เต้นรำจังหวะจิงโจ้
“เอื้อยนาง”
จิงโจ้เป็นสัตว์พื้นเมืองออสเตรเลียในกลุ่มมาร์ซูเพียล (Marsupials) คือสัตว์ประเภทมีกระเป๋าหน้าท้อง สำหรับเก็บตัวอ่อนไว้ข้างในกระเป๋านี้จนกว่าจะเติบโตแข็งแรง หากินได้ สัตว์เภทนี้ที่มีในออสเตรเลียได้แก่ วอลล่าบี วอลล่ารู หนูจิงโจ้ และพอสส่อม เป็นต้น
จิงโจ้มีความสำคัญต่อชาวพื้นเมืองมาแต่โบราณ เนื้อของมันใช้เป็นอาหารได้อย่างดี หนังของจิงโจ้ใช้ทำประโยชน์ได้มากมาย ชนบางเผ่าถือเอาจิงโจ้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของชาวเผ่า ท่ารำบางจังหวะในพิธีกรรมสำคัญของเผ่า คือ พิธีเคอรอบอรี( Corroboree ) จะมีลีลาคล้ายการกระโดดของจิงโจ้ เช่นเดียวกับในตำนานเรื่องนี้
นานมาแล้วตั้งแต่สัตว์ทั้งหลายเพิ่งกำเนิดขึ้นในโลก จิงโจ้ก็เดินหรือวิ่งไปไหน ๆ แบบสัตว์สีเท้าทั้งหลายเขาเดินกันนั่นแหละ และในครั้งนั้นยังมีจิงโจ้หนุ่มน้อยตัวหนึ่งเที่ยวเตร็ดเตร่ไปตามทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลและเขียวขจี มันเดินทางไกลออกไปในดินแดนอันเวิ้งว้างกลางทวีป
คืนหนึ่งจิงโจ้หนุ่มมองเห็นแสงริบหรี่ของเปลวไฟวิบไหวมาจากที่ไกลแสนไกล
“แสงไฟอะไรกันนะ”
มันรำพึงพลางเพ่งมอง
ตรึม ๆ ๆ.....
มีเสียงกลองดังมาด้วย สร้างความสนใจให้มันอีกเป็นเท่าทวีคูณ มันจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น
ใกล้เข้าไป ใกล้จนได้ยินเสียงหมู่คนร้องเพลงสวดประสานเสียงกลองดังมาด้วย
นั่นเป็นการประกอบพิธีเคอรอบอรีของกลุ่มชนเผ่าหนึ่งนั่นเอง จิงโจ้น้อยค่อย ๆ คลานเข้าไปใกล้ ๆ ใกล้จนมองเห็นพวกผู้ชายกำลังเต้นรำไปรอบ ๆ กองไฟ เนื้อตัวหน้าตาของพวกเขาลายพร้อยด้วยการแต้มสี ที่ขาและลำตัวมีพู่ใบไม้ไหวระริกตามจังหวะการเต้น มันอยากรู้ว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นที่นั่นกันนะ มันจึงนั่งหมอบลง ยื่นอุ้งเท้าหน้าออกไปคู้ขาหน้าเข้ารองรับร่างตัวเองอย่างเตรียมพร้อมจะกระโจนไปข้างหน้า และหลบหนีทันทีที่มีใครเห็นเข้า ก่อนหมอบนิ่ง และเพ่งมอง
ไฟกองโตลุกโพลงอยู่กลางวงเต้นรำ เหล่านักเต้นทั้งหลายกำลังเต้นกันอย่างเมามัน
เสียงดังรัวจังหวะออกมาจากกลองที่ทำจากหนังพอสส่อม กลุ่มผู้หญิงที่นั่งอยู่ถัดไปกำลังใช้ไม้กระบอง และบูมเมอร์ฟาดตีให้เกิดเสียงดัง ประสานกับเสียงร้องเพลงของพวกเธอ
เสียงกลองและเพลงดังเป็นจังหวะเร้าใจ
จิงโจ้น้อยหมอบนิ่งเบิ่งมองไม่กระพริบตา
