http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 13/03/2024
สถิติผู้เข้าชม14,005,930
Page Views16,314,902
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

สภาพบังคับ โดย นิรกาย

สภาพบังคับ  โดย นิรกาย

สภาพบังคับ

โดย นิรกาย

              ปรากฏการณ์ “น้ำทะเลลดลง” ขนาดปลาที่ว่ายที่อยู่ริมฝั่งว่ายตามไม่ทัน ทำให้ “คนรู้วิชา” รู้ว่าคลื่นยักษ์สึนามิกำลังจะมา 

              ปรากฏการณ์ การ “ชุมนุมเรียกร้อง” ของ “กลุ่มผลประโยชน์” ต่างๆในสังคม

              ปรากฏการณ์ การชุมนุมเรียกร้องให้ผู้ปกครองทำ “ความเสมอภาค”  “เสรีภาพ” ให้ปรากฏเป็นจริงในทางปฏิบัติ ก็เป็นเครื่องชี้ว่า “สงครามประชาชน” กำลังดำเนินกระบวนการของมันแล้ว

              ทุกข์มี 2 ชนิดคือ “ทุกข์ที่แก้ได้” กับ “ทุกข์ที่แก้ไม่ได้” ทุกข์ที่แก้ไม่ได้คือทุกข์อันเกิดจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ที่แก้ได้ของปัจเจกบุคคล คือทุกข์ที่เกิดจากความโลภ โกรธ หลงในตัวคนคนนั้น ต่างกับทุกข์ที่แก้ได้ในทางการเมือง คือทุกข์ที่เกิดจากการปกครองแบบเผด็จการ ที่ยังประโยชน์แก่ชนชั้นหนึ่งแต่ไปสร้างความเสียหายให้กับชนหนึ่งนั่นเอง

              ความโลภ ความโกรธ ความหลง แก้ได้ด้วยการ “สลายเงื่อนไข” แห่งทุกข์ด้วยการเข้าถึงกฎธรรมชาติของจิต

              ส่วนทุกข์ทางการเมือง แก้ได้ด้วยการสลายเงื่อนไขแห่งทุกข์ อันเป็น“เงื่อนไขสงคราม” ซึ่งได้แก่การปกครองแบบเผด็จการลง แล้วสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย (คือการปกครองที่สอดคล้องกับประโยชน์ประชาชน) ขึ้นมาแทน ทุกข์ทางการเมือง ทุกข์ทางเศรษฐกิจและทุกข์ทางสังคมของชาตินั้นๆก็หมดสิ้นไป

              ประเทศไทยแม้จะมีการเลือกตั้งแต่ก็เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการของชนชั้นกลาง แต่ไม่ใช่การเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน

              ดังนั้นจึงมีการแย่งอำนาจกันมาตลอดระยะเวลา 80 ปี ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแล้วการแย่งอำนาจนั้นก็หมดไปโดยปริยาย เพราะอำนาจอธิปไตยปวงชนจะนำมาซึ่งประโยชน์ของปวงชนอย่างเสมอภาค จึงไม่มีใครต้องมาแก่งแย่งกันอีก

              ตลอดระยะเวลาที่ชนชั้นกลางได้อำนาจอธิปไตยมาจากพระมหากษัตริย์ สร้างความร่ำรวยให้แก่ชนชั้นกลางมากมายผกผันกับความยากจนของชนชั้นล่างอย่างถึงที่สุดจนได้มาซึ่ง วลี “รวยกระจุก จนกระจาย”

              มีคนบ้าหากินกับถังขยะ กับกองขยะ ผู้คนจำนวนไม่น้อย “ยากจน” มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากสุนัขจรจัดตามท้องถนน อีกหลายๆคนกินข้าวไม่อิ่มท้องหรืออิ่มท้องแต่อาหารที่กินเข้าไปเต็มไปด้วยสารพิษ

              การชุมนุมเรียกร้องของประชาชนในรูปลักษณ์ต่างๆบ่อยขึ้น ถี่ขึ้นแทบจะเป็นรายวัน การต่อสู้ด้วยอาวุธของคนในสามจังหวัดภาคใต้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากกว่าสงครามคอมมิวนิสต์ มูลค่าความเสียหายนับหมื่นนับแสนล้านบาท คนค้ายาเสพยามากที่สุดในโลกจนล้นคุก ความขัดแย้งเกิดขึ้นในทุกๆสาขาอาชีพ ผู้คนกระทำผิดกันอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งในทางวิชาการเราเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า

