สภาพบังคับ
โดย นิรกาย
ปรากฏการณ์ “น้ำทะเลลดลง” ขนาดปลาที่ว่ายที่อยู่ริมฝั่งว่ายตามไม่ทัน ทำให้ “คนรู้วิชา” รู้ว่าคลื่นยักษ์สึนามิกำลังจะมา
ปรากฏการณ์ การ “ชุมนุมเรียกร้อง” ของ “กลุ่มผลประโยชน์” ต่างๆในสังคม
ปรากฏการณ์ การชุมนุมเรียกร้องให้ผู้ปกครองทำ “ความเสมอภาค” “เสรีภาพ” ให้ปรากฏเป็นจริงในทางปฏิบัติ ก็เป็นเครื่องชี้ว่า “สงครามประชาชน” กำลังดำเนินกระบวนการของมันแล้ว
ทุกข์มี 2 ชนิดคือ “ทุกข์ที่แก้ได้” กับ “ทุกข์ที่แก้ไม่ได้” ทุกข์ที่แก้ไม่ได้คือทุกข์อันเกิดจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ที่แก้ได้ของปัจเจกบุคคล คือทุกข์ที่เกิดจากความโลภ โกรธ หลงในตัวคนคนนั้น ต่างกับทุกข์ที่แก้ได้ในทางการเมือง คือทุกข์ที่เกิดจากการปกครองแบบเผด็จการ ที่ยังประโยชน์แก่ชนชั้นหนึ่งแต่ไปสร้างความเสียหายให้กับชนหนึ่งนั่นเอง
ความโลภ ความโกรธ ความหลง แก้ได้ด้วยการ “สลายเงื่อนไข” แห่งทุกข์ด้วยการเข้าถึงกฎธรรมชาติของจิต
ส่วนทุกข์ทางการเมือง แก้ได้ด้วยการสลายเงื่อนไขแห่งทุกข์ อันเป็น“เงื่อนไขสงคราม” ซึ่งได้แก่การปกครองแบบเผด็จการลง แล้วสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย (คือการปกครองที่สอดคล้องกับประโยชน์ประชาชน) ขึ้นมาแทน ทุกข์ทางการเมือง ทุกข์ทางเศรษฐกิจและทุกข์ทางสังคมของชาตินั้นๆก็หมดสิ้นไป
ประเทศไทยแม้จะมีการเลือกตั้งแต่ก็เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการของชนชั้นกลาง แต่ไม่ใช่การเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
ดังนั้นจึงมีการแย่งอำนาจกันมาตลอดระยะเวลา 80 ปี ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแล้วการแย่งอำนาจนั้นก็หมดไปโดยปริยาย เพราะอำนาจอธิปไตยปวงชนจะนำมาซึ่งประโยชน์ของปวงชนอย่างเสมอภาค จึงไม่มีใครต้องมาแก่งแย่งกันอีก
ตลอดระยะเวลาที่ชนชั้นกลางได้อำนาจอธิปไตยมาจากพระมหากษัตริย์ สร้างความร่ำรวยให้แก่ชนชั้นกลางมากมายผกผันกับความยากจนของชนชั้นล่างอย่างถึงที่สุดจนได้มาซึ่ง วลี “รวยกระจุก จนกระจาย”
มีคนบ้าหากินกับถังขยะ กับกองขยะ ผู้คนจำนวนไม่น้อย “ยากจน” มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากสุนัขจรจัดตามท้องถนน อีกหลายๆคนกินข้าวไม่อิ่มท้องหรืออิ่มท้องแต่อาหารที่กินเข้าไปเต็มไปด้วยสารพิษ
การชุมนุมเรียกร้องของประชาชนในรูปลักษณ์ต่างๆบ่อยขึ้น ถี่ขึ้นแทบจะเป็นรายวัน การต่อสู้ด้วยอาวุธของคนในสามจังหวัดภาคใต้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากกว่าสงครามคอมมิวนิสต์ มูลค่าความเสียหายนับหมื่นนับแสนล้านบาท คนค้ายาเสพยามากที่สุดในโลกจนล้นคุก ความขัดแย้งเกิดขึ้นในทุกๆสาขาอาชีพ ผู้คนกระทำผิดกันอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งในทางวิชาการเราเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า
“สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” ซึ่งจะนำมาซึ่ง “สงครามประชาชน” ในท้ายที่สุด
นี่คือทุกข์ของชาติ ทุกข์อันเกิดจากการปกครองที่มาจากเงื่อนไขสงครามที่เรียกกันในทางวิชาการว่า “ระบอบเผด็จการ ระบบรัฐสภา” นั่นเอง
แต่ทุกข์ของชาติเราก็ไม่ได้มีแต่เพียงเท่านั้น เรายังจะเจอทุกข์ภายนอกอีก 2 ทุกข์ก็คือ