นานหลายชั่วโมงที่หัวของมันก่ายเกยอยู่บนอุ้งเท้าหน้า แน่นิ่งไม่ไหวติงราวกับต้องมนต์ขลัง
หัวใจของจิงโจ้น้อยเต้นแรงขึ้น ด้วยความตื่นเต้น ขนลุกลุกชัน อุ้งเท้าหน้าของมันเริ่มกระดิกเป็นจังหวะตามเสียงกลองและเพลง
วู๊ว....!! มันตะโกนร้องขึ้นทีหนึ่งอย่างลืมตัว พร้อมกับดีดขาพาตัวเองพุ่งออกไปข้างหน้าราวกับลูกธนูสู่วงเต้นรำทันที
ตรึม...ๆ....ๆ.... เสียงกลองก้องดัง
ฮอพ ๆ ๆ .....จิงโจ้น้อยกระโดด
มันกระโดดโลดเต้นตามจังหวะกลอง ยืดตัวขึ้นยืนด้วยสองขาหลังเลียนแบบมนุษย์ หางยาว ๆ สบัดแกว่งไกว ในขณะสะโพกส่ายไปขวาซ้าย ๆ
ครั้งแรกไม่มีใครสนใจมัน จิงโจ้น้อยจึงเต้นไปเรื่อย ๆ อย่างเมามัน เพราะสนุกเต็มที่
ทันใดนั้น ว๊าว.....กลุ่มผู้หญิงร้องตะโกนขึ้นด้วยเสียงแสดงความตื่นเต้น กึ่งตกใจกึ่งชื่นชมในลีลาท่าเต้นอันน่าอัศจรรย์ของเจ้าสัตว์สี่เท้าจิงโจ้น้อยตัวนี้
ช่างน่ารักแกมขบขันอะไรเช่นนั้น
หางยาวเฟื้อยของมันกวัดแกว่งไปมา สะโพกโยกส่ายกระดุ๊กกระดิ๊ก พลิกผันไปตามจังหวะเร้าใจ
และแล้วกลุ่มนักเต้นชายก็ชะงักเท้า ไปทีละคนสองคน หันมาสนใจท่าเต้นของเจ้าสัตว์สี่ขา
และบางคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน และรู้สึกสนุกไปด้วย มีบ้างเหมือนกันที่กลั้นไม่อยู่ก็หัวร่อ
งอกลิ้งลงไปกับพื้น ที่สุดในวงเต้นรำก็เหลือแต่จิงโจ้น้อยเพียงคนเดียว
เสียงกลอง เสียงเพลงยังคงรัวดัง แต่คราวนี้มีเสียงห่อปากฮา เสียงปรบมือให้จังหวะประสานขึ้นด้วย
จิงโจ้น้อยยังคงเต้นฮอพ ๆ ๆ....ไปรอบกองไฟอย่างเมามัน มันเปลี่ยนท่าเต้นจากสองขา เป็นสี่ขา ส่ายก้น แกว่งหางสลับไปมา
ที่สุดกลุ่มผู้ชายนักเต้นก็ทนดูอยู่ไม่ไหว นึกสนุกไปด้วยจึงคว้าหนังพอสส่อมมาม้วนเป็นท่อนกลมแล้วทำการต่อเข้าข้างท้ายตนเองดูคล้ายคนมีหางยื่นยาวออกมา ก่อนกระโดดฮอพ ๆ ๆ....เข้าไปเต้นตามหลังเจ้าจิงโจ้
มือทั้งสองยกขึ้นไว้แค่อก แล้วแกว่งส่ายไปมาให้เหมือนขาหน้าเจ้าจิงโจ้ ดูตลกสนุกสนานจนคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็กระโจนเข้าไปทำตามบ้าง
ผลับ ๆ ๆ..... เสียงปรบมือ
ตรึม ๆ ๆ ......เสียงกลองหนังดังประสานกัน ปลุกอารมณ์ของเหล่าผู้ประกอบพิธีให้ครึกครื้น ต้องลุกขึ้นมากระโดดฮอพ ๆ ๆ...ตามหลังจิงโจ้
การเต้นรำจังหวะ ฮอพ ๆ ๆ ....แบบจิงโจ้ดำเนินไปตลอดคืนจนแสงเงินแสงทองเริ่มสาดส่องทอทอดรัศมีจับที่ขอบฟ้า อากาศสดชื่นของยามเช้าแผ่เข้าครอบคลุมทั่วแค้มป์ไฟ การเต้นรำจึงหยุดลง
