พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์2
โดย น้ำ-รัชนี เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
เนื่องจากดอกกุหลาบเป็นดอกไม้ทรงโปรดของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ซึ่งพระตำหนักภูพิงคฯมีดอกกุหลาบมากกว่า 300 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นกุหลาบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี อังกฤษ เป็นต้น
กุหลาบพันธุ์ที่ถือได้ว่าเป็น ไฮไลท์ของพระตำหนักภูพิงคฯ นั่นคือ กุกลาบพันธุ์พระนาม “ควีนสิริกิติ์” เนื่องจากเป็นดอกกุหลาบที่มีสีดอกที่สวยงามคือตัวดอกจะมีสีเหลือง ส่วนปลายกลีบดอกจะมีสีชมพูอมส้ม และถูกผสมมาจากกุหลาบ 2 สายพันธุ์ ได้แก่ color wonder และ golden giant
เพื่อให้กุหลาบงดงามเสมอขึงมีการตัดแต่งกุหลาบ 3 รอบ หรือ รุ่น ซึ่งในแต่ละรุ่นใช้เวลา 45 วัน ระยะเวลาการตัดจะตัดห่างกันประมาณ 10 – 15 วัน ดอกกุหลาบที่นี่ใน1ดอกจะมีอายุเฉลี่ยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ในฤดูหนาวตั้งแต่ ดอกตูมจนร่วง ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ในฤดูฝนและฤดูร้อน มีอายุเหลือเพียง 1 สัปดาห์
ดังนั้นช่วงที่เหมาะจะมาชมกุหลาบที่นี่คือในช่วงฤดูหนาว คือ ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือน มีนาคม
พระตำหนักภูพิงคฯมีความสูง 1300 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง รวมถึงมีอากาศที่หนาวเย็น จึงเหมาะแก่การปลูกไม้ดอกเมืองหนาว ซึ่งไม้ดอกเมืองหนาวที่นำมาปลูกที่พระตำหนักภูพิงคฯส่วนใหญ่นำเข้ามาจากทางต่างประเทศได้แก่พันธุ์ดอกไม้จากประเทศโซนยุโรปที่มีความหนาวเย็นเช่นกัน ไม้ดอกที่นี่มีหลากหลายสายพันธุ์ ในบางปีก็มีการเพิ่มพันธุ์ไม้ใหม่ๆเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงาม เปรียบเหมือนว่าเราได้เดินทางไปชมยังต่างประเทศ
ในรอบ 1 ปี เรามีการเปลี่ยนไม้ดอกเหล่านี้ 3 รอบ ด้วยกัน คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และ ฤดูหนาว ในแต่ละฤดูจะมีต้นไม้ ดอกไม้เฉพาะฤดู เนื่องจากไม้บางชนิด ไม่ชอบความร้อน ไม่ชอบน้ำฝน ดังนั้นจึงต้องมีการลงแปลงดอกไม้ให้เข้ากับฤดู เช่น ฤดูฝนและฤดูร้อน ไม้ที่สามารถทนฝน ได้แก่ เทียนนิวกีนี ซันเวียแดง
ฤดูหนาว ไม้ดอกที่ชอบความหนาวเย็น ได้แก่ ฟลอกซ์ เจอราเนียม ลิ้นมังกร ฮอลลี่ฮอก บลูซันเวีย ก็อกซ๊เนีย บิโกเนีย แฟนซีหน้าแมว คาเลนดูล่า เป็นต้น
ดังนั้นถ้าอยากเห็นดอกไม้สวยๆคุณควรเดินทางมาเที่ยวชมในช่วงฤดูหนาว เพราะคุณจะได้เห็นไม้ดอกนานาชนิดแข่งกันอวดสีสันให้คุณได้ชื่นชมและอดไม่ได้ที่จะกดรัวชัตเตอร์ ให้หนำใจกันเลยทีเดียว
ไม้ยืนต้นบางชนิดที่คุณได้พบเจอในพระตำหนักภูพิงคฯ ไม่ใช่ไม้ที่พบในเมืองไทย แต่เป็นไม้ที่ถูกนำเข้ามาปลูกเช่นเดียวกันกับไม้ดอกล้มลุกชนิดอื่นๆ เช่น สนหางสิงห์ ยางอินเดีย ไผ่บงใหญ่ สนคริสมาสตร์ สนภูฏาน เป็นต้น
ต้นไม้เด่นๆของพระตำหนักภูพิงคฯ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ใหญ่ๆดังนี้
- ไม้พื้นถิ่น เช่น นางพญาเสือโคร่ง ขมิ้นต้น เป็นต้น
- ไม้ที่นำจากพื้นที่อื่นๆของทางภาคเหนือ เช่น เฟิร์นต้น เฟิร์นลูกไก่ทอง เป็นต้น
- ไม้ที่นำเข้าจากทางต่างประเทศ ได้แก่ ไม้ล้มลุก และ ไม้ยืนต้น เช่น แฟนซีหน้าแมว สนหางสิงห์ เป็นต้น
ต้นไม้ที่นำมาลงแปลงปลูกมีอยู่ 3 รูปแบบ ด้วยกัน ดังนี้
- ต้นเล็ก คือการเพาะจากเมล็ดให้ได้เป็นต้นเล็กแล้วนำมาลงแปลงปลูก เช่น อลิซัม
- ต้นกลาง คือ จากที่ต้นอ่อนได้งอกมาจากเมล็ดแล้ว เจ้าหน้าที่จะทำการเปลี่ยนกระถางให้กับต้นอ่อนเหล่านี้ จะมีการอนุบาลต้นอ่อนเหล่านี้ให้มีขนาดที่พอดี เมื่อนำไปลงแปลง ใช้เวลาไม่นานก็สามารถออกดอกได้ เช่น เจอราเนียม
- ต้นทีออกดอกแล้ว คือ การปลูกต้นกล้าในโรงเรือนจนกระทั่งมีดอก แล้วจึงนำมาตกแต่ง แต่ไม้ดอกชนิดนี้จะไม่มีการนำลงดิน แต่จะอยู่ในกระถางแทน นำมาตกแต่ง เมื่อดอกโทรมแล้วเจ้าหน้าก็จะมาลื้อเก็บออกไป แล้วนำต้นใหม่มาลงแทน เช่น บิโกเนีย นอนสต็อป
จากข้อมูลตรงนี้ น้ำเชื่อว่าคงช่วยเป็นแนวทางในการตัดสินใจให้ท่านมาเที่ยวชมพระตำหนักภูพิงคฯ ไม่มากก็น้อย เพราะนอกจากข้อความดึงดูดใจที่น้ำได้ลงไปในครั้งที่แล้ว ยังมีเกร็ดความรู้เล็กน้อยๆเรื่องการตัดแต่ง ต้นไม้ ดอกไม้ ของพระตำหนักภูพิงคฯที่น้ำสอบถามมาจากพี่ๆเจ้าหน้าที่ที่ใจดี ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตัดแต่งต้นไม้ทั้งหมดของพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ขอขอบคุณพี่ๆทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