http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 13/03/2024
สถิติผู้เข้าชม13,994,273
Page Views16,302,572
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

รายการ Hot Topic ประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2554

รายการ Hot Topic ประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2554

รายการ Hot Topic ประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2554

 

ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุม ปี 2553 เรียกร้องรัฐบาล เร่งดำเนินการช่วยเหลือ เยียวยา หาตัวผู้กระทำผิดโดยเร็ว และขอให้นึกเสมอว่าการได้มาเป็นรัฐบาลนั้นได้มาจากการแลกด้วยชีวิต 91 ศพ

               

วันนี้ (19 ธันวาคม 2554) รายการ Hot Topic ร่วมพูดคุยกับนางพะเยาว์ อัคฮาด ประธานศูนย์รับข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐ และน.ส.เจริญ ชัยกลาง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม ปี 2553 ถึงการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ญาติพี่น้องเสียชีวิตเสียชีวิต ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ถูกมองเชื่อมโยงกับคดีวางระเบิดป่วนเมือง เป็นความน้อยใจต่อรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่

               

ตลอดเวลา 1 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา ยอมรับว่าคนเสื้อแดงบางคนอาจจะมีความคิดน้อยใจรัฐบาล เนื่องจากกลุ่มคนเสื้อแดงได้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน แต่หลังจากรับตำแหน่งกลับไม่มีใครออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าว และไม่มีการดำเนินการ ความคืบหน้าใดๆ รวมถึงการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ

 

นางพะเยาว์ กล่าวว่า เราจะพยายามที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้คดี 91 ศพ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้รัฐธรรมนูญโดยเร็วเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม เพราะถือเป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวในนามภาคประชาชน ขณะนี้ประชาชนหลายล้านเสียงที่เคยตั้งความหวังจากรัฐบาลชุดนี้ เริ่มเครียดที่รัฐบาลไม่กล้าดําเนินการแก้ไข ทั้งที่เคยแลกด้วยชีวิต โดยหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาช่วยแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ขจัดปัญหา เรื่อง 2 มาตรฐาน รวมทั้งนำตัวคนผิดมาลงโทษ ไม่เว้นแม้แต่ทหาร เพราะอดีตไม่สามารถที่จะลืมได้ 

 

 

Produced by VoiceTV

19 ธันวาคม 2554 เวลา 19:10 น.

View 1257

Keyword: รัฐบาล , 91ศพ , จอม เพชรประดับ , เทศกาล , ระเบิด , แม่น้องเกด , ระเบิดป่วนเมือง , hot topic , 19พฤษภา , ป่วนเมือง


อย่าทำให้ประเทศตกอยู่ในความกลัวและความไม่รู้จากการริดรอนเสรีภาพสื่อ

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาองค์กรจัดลำดับเสรีภาพของสื่อ ที่รู้จักในนาม “Freedom House” ได้จัดลำดับเสรีภาพของสื่อในประเทศไทยจากประเทศ “กึ่งเสรี” ในปี 2009 ให้กลายเป็นประเทศ “ไม่เสรี” ในปีที่ผ่านมา (ดู ที่นี่)

ประเทศที่อยู่ในระดับไม่เสรีเท่ากับประเทศไทย ได้แก่ เกาหลีเหนือ พม่า จีน คิวบา โซมาเลีย อัฟกานิสถาน และ อิหร่าน ฯลฯ น่าสนใจว่าประเทศที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างนี้ไม่มีประเทศไหนเลยที่เรียกตัวเองเลยว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย

สาเหตุที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นสมาชิกกลุ่ม “ไม่เสรี” นั้นเกิดมาจากการดำเนินนโยบายในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีแนวโน้มในการปิดกั้นสื่อในอัตราที่สูง ยกตัวอย่าง เช่น การประกาศปิดเว็บไซต์ร่วมหนึ่งแสนเว็บไซต์ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง การใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในลักษณะคดีอาญาในการดำเนินคดี ซึ่งในหลายครั้งถูกเชื่อมโยงเป็นคดีทางการเมือง รวมไปถึงการใช้มาตรา 112 ซึ่งมีเนื้อความว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 15 ปี ที่มีผู้ดำเนินคดีจำนวนมาก

