srangbun@hotmail.com
เที่ยวแคชเมียร์
นอนบ้านเรือ-ชมสวนสวย
ไม่บ่อยนักที่เหล่านักข่าวจะไปไหนมาไหนกับบรรดานักท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ แต่ครั้งนี้สื่อไทย 5 ชีวิต มีโอกาสไปแคว้นจัมมูแคชเมียร์ กับลูกทัวร์ของบริษัทนิสโก้แทรเวล ซึ่งจับมือกับสายการบินโลว์คอร์สของอินเดีย “อินดีโก” จัดทริปไปเที่ยวกรุงนิวเดลลีและแคชเมียร์ 7วัน ในราคาเย้ายวนใจคือ เกือบสามหมื่นบาท ขณะที่ราคาทัวร์ทั่วไปตกกว่าสามหมื่นหรือสี่หมื่นขึ้นไปแล้วแต่สายการบิน โรงแรมและอาหารการกิน
จากสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลาบินไปสนามบินอินทิรา คานธี ในกรุงเดลี 4 ชั่วโมง โชคดีสายการบินไม่ห้าม(อย่างเป็นทางการ)ว่าไม่ให้นำอาหารและเครื่องดื่มมาทานบนเครื่อง ทางนิสโก้ทัวร์กลัวพวกเราหิวเลยจัดข้าวเหนียวหน้าหมูมาให้แก้หิว
รถม้าบรรทุกสินค้า
หลังจากพักในโรงแรมย่านชานกรุงเดลี 1 คืน รุ่งขึ้นจะต้องไปแคว้นจัมมูแคชเมียร์ ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย มีเขตแดนติดต่อกับประเทศปากีสถาน และที่ราบสูงทิเบต ต้องบอกก่อน ที่นี่ หากใครได้ไปเห็นได้ไปสัมผัสด้วยตาตัวเองต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทิวทัศน์ของแคว้นนี้ช่างงดงามยิ่งนักเพราะอยู่กลางหุบเขาหิมาลัย ยิ่งช่วงที่มีหิมะปกคลุมภูเขาสูงทั้งหลาย ขณะที่บางพื้นที่มีลำธารไหลผ่าน เปรียบได้กับสวรรค์บนดินอย่างไรอย่างนั้น บ้างก็เปรียบเทียบว่าเป็น”สวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย”แคชเมียร์นั้น แบ่งเป็นเขตใหญ่ ๆ 3 เขต คือ ลาดัค จัมมู และศรีนาคา
เช้ามืดวันนั้น พากเราต้องตื่นกันตั้งแต่ตี 5 เนื่องจาก ไกด์สาว”คุณ
ระหว่างทางจะพบภาพการต้อนฝูงแกะ
ตอนแรกพวกเราตกใจนึกว่าห้องน้ำของโรงแรมแห่งนี้ที่เป็นแบบเปิดโล่งให้เห็นคนในห้องน้ำ เพราะหาที่เปิดม่านไม่เจอ จนกระทั่งเจอเพราะเขาใช้ระบบสวิทส์เปิดอยู่ในห้องน้ำ บางห้องกว่าจะหาเจอต้องไปถามเพื่อนข้างห้อง ขณะที่บางห้องขึ้นไปบนเตียงหวังจะดึงม่านลงมา เพราะหารู้ไม่ว่าอินเดียเขาทันสมัยแล้วจ้า เขาใช้ระบบไฟฟ้าไม่ใช้ใช่มือดึง
ช่วงนั่งรถบัสมาได้เห็นเด็กไปโรงเรียนแต่เช้า ซึ่งต่างใส่ชุดหลากสีสัน น่ารักมาก แต่ละคนมักนำกระติกน้ำพลาสติกไปโรงเรียนด้วย ต้องบอกว่าการตรวจตราที่สนามบินอินทิรา คานธี ค่อนข้างเข้มงวด แต่พวกเราก็ไม่สงสัยเพราะหัวหน้าไกด์เตือนไว้แล้ว โดยกระเป๋าทุกใบที่ถือขึ้นเครื่องจะต้องติดเครื่องหมายที่ผ่านการตรวจแล้ว แม้กระทั่งใครซื้อของในสนามบินแต่ไม่มีเครื่องหมายที่ผ่านการตรวจก็ไม่ได้ ต้องไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจใหม่อีกครั้ง และตอนที่จะขึ้นเครื่องก็มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจค้นกระเป๋าอีกรอบ เรียกว่าตรวจแล้วตรวจอีก ทำให้รู้ว่าอินเดียเข้มงวดกับการรักษาความปลอดภัยบนภาคพื้นอากาศมากจริงๆ
