างแบก บ้างคอน หาบกระบุงตะกร้า บ้างอุ้มหม้อไห หลบหนีซอกวอนหาที่ซ่อน หาที่กำบังข้าศึก
เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นตามตูม ๆ ฉันมองเห็นแสงไฟลุกโพลงอยู่ข้างหน้า มือน้อย ๆ ที่เกาะกุมอยู่กระตุกอย่างแรงพาลดเลี้ยวสู่ที่มีแสงไฟ ที่มองเห็นพุ่งโพลงขึ้นเหนือแมกไม้ และหลังคาอาคารที่สะท้อนแสงอยู่เรืองรอง
ใกล้เข้าไป เสียงปืนใหญ่ดังรัวสนั่นไหว เสียงผู้คนหวีดร้องดังสับสนอลหม่าน
แล้วเสียงสวดมนตร์ก็ดังขึ้นกลบทุกเสียงให้กลืนหาย ผู้คนด้านล่างที่มองเห็นเดินวิ่งวุ่นวายขวักไขว่อยู่แต่แรกพากันหยุดนิ่ง นั่งลง พนมมือ ต่อหน้าแสงเทียนดวงน้อย ควันธูปพุ่งกระจายในอากาศ ต่อพระพักตร์พระพุทธรูปที่นิ่งสงบคล้ายมองดูทุกผู้คน
ฉันตามเจ้าหัวลูกตาลแหวกผู้คนเข้าด้านใน ยังอกสั่นขวัญหาย กับเสียงหวีดร้องสับสนอลหม่าน เสียงปืนใหญ่ที่ถั่งโถมทำลายล้าง อย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ หมายให้ถล่มทลายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ใจจึงยังหวั่นหวาดตกหล่นคล้ายวิญญาณจะหลุดลอย จึงรู้สึกคล้ายดั่งมือเล็กที่เกาะกุมนั้นเป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายที่มีให้คว้าไว้เพื่ออุ่นใจ
แต่เสียงสาธยายมนตรา กับกลิ่นธูป ควันเทียน ผสานกลิ่นดอกไม้ และน้ำอบหอม กลับคล้ายเป็นพลังอีกสายฉุดฉันไว้ให้นั่งลง เป็นดั่งพลังต่อต้านมือน้อยที่ฉุดดึง ฉันขัดขืนและก้มลงกราบพระตรงหน้า ขณะพลังจากมือน้อยพยายามจะฉุดดึงรั้งไว้ เมื่อทำไม่ได้ร่างเล็ก ๆ ก็ยืนนิ่งสูงเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คนที่หมอบกราบ เขาทำหน้าบึ้งตึงยืนขึงขึ้งโกรธ
“นั่งลงซี นั่งลงไหว้กราบ” ฉันพยายามใช้เสียงป้องปราม รู้สึกมีความปรารถนาดี อยากจะให้เขาปลอดภัย เช่นคนที่รักและห่วงใยกัน แต่เขากลับใช้พลังฉุดฉันให้ลุกขึ้นจนได้
เสียงสาธยายมนตร์จบลง มีเสียงดนตรีไทยกับเสียงขับกลอนสุนทรภู่ที่ได้ยินแต่แรกตื่นดังขึ้นมาแทน ผู้คนที่หมอบกราบอยู่ต่างลุกขึ้นเดินกันออกไป หลีกทางให้ผู้มาใหม่ทยอยเข้ามาสับเปลี่ยนหมุนเวียนไม่ขาดสาย
“อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดั่งไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มโหรีปี่กลองจะก้องกึก จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา เมื่อแรกอยุธยายังเจริญ...”
เสียงนั้นเป็นพลังใหม่ให้ฉันฉุดดึงเจ้าหัวลูกตาล พาแหวกผู้คนออกมาจากอาคารที่ประดิษฐานองค์พระ ไต่บันไต่ลงมาหลายขั้นจึงได้รู้ว่า นี่เป็นโบสถ์ที่ตั้งบนฐานสูงสง่างาม มีหน้าบันไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรอร่ามเรือง ผู้คนเดินกันขวักไขว่กลายเป็นนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติพันธุ์ เสียงดนตรีไทย และเสียงขับกลอนสุนทรภู่ดังแว่วหวานมาจากศาลาหลังเล็กมุมโบสถ์นั่นเอง รถหน้าเตารีดคันเก่าจอดนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เคียงข้างศาลา เพื่อนฉันนั่งหน้าคร่ำเครียดอยู่บนรถ ครั้นมองเห็นฉันเธอก็ลิ่วมาทันที
“ฉันตามหาเธอแทบทั้งเมือง อยากมาไหว้พระวัดนี้ทำไมไม่ชวนกัน ไหนเมื่อคืนว่าจะไปบ้านญี่ปุ่น ฮอลันดา”
เพื่อนบริภาษไปยืดยาว ฉันกลับมัวก้มมองหน้าเจ้าของมือน้อยที่เกาะกุมกันไม่เคยวางตั้งแต่มาถึง แต่บัดนี้กลับละมือแล้วหันกลับไปหากลุ่มนักท่องเที่ยว
“ไปไหนน่ะ”
ฉันร้องตามแล้วรีบวิ่งไปฉุดดึงไว้ แต่ยังช้าไป เพราะเจ้าตัวดีวิ่งไปชนนักท่องเที่ยวฝรั่งสาวใหญ่คนหนึ่งในอาการโผผวาเข้าหาจนผู้หญิงร่างใหญ่โตคนนั้นล้มลงด้วยแรงปะทะ
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ” ฉันยื่นมือไปพยุง เธอลุกขึ้นมาอย่างงง ๆ คนทั้งหลายในที่นั้นต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน ด้วยแววตา และสีหน้าแปลก ๆ เพื่อนฉันนั้นทำท่าอายแทน พลางดึงแขนฉันพาไปขึ้นรถหน้าเตารีดในทันใด
“เป็นอะไรไปฮึ ดูไม่มีสติสะตังชอบกล”
เธอว่า แต่ฉันไม่ได้ตอบมัวมองหาเจ้าตัวดีที่ถูกกลืนหายไปในหมู่นักท่องเที่ยว นักแสวงบุญ นักแสวงโชค ที่เดินกันขวักไขว่ เพราะใคร ๆ ต่างเชื่อว่าวัดหน้าพระเมรุแห่งนี้ที่รอดพ้นจากไฟเผาผลาญคราพม่ายกมาย่ำยีนั้นเพราะความศักดิ์สิทธิ์จึงต่างมุ่งมาจนล้นหลามทุกวัน
เสียงดนตรีไทยผสานเสียงสาธยายมนตร์พร่ำบ่นอวยพรฟังคล้ายเสียงประทัดดอกไม้ไฟในงานเฉลิมฉลอง เป็นทำนองดั่งเสียงกลองศึกรัว และเสียงปืนไล่ล่า
นกพิราบตัวน้อยกรีดปีกพลิกพลิ้วพาตัวปลิวลอยเหนือหลังคาโบสถ์ที่สูงลิ่วเรืองรอง ไทรต้นใหญ่กวัดแกว่งใบไหวน้อย ๆ อย่างมีความสุขเมื่อลมพัดพา
อดีต ปัจจุบันของผู้คนหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน แต่ไทรนั้นยังยืนยง
๐๐๐๐๐๐๐