กลุ่มผู้ชายหันหน้าเข้าปรึกษากัน ในขณะกลุ่มผู้หญิงอุ้มเอาเจ้าจิงโจ้น้อยเข้าไปไว้กับตัวอย่างรักใคร่ และชื่นชม
แต่พวกผู้ชายที่เป็นหัวใจของพิธีกำลังคิดหนักว่าจะทำอย่างไรกันดี จิงโจ้มาร่วมในพิธีเคอรอบอรีอันศักดิ์สิทธิอย่างนี้ไม่เคยมีมาก่อน
“ฆ่ามันทิ้งเสีย”
“ทำอย่างนั้นได้อย่างไร”
ในที่สุดความคิดเห็นก็แตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่า
“ชะตากรรมของมันมีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น เพราะมันเป็นสัตว์แต่กลับได้มาเข้าร่วมในพิธีอันศักดิ์สิทธิของเรา มารับรู้เรื่องราวและความลับของพวกเรา ซึ่งแม้แต่ผู้หญิงในเผ่าเรายังไม่มีสิทธฺเลย”
อีกฝ่ายให้เหตุผลแย้งว่า
“แต่พวกเราก็ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากจิงโจ้น้อยเช่นกันนี่นะ ในคืนนี้เขาสอนเราให้รู้จักการเต้นรำในลีลาท่าทางแบบใหม่ มันน่าจะให้รางวัลแก่เขามากกว่าจะทำโทษเขาน่ะ”
การวิเคราะห์หาเหตุผลที่เหมาะสมดำเนินต่อไปอีกยาวนาน ในที่สุดท่านผู้เฒ่าผู้ปัญญาเฉียบแหลมที่สุดจึงตัดสินว่า
“เอาเถอะ....” ท่านเอ่ยขึ้นเนิบช้าชัดถ้อยชัดคำ พลางกราดมองดูทุกคน “ถึงอย่างไรจิงโจ้น้อยก็ได้เข้าร่วมในพิธีสำคัญของเราในครั้งนี้แล้ว และเขาก็พยายามทำอย่างเราด้วยการกระโดดสองขา และพวกเราก็ได้เรียนรู้ท่าเต้นรำแบบใหม่ที่วิเศษที่สุดเท่าที่พวกเราเคยมีมา ดังนั้นนับแต่นี้ไปเราจะถือเอาท่าเต้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธี และเราจะถือเอาจิงโจ้เป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าของเรา ก็แล้วกัน ส่วนจิงโจ้นั้นนับแต่วันนี้ไปเจ้าจะต้องเดินอย่างมนุษย์ คือใช้เพียงสองขาหลังในการท่องไป หากต้องการให้ร่างการเกิดความสมดุลก็ใช้หางของเจ้าช่วยค้ำยันก็แล้วกันนะ”
เมื่อไม่มีผู้คัดค้านท่านผู้เฒ่าอีกคนจึงตัดสินว่า
“ในเมื่อเรายอมรับเอาท่าเต้นรำแบบจิงโจ้แล้ว เราก็ต้องรับเอาจิงโจ้เข้าเป็นสมาชิกในเผ่าของเราด้วยสิ”
ดังนั้นจิงโจ้น้อยจึงถูกจับตัวมาจากพวกผู้หญิง ชายคนหนึ่งจับตัวเขาไว้ และชายอีกคนก็ใช้ก้อนหินเลาะฟันหน้าเขาออกเหมือนที่พวกเขากระทำต่อเด็กผู้ชาย ที่ผ่านวัยเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และถือว่าได้เป็นสมาชิกของเผ่าอย่างสมบูรณ์แล้ว แล้วจึงปล่อยจิงโจ้กลับสู่ทุ่งหญ้าของมัน
นับแต่วันนั้นมา จิงโจ้ก็เดิน หรือกระโดดด้วยขาหลังทั้งสอง ส่วนขาหน้าก็สั้นกุดเข้าดูคล้ายมือของมนุษย์
การเต้นรำลีลาแบบจิงโจ้ก็เกิดมีขึ้นแต่นั้นมา
JJJ