1.ทุกข์จากการค้าเสรีอาเชียน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2558 ทุกข์ดังกล่าว จะส่งผลทำให้วิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมของไทยตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติ คนไทยมือสั้นจำนวนมากจะกลายเป็นเพียงกรรมกรที่ทำงานให้ผู้ประกอบการจากต่างชาติ “นายใหม่” ที่เข้ามา Take วิสาหกิจไทย บนแผ่นดินที่บรรพบุรุษไทยเอาเลือดเนื้อและชีวิตแลกมา
และ 2.ทุกข์จาก “วิกฤติทุนนิยมโลก” ที่กำลังเกิดขึ้น วิกฤติดังกล่าวย่อมส่งผลมาถึงการส่งออกไทย การท่องเที่ยวไทย ทำให้รายได้แห่งชาติหดหายไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท้ายสุดก็จะนำมาซึ่ง
“วิกฤติทั่วไป” (General Crisis) ไทย อย่างเป็นไปเอง
แม้นวิกฤติทุนนิยมโลกและวิกฤติอันเกิดจากข้อตกลงการค้าเสรี ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงลำพัง แต่เราสามารถบรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าชาติไทยเข้มแข็ง ไม่แตกแยกและมีภูมิคุ้มกัน วิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ชาติเราได้มีวิธีเดียวคือ “ขจัดเงื่อนไขแห่งความอ่อนแอ” ของชาติลง
ความอ่อนแอของชาติมาจากอะไร ความอ่อนแอในชาติเกิดจากการปกครองที่เอื้อประโยชน์ให้คนชนชั้นหนึ่งไปเอาเปรียบคนอีกชนชั้นหนึ่งได้ตามกฎหมาย จนนำมาซึ่งการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ เกิดความขัดแย้งทั่วไปในทุกๆ Interest Group การปกครองดังกล่าวเรียกกันในทางวิชาการว่าการปกครองแบบเผด็จการ การจะขจัดความขัดแย้ง อันเป็นสาเหตุแห่งความอ่อนแอในชาติ จึงต้องขจัด “เงื่อนไข” อันเป็นที่มาแห่งเหตุแห่งความอ่อนแอนั้นเสีย ด้วยการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบ่งปันให้ปรากฏขึ้นเป็นจริง ก็จะนำมาซึ่งความเสถียรของสังคมไทย ความเสถียรในสังคมไทยนั่นแหละที่เป็นภูมิคุ้มกันชาติ เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจาก “ภายใน”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ปล.1.สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงมีดรรชนีชี้วัดให้เราเห็นได้ 4 ประการก็คือ
1.1 ประชาชนไม่ยอมรับการปกครอง (สะท้อนออกมาในรูปของการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆและการต่อสู้ด้วยอาวุธของคนใน 3 จังหวัดภาคใต้)
1.2 ผู้ปกครองหมดความสามารถในการปกครอง (ผู้ปกครองพยายามใช้กฎหมายมาจัดการต่อผู้ชุมนุมแต่ประชาชนก็ยังชุมนุม จำคุกก็แล้ว ฆ่า91ศพก็แล้ว ฆ่าคนสามจังหวัดภาคใต้ก็แล้ว การต่อสู้ก็ยังคงอยู่ไม่หายไปหรือยุติลงไป ซ้ำร้ายยัง “ตายสิบเกิดแสน” อีกต่างหาก)
1.3 มวลชนชนล้าหลัง (นายทุน) ตื่นตัว (เพราะเดือดร้อนจากปัญหา ศึกษาปัญหาและเข้าร่วมในการแก้ไขปัญหา) และนำไปสู่
1.4 ขบวนปฏิวัติที่เข้มแข็ง
ถ้าผู้ปกครองประเทศใดตระหนักรู้ถึงปัญหาหรือเหตุแห่งทุกข์ และมี “แนวทาง” ที่ “สอดคล้องกับความต้องการอันแท้จริงของประชาชน” นอกจาก “รัฐบาล” จะ “อยู่ได้” แล้ว “ประชาชน” ก็ “อยู่ได้” อย่างมีความสุข ภายใต้สังคมที่เสถียรอีกด้วย แต่ถ้ารัฐบาลใดก็ตามนอกจากจะ “ไม่เข้าใจ” แล้ว ยังปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้อง รัฐบาลนั้นๆก็จะพังลงอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะมีเสียง ส.ส.ในสภาผู้แทนมากมายเพียงใดหรือมีกำลังทหารค้ำอำนาจเอาไว้มากมายเพียงใดก็ตาม