ท่าเรือ
ด้วยความที่ไปถึง8 โมงดี เลยต้องทำการสำรวจสนามบินเสียหน่อย หลายคนชอบอกชอบใจสนามบินแห่งนี้แม้จะดูไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนที่อื่น สิ่งที่หลายคนติดอกติดใจและอยากให้สนามบินสุวรรณภูมิมีบ้างก็อย่างเช่น จุดบริการแล็ปท็อป ซึ่งก็มีหลายจุด เช่นเดียวกับจุดที่ให้ชาร์จแบตเตอรี่ ที่ชอบใจอีกอย่างคือเก้าอี้แบบเอนให้นอนได้เลย เห็นมีลูกค้าแขกหลายคนไปนอนอย่างสบายใจ
เท่าที่เห็นร้านค้าในสนามบินมีไม่มากนัก แตกต่างจากบ้านเราชัดเจน พรรคพวกบางคนชอบร้านเงินร้านหนึ่ง ซึ่งมีรูปของพระพิฆเนศหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่นมีบริวารที่เป็นหนู แต่เห็นราคาแล้วซื้อไม่ลง ประเภทหลักหมื่นหลักแสนขึ้น พอถ่ายรูปได้สักรูปสองรูปพนักงานในร้านรีบบอกห้ามถ่ายรูป แต่ก็ช้าไป พวกมีประสบการณ์เลยได้รูปที่ต้องการเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปก่อนหน้านี้แล้ว
นั่งเครื่องอินดีโกสักชั่วโมงครึ่งถึงสนามบินศรีนาคา ซึ่งพรรคพวกที่เคยมาเมื่อสองปีที่แล้วบอกเปลี่ยนไปมาก มีนักท่องเที่ยวหนาตาขึ้นและมีสิ่งอำนวยความสะดวกดีขึ้น แต่ห้องน้ำก็ยังไม่สะอาดเท่าที่ควร ช่วงขามาถูกตรวจค้นมาก พอมาถึงสนามบินศรีนาคาขาออกจึงไม่มีอะไรวุ่นวาย แต่ไกด์สาว”คุณมินมันตา” เตือนไว้ล้วงหน้าแล้วว่า ขากลับไปกรุงเดลี ตรวจเข้มมาก ต้องถูกตรวจกันถึง4 ครั้งด้วยกันกว่าจะขึ้นเครื่องได้
ศรีนาคานั้น เมืองที่ได้เชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทะเลสาบและสายน้ำ ตระการด้วยทิวทัศน์แห่งขุนเขาอุดมไปด้วยสวนดอกไม้ และรุ่งเรืองด้วยงานศิลปะที่ประดิษฐ์จากไม้ วันนี้แม้ว่าความเจริญทางด้านวัตถุจะเปลี่ยนไป แต่ขอยืนยันว่าทิวทัศน์อันสวยงามที่ธรรมชาติเสกสันปั้นแต่งยังคงตรึงตาตรึงใจของผู้มาเยือนทุกครา
พ่อค้ามาลอยเรือรอขายสินค้า
ว่าไปแล้วบรรยากาศที่ศรีนาคาก็เหมือนกับหลายปีก่อนก็คือ ยังมีทหารถือปืนอยู่ในสนามบิน และระหว่างทางก็ยังมีทหารถือปืนรักษาการอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตลาดหรือย่านชุมชน บางจุดก็มีทหารหลายนาย บางจุดก็มีเพียงนายเดียว วันที่เราไปถึงโชเฟอร์ที่มารับเล่าให้ฟังว่าวันนี้มีการประชุมของรัฐบาลท้องถิ่นที่นี่เลยมีการรักษาความปลอดภัยค่อนข้างเข้มงวด ยืนยันว่าสถานการณ์เวลานี้เรียบร้อยปลอดภัยดี ไม่มีปัญหาอะไร หลายคนฟังแล้วสบายใจเพราะที่ผ่านมาเคยฝังหัวอยู่กับข่าวการสู้รบในดินแดนแห่งนี้ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน
ตามเส้นทางจากสนามบินศรีนาคาไปยังบ้านเรือที่อยู่ในทะเลสาบนาร์กิ้น (มีความลึกถึง
ใครที่เคยมาศรีนาคาย่อมจะบอกตรงกันว่าที่นี่เปลี่ยนไปมาก จะเห็นตึกรามบ้านช่องกำลังก่อสร้างมากมาย แต่ละหลังใหญ่โต ทำให้คาดเดาได้ว่าเศรษฐกิจที่นี่เติบโตเร็วมาก ที่น่าสังเกตก็คือ หลังคาบ้านแต่ละหลังจะมุงด้วยสีแดงสดใด บ้านแต่ละหลังออกแบบอย่างสวยงามไม่ค่อยซ้ำแบบกัน เห็นแล้วก็ทึ่ง กระทั่งบางคนอยากนำแบบไปสร้างบ้านที่เมืองไทยบ้าง