ยังไม่รวมถึงกรณีที่ “องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน” ได้ให้เกียรติประเทศไทยเป็น “แดนสวรรค์แห่งการเซ็นเซอร์” (ดู ที่นี่) อีกด้วย อีกทั้งยังมีการจัดอันดับไทยให้เป็นประเทศที่ไม่ปลอดภัยสำหรับนักข่าว เนื่องจากว่าได้มีนักข่าวและช่างภาพเสียชีวิตถึง 2 คน คือ นาย ฟาบิโอ โปเล็นกิ ช่างภาพอิสระชาวอิตาลี และ นาย ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพญี่ปุ่น ที่เชื่อว่ามาจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ และการดำเนินการสอบสวนในช่วง 1 ปีหลังจากเหตุการณ์ของรัฐบาลที่ผ่านมานั้นไม่มีความคืบหน้า จนเป็นที่กังขาของญาติผู้เสียชีวิตและนานาชาติ

และไม่นับถึงกรณีการแทรกแซงสื่อของอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นาย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ที่นักข่าวให้ฉายา “กริ๊งสิงสื่อ” จากสาเหตุที่มีการโทรไปให้กำหนดทิศทางข่าวและแทรกแซงกระบวนการสื่อสารบ่อยครั้ง 

สโลแกนรัฐบาลย่อมปิดกั้นคุณจากความจริง!

และในทางอ้อมก็ยังมีการใช้งบโฆษณาจำนวนมหาศาลในการประชาสัมพันธ์รัฐบาลผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี มีการสรุปคร่าวๆว่าน่าจะใช้งบมากกว่า 2 พันล้านบาท ในการทำประชาสัมพันธ์ (ดู ที่นี่) ซึ่งทำลายสถิติของพรรคไทยรักไทยลงอย่างราบคาบ แน่นอนว่าเมื่อมีการลงโฆษณาในสื่อต่างๆ ย่อมก่อให้เกิด “ความเกรงใจ” ในการนำเสนอข่าวที่จะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และนำไปสู่สิ่งที่น่าอัปยศที่สุดของสื่อมวลชนนั่นคือการ “เซ็นเซอร์ตัวเอง” (self – censorship)

อีกทั้งโครงการยิบย่อย เช่น ลูกเสือไซเบอร์ หรือการเปิดให้มีการใช้สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลมาถล่มคู่ตรงข้ามทางการเมือง ยกตัวอย่างรายการ “คลายปม”ของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่จัดเทปพิเศษเรื่อง “เหตุการณ์การชุมนุมในเดือนพฤษภาคม 2553″ ในมุมวาทกรรม “เผาบ้าน – เผาเมือง” ในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อลดเครดิตของฝ่ายค้าน

 จงปิดหู ปิดตา และปิดปาก!!

 เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กลุ่มที่ขนานตนเองว่าเป็น “พวกเสรีนิยม” ก็กลับผิดหวังเพราะคิดว่าน่าจะเข้าสู่ยุคเสรี หลังจากรัฐบาลมีความคิดที่จะเปิดให้ฝ่ายค้านมาใช้สถานี NBT ในการจัดรายการได้ แต่เพียงไม่นานรัฐบาลเพื่อไทยกลับผลักดันเมื่อมีการผลักดัน พ.ร.บ. จดแจ้งการพิมพ์ฉบับใหม่ ที่มีเนื้อหาในการรลิดรอนเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชนมากขึ้น (ดู ที่นี่) จนถูกต่อต้านจากองค์กรสื่อ รวมไปถึงการกวดขันเอาจริงในการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นฯ ซึ่งในหลายๆครั้งกลายเป็นเรื่องเครื่องมือในการลดความชอบธรรมทางการเมืองและดิสเครดิตขั้วตรงข้าม

ล่าสุดหลังจากได้มีการจุดประเด็นเรื่อง “กฏหมายหมิ่นฯ” ที่มาจากพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ ก็ได้เสนอความคิดเห็นที่สุดโต่ง โดย น.ส. มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (น่าแปลกใจที่คุณมัลลิกา เคยเป็นสื่อมวลชนมาก่อน) แถลงว่า ในวันที่ 28 พฤศจิกายน.นี้ จะทำหนังสือถึงนายกฯและรมว.ไอซีที เพื่อขอให้ปราบปรามเว็บไซต์ที่มีเนื้อหากระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยวิธีการที่ตนจะเสนอ เบาที่สุด คือให้ประสานงานไปยังรัฐบาลที่เว็บไซต์นั้นตั้งอยู่เพื่อขอให้ปิดเว็บไซต์ ดังกล่าว แต่แรงที่สุด คือให้ปิดเว็บไซต์ยูทูบหรือเฟซบุ๊กไปเลย (ดู ที่นี่)

แต่เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่กล้าดำเนินนโยบายขั้นเด็ดขาด เนื่องจากฐานเสียงและกระบอกเสียงใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นคนชั้นกลางส่วนใหญ่ ที่ใช้อินเทอร์เน็ตและ โซเชียลมีเดีย และย่อมมีผลกระทบต่อฐานเสียงแน่นอน