ปล.2 การที่รัฐบาลไทยในอดีตทำข้อตกลงในการที่จะเข้าร่วมเศรษฐกิจเสรีกับอาเซียน ย่อมจะนำมาซึ่งการเทคเวอร์เศรษฐกิจไทยในท้ายที่สุดตามกฎทุนใหญ่กินทุนเล็กของระบบทุนนิยมการค้าเสรีดังกล่าว “บังคับสภาพ” ให้ประเทศไทย “ต้อง” ทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วเหมือนที่พม่ากำลังกระทำอยู่ เพราะทุกประเทศในอาเซียนอยู่ในระดับ “ประเทศกำลังพัฒนา” (Developing Country) ด้วยกันทั้งสิ้นไม่เว้นแต่พม่า ประเทศกำลังพัฒนาใดๆก็ตามจะมีการเมืองที่เสถียร มีภูมิคุ้มกันในตัวเองเหมือนหอยมีเปลือก คนในชาติเหมือนไม้ไผ่ที่มัดรวมกัน แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเชียนที่อยู่ใน Level “ประเทศ ด้อยพัฒนา” (Under Developed Country) มีการเมืองที่ไม่เสถียร การเมืองที่ไม่เสถียร เพราะประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบจนอยู่กันไม่ได้ ชาติมีสภาพเป็นหอยที่ “ไม่มีเปลือก” หรือผู้คนเหมือนไม้ไผ่ที่แยกกันอยู่ ไม้ไผ่ที่แยกกันอยู่ย่อมจะถูกหักด้วยคนต่างชาติได้ง่าย และเมื่อเอาหอยทั้ง 13 ประเทศมาเขย่ารวมกัน หอยมีเปลือกก็จะไม่เสียหายแต่หอยที่ไม่มีเปลือกก็จะได้รับบาดเจ็บถูกดูดกลืนทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจและสังคม “สิ้นชาติ” อย่างเป็นไปเอง เพราะคำว่าชาติหมายถึง
2.1ดินแดนร่วมกัน
2.2เศรษฐกิจร่วมกัน
2.3วัฒนธรรมร่วมกัน
2.4ภาษาร่วมกันและ
2.5ภูมิแห่งจิตใจร่วมกัน
ดังนั้นการทำให้ต่างชาติเข้ามา Take ดินแดน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ภาษาได้คือการสิ้นชาตินั่นเอง
เรียนว่าขอให้ไทยดูพม่าเป็นตัวอย่าง เขาปรับตัวอย่างรวดเร็วก่อนเข้าร่วมเศรษฐกิจเสรีอาเซียน การเจรจาสงบศึกภายใต้การให้ค่าแก่กันและกันได้นำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเมืองของพม่าอย่างไรและถนนทุกสายในโลกกำลังตัดเข้าไปในพม่าอย่างไรและหลายๆประเทศกำลังเข้าไปเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติพม่า”
3.สถานการณ์ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม “ใกล้ล่มสลาย” ประธานาธิบดี มาห์มุด อาห์มาดิเนจัด แห่งอิหร่าน กล่าวว่า “ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมกำลังเสื่อมลงทุกขณะ” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง การล่มสลายของระบบทุนนิยมโลกเป็นวิกฤติเศรษฐกิจทั่วไปจริงของโลก จะเห็นได้ว่าประเทศอภิมหาอำนาจและมหาอำนาจโลกต่างมีหนี้สินสาธารณะท่วมจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แสดงว่าระบบเศรษฐกิจแบทุนนิยมกำลังล่มสลายลง ดังที่ประธานาธิบดีมาห์มุดกล่าว สภาพการณ์ดังกล่าวจึงบังคับสภาพให้ประเทศไทยต้องรีบปรับตัวให้เป็นประชาธิปไตยก่อนที่ระบบทุนนิยม (ยุคแห่งการแข่งขัน) จะล่มสลาย เพราะไทยเป็นประเทศเดียวที่มีคุณสมบัติประจำชาติสามประการเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาโลกได้ คือ
3.1รักความเป็นไท (Love of Independence)
3.2อหิงสา Non-Violence) และ