อย่างไรก็ตามแม้ตึกรามบ้านช่องจะเปลี่ยนไปในทางที่พัฒนาขึ้น อันเนื่องมาจากรายได้จากการท่องเที่ยวชนิดเป็นกอบเป็นกำ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือ เสียงแตรรถยนต์ทุกชนิดที่พ่อเจ้าประคุณทั้งหลายบีบกันสนั่นเมือง และแถมเขียนท้ายรถด้วยว่า “HORN PLESE” เป็นบ้านเราใครบีบแตรแบบนี้ รับรองยิงกันตายหลายศพแล้ว แต่คนอินเดียรวมถึงคนที่นี่เขารู้สึกเป็นเรื่องปกติและชื่นชอบกันอีกด้วย
การมาเที่ยวแคว้นจัมมูแคชเมียร์ในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งไม่มีหิมะเลย(ยกเว้นบนยอดภูเขาสูงบางลูกที่ยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง) และตอนกลางวันถ้าอยู่บนพื้นราบแดดจัดทีเดียว คนขี้ร้อนจะบ่นแน่นอน แต่ถ้าขึ้นบนภูเขาอาจจะเย็นขึ้นมาหน่อย โชคดีอาจจะไม่เจอฝน แต่ส่วนใหญ่แล้วฝนจะตกตลอด ฉะนั้นเวลาไปไหนมาไหนต้องติดร่มและเสื้อกันฝนไปด้วย
วันแรกที่จะไปนอนค้างที่บ้านเรือนั้น พวกเราต้องนั่งเรือชิการ่า เรือพายอันเป็นสัญลักษณ์ของแคชเมียร์ ซึ่งเขาตกแต่งอย่างสวยงาม แถมจัดวางที่นั่งไว้เหมาะสำหรับนอนมากว่านั่น
วันแรกที่มาบนบ้านเรือในตอนเย็นบรรดาลูกทัวร์และนักข่าวต่างถ่ายรูปบ้านเรือกันเป็นแถว เพราะต่างทึ่งกับลวดลายแกะสลักไม้บนเรือ ซึ่งละเอียดสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของแคชเมียร์ ซึ่งบ้านเรือแต่ละหลังจะใช้ไม้สนซีดาร์ทำโครงเรือ และใช้ไม้วอลนัต ทำเฟอร์นิเจอร์ และส่วนที่จะประดับประดาด้วยลวดลาย เรือแต่ละลำอยู่ใกล้กัน(ที่ศรีนาคามีบ้านเรือกว่าพันลำ) นอนลำละ5-6คน แต่ละลำมีห้องนอน3-4 ห้อง มีห้องรับประทานอาหารและห้องนั่งเล่นอยู่ด้านหน้าเรือ
ห้องนั่งเล่นบนบ้านเรือ
เครื่องอำนวยความสะดวกอยู่ในขั้นดี มีน้ำอุ่นให้อาบ แต่บางช่วงไฟฟ้าก็จะดับ ถ้าใครจะอาบน้ำอุ่นก็ต้องคอย
แต่ละบ้านจะมีพ่อบ้านคอยดูแล และจะนอนอยู่ในเรือด้วย(อาจจะนอนอยู่ที่ห้องรับแขกหรือห้องครัว) เรือแต่ละลำจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป อย่างเรือที่นักข่าวพักกันนั้นชื่อ”เชอราตัน” มีพ่อบ้านชื่อซาลามาร์ เป็นชายแก่วัย50 กว่า ที่มีหนวดเครางาม ช่างภาพเลยถ่ายรูปแกหลายช็อต แถมเจ้าตัวยังขอให้ส่งรูปไปให้ดูด้วย
เป็นเรื่องปกติของบ้านเรือซึ่งในช่วงเช้าและเย็น จะมีพ่อค้าบรรทุกสินค้านานาชนิดมาขายนักท่องเที่ยวที่นอนบนเรือ โดยเฉพาะพวกกระเป๋า ผ้า เปเปอร์มาเช่ที่ขึ้นชื่อลือชาของที่นี่ และของที่ระลึกสารพัน แต่พ่อค้าเหล่านี้จะบอกราคาสูงไว้ก่อน หากใครต่อไม่เป็นอาจจะได้ของแพงกลับไป ในขณะที่พรรคพวกอีกลำที่ต่อรองเป็นอาจจะได้ของถูกมาอวดให้เจ็บใจเล่น