ปิดเว็บไซต์ – ปิด Youtube!? นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนทำเมื่อประชาชนเริ่มแสวงหาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และสิ่งที่รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ซ่อนไว้ใต้พรมมาโดยตลอด เสรีภาพของประเทศจีนจึงสวนทางกลับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ระบบเซ็นเซอร์อันทรงอาณุภาพของจีนหรือในนามที่โลกรู้จักว่า “Great Firewall” กลายเป็นกำแพงข้อมูลที่นักท่องเว็บไซต์ไม่มีวันจะหลุดรอดจากสายตาของรัฐบาลไปได้

เวลามีการพูดว่า “รัฐมนตรีฝ่ายคุมสื่อ” ซึ่งมักจะหมายถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้นๆ ไม่รู้สึกแปลกใจกันบ้างหรือ? ทำไมถึงจะต้องมีผู้ที่เข้ามาควบคุมสื่อ ในกรณีที่สื่อไม่สุดโต่งขนาดสร้าง hate speech – คำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง จนเกินไปไม่ควรจะมีการควบคุมสื่อ และบ่อยครั้งรัฐบาลก็จงใจที่จะปล่อยให้ hate speech ทำงานในการที่ตัวเองได้ประโยชน์เสียด้วยซ้ำ เช่น การปลุกระดมต่างๆ

หลายๆคนในช่วงนี้ชอบยกกรณีตัวอย่างนิยายคลาสสิก “1984″ ของ จอร์จ ออร์เวล ที่มีเนื้อหาว่าผู้ปกครองนั้นจะควบคุมทุกอย่างแม้กระทั่งความคิดของผู้คนในสังคม ให้เกิดอาการ “เชื่อง” เพื่อที่จะไม่ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆรอบๆตัว และใช้เครื่องมือ “การประชาสัมพันธ์ด้านเดียว” ในการสร้างระบบความคิดให้กับคนในสังคม อันโตนิโอ กรัมชี่ นักคิดชาวอิตาลีอธิบายสิ่งเหล่านี้ว่า เป็นการ “สถาปนาอำนาจนำทางวัฒนธรรม” เพื่อที่จะควบคุมคนได้จากแก่นภายในของพวกเขา แทนที่จะใช้อำนาจโดยตรง เราจึงยังคงเห็นผู้ที่ออกมาสนับสนุนการริดลอนสิทธิเสรีภาพของรัฐอยู่บ้าง

และหากรัฐบาลเป็นคนเลือกสรรแล้วว่าประชาชนควรจะรับรู้สารอะไร และไม่ควรรู้สารอะไร ถือว่าเป็นการดูแคลนวิจารณญาณในการเลือกรับสารของประชาชนที่ร้ายกาจ เพราะรัฐบาลย่อมปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และเวลาเราพูดว่าสารนั้นมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ เราก็ควรตั้งคำถามต่อไปว่า “รัฐ”ที่ถูกนำมาเรียกใช้นั้นคือ “รัฐ” (state) หรือ “รัฐบาล” (Governor) มากกว่ากัน!?

ทางที่ดีรัฐต้องให้ข้อมูลประชาชนเพื่อให้เขาเลือกสรรในสิ่งที่เหมาะสม หากประชาชนตกอยู่ในความไม่รู้ การแสดงออกอาจจะเป็นภัยต่อรัฐมากยิ่งขึ้น เมื่อนั้นรับอาจจะปกครองไม่ได้เป็นรัฐล้มเหลว ยกตัวอย่าง เช่น เหตุการณ์การชุมนุมปี 2553 เมื่อรัฐเข้ามาควบคุมสื่อเต็มพิกัด ผู้ชุมนุมจึงต้องหาข้อมูลในฝั่งที่ตัวเองมีเท่านั้น แน่นอนว่าข้อมูลทั้งสองด้านมีความสุดโต่ง และไม่มีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน เลยเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เหตุการณ์ร้ายแรงเกินกว่าที่จะคาดคิดได้

จงอย่าปล่อยให้ประเทศตกอยู่ใน “ความกลัว” และ “ความไม่รู้” จากการลิดรอนเสรีภาพของการสื่อสาร  เพราะเมื่อประชาชนตกอยู่ในความไม่รู้และความกลัวการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จะนำไปสู่การก้าวไปข้างหน้าย่อมไม่เกิด และต้องไม่ลืมว่าโลกนี้พัฒนาไม่ได้หากปราศจากการตั้งคำถาม และถ้าหากประชาชนเชื่องจนไม่รู้สึกต้องตั้งคำถามกับสังคม ก็ย่อมไม่นำไปสู่การแสวงหาคำตอบนั่นเอง!

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view