3.3รู้จักประสานประโยชน์(Power of Assimilation) ที่จะนำพาโลกไปสู่ยุคใหม่ (คือยุคแห่งการแบ่งปัน) ได้
สามสถานการณ์นี้จึงทำให้เกิด “สภาพบังคับ” ให้ประเทศไทยซึ่งมี “การปกครองแบบเผด็จการ” “เป็นเงื่อนไขสงคราม” ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ไปสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว มิฉะนั้นนอกจากรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ประชาชนจะต้องอับอายกลายเป็น “ขี้ข้าต่างชาติ” บนแผ่นดินของตัวเองอย่างน่าอับอาย ดังพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 6 ที่ว่า
ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าฆ่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
วันนี้ถ้าคนไทยไม่อยากให้ประเทศไทยล่มสลาย ตกเป็นขี้ข้าต่างชาติแล้ว ผู้ปกครองก็ต้องมีดวงตาเห็นธรรมแบบพม่า ร่วมมือกับประชาชน สถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยให้เป็นจริงขึ้นมา บ้านเมืองก็จะหมดความขัดแย้ง เสถียรและมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง
นิรกาย
ปล.การเรียกร้องของคณะนิติราษฎรเป็นการเรียกร้องที่ไร้เดียงสา เพราะการเรียกร้องดังกล่าวเป็นการเรียกร้องเรื่อง “เสรีภาพ” ไม่ใช่การเรียกร้องเรื่อง “อำนาจอธิปไตยปวงชน” การเรียกร้องเรื่องเสรีภาพนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับการเรียกร้องของ “คนเดือนตุลา” ในอดีตที่เรียกร้องให้ได้มาซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่มีผลต่อการกินดีอยู่ดีและความเสมอภาคของประชาชนแต่อย่างใด เพราะอำนาจอธิปไตยยังอยู่ในมือของคนส่วนน้อย
สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันตายไปเพื่ออะไร กลายเป็นการ “เตะหมูเข้าปากหมา” ใช้ชีวิตคนจำนวนหนึ่งไปช่วยกันโค่นเผด็จการคณะหนึ่งไปให้เผด็จการอีกคณะหนึ่งอีก
การเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎรคือการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางวิชาการ เพราะคำว่าคณะก็คือ Party ในภาษาอังกฤษ การเคลื่อนไหวล่ารายชื่อก็คือการเคลื่อนไหวมวลชนเพื่อการระดมสมาชิกเข้าพรรคนั่นเอง โดยมีนโยบายพรรคก็คือการแก้ไขมาตรา 112
การที่พรรคเพื่อไทยไม่เล่นด้วยก็เพราะว่านโยบายของพรรคนิติราษฎรเหนือกว่านโยบายของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
ถ้าคนไทยเอากับพรรคนิติราษฎรมากๆ พรรคนิติราษฎรก็จะเทคอำนาจแทนพรรคเพื่อไทยหรือพรรคเหลืองนั่นเอง
สำหรับผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ “เสรีภาพทางความคิดคือเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์” ก็จริง แต่ความเห็นแย้งในเรื่องทฤษฎีแก้ไขหรือไม่แก้ไขม.112 จะนำมาซึ่งการฆ่ากันตายชนิดนับศพไม่ได้
คนที่เอาหรือไม่เอามาตรา 112 ต่างล้วนหลงประเด็นในเรื่องการแก้ไขปัญหาชาติ เพราะปัญหาชาติคืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนหรือไม่ใช่ของปวงชน ไม่ใช่เรื่องประมุขของประเทศ เพราะประมุขของประเทศไม่ใช่ประมุขของฝ่ายบริหาร ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ประชาชนกินดีอยู่ดีกันอย่างเสมอภาคแล้ว มาตรา 112 จะเขียนอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหาครับ!