ลอมฟาง อีกภูมิปัญญาและวิถีชีวิตไทย
โดยธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
บ้านผมอยู่แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง มองไปไกลสุดสายตามีแต่ทุ่งนาป่าข้าว
ยามปลูกดำใหม่ก็เขียวไสวพรายพริ้วเมื่อต้องลม สวยงามจับใจ
ครั้นยามใกล้เกี่ยวรวงข้าวก็เหลืองอร่ามลามไปทั้งทุ่ง ที่เพลงของพี่เพชรพนมรุ้งร้องว่า "ทุ่งสีทอง"นั้นจริงแท้
ความสวยงามก็ไปอีกแบบหนึ่ง
บนท้องทุ่งเวิ้งว้างนี้ผมได้เห็นเพื่อนขี่ควายไปเลี้ยง ไปไถนาแล้วก็เข้าแอกเกวียนเพื่อลากข้าวมากองไว้ รอนวดบนลานใกล้บ้าน
งานที่เห็นมีควายเป็นเพื่อนตายผู้ซื่อสัตย์
ที่ลอมฟางข้าวจะเห็นร่อยรอยการกินของควาย
หลังนวดข้าว บ้านเพื่อนผมจะลอมฟางข้าวเก็บไว้ จะกี่กองก็ขึ้นอยู่กับทำนากี่ไร่ ผมเห็นพ่อเพื่อนปักไม้ไผ่ลำหนึ่งแล้วก็สั่งให้ทุกคนขนฟางข้าวไปสุมๆ ผมก็เคยช่วยสุมฟางข้าว บอกได้เลย "คัน"
สุมไปสุมมาก็ได้รูปทรงดังในภาพ บ้านไหนไม่มีลอมฟางข้าวก็ไม่ได้ทำนา
"เก็บเอาไว้ให้ไอ้เก(เขาเก)มันกินตอนแล้งหรือตอนหน้าน้ำ" เพื่อนเล่าให้ฟัง
หน้าน้ำก็คือหน้าที่น้ำหลากมาจากเหนือ จนท่วมไปทั้งทุ่ง ชาวนาต้องสร้างห้างหรือคอกยกให้พ้นน้ำเพื่อให้ควายอาศัยอยู่ได้ ช่วงนี้เขาไปเดินและเล็มหญ้าไม่ได้ จึงต้องอาศัยฟางข้าวผสมกับเกี่ยวหญ้าสดมาให้เขากิน
ควายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทรงคุณค่าที่สุดของชาวนา จึงต้องสร้างคอกให้เขาและถนอมอาหารให้กินได้ตลอดฤดู
ช่วงที่ผมเริ่มแก่ตัวลง ผมกลับไปบ้านนอกก็ไม่เคยเห็นลอมฟางข้าวอีกเลย เพราะว่าทุกบ้านใช้รถแทรกเตอร์ไถนาแทนควาย
ถึงตอนเกี่ยวข้าวก็ไม่ได้นวดอีกแล้ว แต่ใช้รถแทรกเตอร์เกี่ยวแล้วนวดออกมาเป็นเม็ด บรรจุกระสอบข้าวให้เสร็จ
วิถีชีวิตของชาวนาจึงเปลี่ยนแปลงไป ภูมิปัญญาที่ถนอมอาหารเอาไว้ให้ควายกินก็ต้องเลิกรากันไป
แค่ว่าจะหาฟางข้าวมาสุมปี๊บเผาปลาช่อนสักตัวก็หาไม่ได้ เซ็งเลย
พอเห็นลอมฟางข้าวในภาพนี้ ผมจึงต้องขอให้เพื่อนหยุดรถจนตัวโก่ง เพื่อจะลงไปถ่ายรูปเก็บมาเล่าให้อ่านกัน
ลอมฟางข้าวที่เห็นนี้บ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวนาที่ศรีสะเกษ ที่นี่ยังทำนาด้วยการใช้ควายไถนา ขนถ่ายก็ใช้ควายเทียมเกวียน นวดข้าวก็น่าจะใช้ควายย่ำเหมือนในอดีตที่บ้านผม
และเมื่อมีฟางข้าวก็ถนอมอาหารเจ้าทุยไว้ให้กินเผื่อช่วงนาเต็มทุ่ง ไม่มีที่เดินและเล็มหญ้า ก็อาศัยกินที่ลอมฟางดังในภาพ
นี่แหละครับ หนึ่งภาพ 1,000 คำ