วันรุ่งขึ้นสถานท่องเที่ยวแรกที่เราไปคือสวนชาลิมาร์ ตามทาง จะเห็นชาวบ้านขายของเป็นพวกข้าวโพด ฝักบัว และฟัก พืชผลทางการเกษตรที่ชาวบ้านปลูก
สวนชาลิมาร์เป็นสวนที่พระเจ้าชาฮังคี ราชวงศ์โมกุล สร้างให้พระมเหสี โดยเดินทางด้วยม้ามาจากเมืองหลวง”อัครา” กินเวลาร่วมเดือน แต่ก่อนเป็นป่าเขาลำเนาไพร พระองค์ตั้งใจสร้างถวายเป็นของขวัญให้มเหสี ซึ่งพระนางก็ทรงชอบมาก ต้องบอกว่าใครเห็นใครไปเยือนก็ต้องชอบทั้งนั้นเพราะทัศนียภาพสวยงามจริง สาวๆต่างถ่ายรูปคู่กับดอกไม้เป็นแถว
สวนแห่งนี้มีคนอินเดียไปเที่ยวด้วย มีน้ำตกไหลมาจากภูเขาซึ่งเป็นเทือกเขาหิมาลัย แล้วไหลลงสู่ทะเลสาบที่อยู่ด้านข้าง มีศาลาประชาคมเป็นที่ชาวบ้านมาร้องเรียนร้องทุกข์กับพระราชา และยังมีที่ประทับของพระองค์ด้วยอยู่ด้านหลังสุดของสวน
ต้นไม้ที่นำมาปลูกชื่อชินาร์(chinar)ต้นไม้เหมือนต้นเมเปิล แต่ช่วงหยักใบจะลึกกว่า อายุหลายร้อยปี แต่ละต้นทั้งใหญ่ทั้งสูง ประเภทคนโอบไม่มิด บางต้นล้มลงนักข่าวบางท่านเลยได้มีเก็บเมล็ดมันมาปลูกในเมืองไทย
มุมหนึ่งของสวน
ตรงด้านหน้าของสวนชาลิมาร์ มีพ่อค้านำกระเป๋าลายปักสไตล์อินเดียมาขาย บอกแพงมากใบละ 10ดอลลาร์ พอต่อเหลือ 50 รูปี เขาบอกเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจนว่า “don” t joke คนขายจะตื้อพ่อค้าบางคนใช้วิธียัดใส่มือ แต่เขาจะเลือกผู้ใหญ่มากกว่า คงรู้ว่าผู้หญิงชอบซื้อและใจอ่อน
ที่สวนนี้มีคนมาเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะคนอินเดียเอง มีดอกรักแร่หลากสีสันดอกใหญ่มาก มีดอกไม้สีแดงปลูกเป็นแถวยาวเหยียดอีกสวนที่ไปอยู่ไม่ไกล”สวนนิชาน” เป็นสวนขนาดใหญ่ ด้านหนาทำเป็นน้ำตก เย็นๆอากาศดี ได้เห็นพระอาทิตย์ตก ตรงน้ำตกจุดที่มีภูเขาอยู่ด้านหลังเป็นฉากหลัง
ฝั่งตรงกันข้ามเขาทำเป็นพลาซ่ามีร้านค้าหลายร้าน พวกเราเลยได้ไปช็อปปิ้งกันอย่างสนุกสนาน มีร้านขายพวกถั่วและผลแห้งนานาอาทิ อัลมอนด์ วอลนัท ซึ่งลูกทัวร์ซื้อกันยกใหญ่เพราะมีนักข่าวหญิงบางคนไปคุยให้ฟังถึงสรรพคุณของวอลนัทที่มีสารอาหารเหมือนน้ำมันปลาช่วยบำรุงสมอง หนุ่มแคชเมียร์บอกกิโลละ600 รูปี ต่อจนเหลือกิโลละ 450 รูปี
สาวอินเดียเทินของ
ร้านนี้ยังขายน้ำมันอัลมอนด์เป็นขวดๆ ขายขวดละ 250 รูปี นักข่าวคนหนึ่งต่อเหลือขวดละ 100 รูปี หนุ่มแขกบอกติดตลกว่า “next year”
ตรงฝั่งทะเลสาบดาลที่อยู่ตรงกันข้ามกับสวนมีเรือนำเที่ยวคอยให้บริการ พอดีเราไปเป็นช่วงเย็นเลยได้เห็นหนุ่มแขกออกมาทะละหมาดตรงเรือพอดี เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นกันในบ้านเรา
วันนี้พวกเราได้เที่ยวกันเฉพาะในเมืองศรีนาคา รุ่งขึ้นอีกวันจะตระเวนไปแหล่งท่องเที่ยวเลื่องชื่อระดับโลกไม่ว่าจะเป็นกุลมาร์ค พาฮาลแกมและโซนามาร์ค ซึ่งแต่ละแห่งสวยงามแตกต่างกันไป แล้วจะเล่าให้ฟังคราวหน้า รับรองจะทำให้นักเดินทางที่ยังไม่เคยไปแคชเมียร์อยากไปเที่ยวไปสัมผัสเมืองเหล่านี้สักครั้งในชีวิต