การขอพระราชทานอภัยโทษ
กรณีอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
ต้องกลับมาจำคุกก่อนหรือไม่?
โดยอาจารย์ตุ้ม มธ.
การขอพระราชทานอภัยโทษเป็นประเด็นที่มีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะในปัจจุบัน แต่เป็นการพูดคุยกันมาตั้งแต่ที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่าจะต้องกลับมาจำคุกก่อนหรือไม่ การวิพากษ์วิจารณ์มีความเห็นที่แตกต่างเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าอดีตนายกฯทักษิณ ต้องกลับมาจำคุกก่อน นำทีมโดยอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกลุ่มพันธมิตร นำทีมโดยนาย
สังคมจำเป็นต้องพิจารณาจากสาระสำคัญของกฎหมายโดยปราศจากอคติ ว่าการให้เหตุผลของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร การเข้าใจข้อกฎหมายจะต้องไล่เรียงจากมาตราที่มาก่อนและหลังตามลำดับ จึงจะเข้าใจความสำคัญของวัตถุประสงค์ของกฎหมายเรื่องนั้นๆ
การที่ฝ่ายอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เห็นว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ต้องกลับมาจำคุกก่อนจึงสามารถยื่นเรื่องราวขออภัยโทษได้ เป็นการอ้างจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตราที่ 260 ซึ่งระบุว่า
“ผู้ถวายเรื่องราวซึ่งต้องจำคุกอยู่ในเรือนจำ จะยื่นเรื่องราวต่อพัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำก็ได้ เมื่อได้รับเรื่องราวนั้นแล้ว ให้พัศดีหรือผู้บัญชาการเรือนจำออกใบรับให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว แล้วให้รีบส่งเรื่องราวนั้นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม”
จะเห็นได้ว่า ม.260 เป็นวิธีการสำหรับผู้ต้องขังที่จำคุกอยู่ในเรือนจำให้ดำเนินการในการยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะส่งเรื่องต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงเป็นเหตุผลของฝ่ายที่เห็นว่าต้องจำคุกก่อน การให้เหตุผลดังกล่าว เป็นคนละเรื่องกับกรณีการขออภัยโทษตามที่ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ต้องจำคุกก่อน คือ พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ยกเหตุผลจากประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม.259 ซึ่งระบุถึงผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าการจะยื่นเรื่องราวต้องทำอย่างไร ดังนั้น จากเหตุผลตาม ม.259 อดีตนายกฯ ทักษิณ จึงสามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้โดยไม่จำเป็นต้องจำคุกก่อน นอกจากนี้ ประชาชนจำนวนสามล้านคนเศษ ได้มีการลงชื่อทูลเกล้าถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษจากพระมหากษัตริย์ จากความเห็นที่แตกต่างกันดังกล่าว เราควรกลับมาคำนึงถึงหลักการของกฎหมายสองประเด็นหลัก คือ
- กฎหมายรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดให้การพระราชทานอภัยโทษเป็นพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินโดยแท้ โดยปราศจากเงื่อนไขเกี่ยวกับตัวผู้ขอพระราชทานอภัยโทษว่าต้องไปจำคุกก่อนหรือไม่แต่อย่างใด
- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาคที่ 7 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการอภัยโทษ เปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษ ซึ่งไล่เรียงความสำคัญตามลำดับมาตรา ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะหลักการอภัยโทษเท่านั้น ซึ่งระบุใน ม. 259
“ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้”
คำว่า รับโทษอย่างใดๆ หมายถึง โทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามี 5 สถาน
- ประหารชีวิต
- จำคุก
- กักขัง
- ปรับ
- ริบทรัพย์สิน
ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ตาม ม.259 แล้ว จะเห็นได้ว่า โทษที่ขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระมหากษัตริย์ ไม่จำกัดเฉพาะโทษจำคุก แต่หมายถึงโทษทุกอย่าง และที่สำคัญในม.259 ไม่มีบทบัญญัติว่าผู้ขอพระราชทานอภัยโทษต้องไปรับโทษก่อน หรือต้องไปจำคุกก่อนแต่อย่างใดไม่ ซึ่งหลักการดังกล่าวในกรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงไม่จำเป็นต้องจำคุกก่อน ดังนั้นถ้าเป็นดังที่ฝ่ายค้านตีความกฎหมายว่าอดีตนายกฯ ทักษิณฯ ต้องจำคุกก่อน จึงไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเป็นโทษประหารชีวิตก็ต้องประหารชีวิตก่อน ใช่หรือไม่? การที่นักกฎหมายของฝ่ายที่เสนอให้มีการจำคุกก่อน จึงควรที่จะทบทวนกฎหมายให้ชัดเจน ไม่ควรทำให้เกิดความสับสนในสังคม การอธิบายกฎหมายต้องยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องและตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้อคติส่วนตัวมาอธิบายกฎหมายโดยเด็ดขาด หรือยกกฎหมายในมาตราที่ไม่เกี่ยวข้องมาเป็นเหตุผลเป็นการจับแพะชนแกะ จึงเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง อนึ่ง กฎหมายเกี่ยวกับการพระราชทานอภัยโทษ เป็นเรื่องของการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์แต่ผู้เดียว ผู้นำเสนอความเห็นต่างๆ ไม่ควรจะก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจนี้ ดังนั้น ข้อยุติจึงอยู่ที่ว่าการขอพระราชทานอภัยโทษไม่จำเป็นต้องจำคุกก่อน ตาม ม.259
อาจารย์ตุ้ม มธ.