              “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” ซึ่งจะนำมาซึ่ง “สงครามประชาชน” ในท้ายที่สุด

               นี่คือทุกข์ของชาติ ทุกข์อันเกิดจากการปกครองที่มาจากเงื่อนไขสงครามที่เรียกกันในทางวิชาการว่า “ระบอบเผด็จการ ระบบรัฐสภา” นั่นเอง

               แต่ทุกข์ของชาติเราก็ไม่ได้มีแต่เพียงเท่านั้น เรายังจะเจอทุกข์ภายนอกอีก 2 ทุกข์ก็คือ

              1.ทุกข์จากการค้าเสรีอาเชียน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2558 ทุกข์ดังกล่าว จะส่งผลทำให้วิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมของไทยตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติ คนไทยมือสั้นจำนวนมากจะกลายเป็นเพียงกรรมกรที่ทำงานให้ผู้ประกอบการจากต่างชาติ “นายใหม่” ที่เข้ามา Take วิสาหกิจไทย บนแผ่นดินที่บรรพบุรุษไทยเอาเลือดเนื้อและชีวิตแลกมา

              และ 2.ทุกข์จาก “วิกฤติทุนนิยมโลก” ที่กำลังเกิดขึ้น วิกฤติดังกล่าวย่อมส่งผลมาถึงการส่งออกไทย การท่องเที่ยวไทย ทำให้รายได้แห่งชาติหดหายไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท้ายสุดก็จะนำมาซึ่ง

             “วิกฤติทั่วไป” (General Crisis) ไทย อย่างเป็นไปเอง

             แม้นวิกฤติทุนนิยมโลกและวิกฤติอันเกิดจากข้อตกลงการค้าเสรี ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงลำพัง แต่เราสามารถบรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าชาติไทยเข้มแข็ง ไม่แตกแยกและมีภูมิคุ้มกัน วิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ชาติเราได้มีวิธีเดียวคือ “ขจัดเงื่อนไขแห่งความอ่อนแอ” ของชาติลง

             ความอ่อนแอของชาติมาจากอะไร ความอ่อนแอในชาติเกิดจากการปกครองที่เอื้อประโยชน์ให้คนชนชั้นหนึ่งไปเอาเปรียบคนอีกชนชั้นหนึ่งได้ตามกฎหมาย จนนำมาซึ่งการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ เกิดความขัดแย้งทั่วไปในทุกๆ Interest Group การปกครองดังกล่าวเรียกกันในทางวิชาการว่าการปกครองแบบเผด็จการ การจะขจัดความขัดแย้ง อันเป็นสาเหตุแห่งความอ่อนแอในชาติ จึงต้องขจัด “เงื่อนไข” อันเป็นที่มาแห่งเหตุแห่งความอ่อนแอนั้นเสีย ด้วยการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบ่งปันให้ปรากฏขึ้นเป็นจริง ก็จะนำมาซึ่งความเสถียรของสังคมไทย ความเสถียรในสังคมไทยนั่นแหละที่เป็นภูมิคุ้มกันชาติ เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจาก “ภายใน”

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ปล.1.สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงมีดรรชนีชี้วัดให้เราเห็นได้ 4 ประการก็คือ

1.1 ประชาชนไม่ยอมรับการปกครอง (สะท้อนออกมาในรูปของการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆและการต่อสู้ด้วยอาวุธของคนใน 3 จังหวัดภาคใต้)

1.2 ผู้ปกครองหมดความสามารถในการปกครอง (ผู้ปกครองพยายามใช้กฎหมายมาจัดการต่อผู้ชุมนุมแต่ประชาชนก็ยังชุมนุม จำคุกก็แล้ว ฆ่า91ศพก็แล้ว ฆ่าคนสามจังหวัดภาคใต้ก็แล้ว การต่อสู้ก็ยังคงอยู่ไม่หายไปหรือยุติลงไป ซ้ำร้ายยัง “ตายสิบเกิดแสน” อีกต่างหาก)

1.3 มวลชนชนล้าหลัง (นายทุน) ตื่นตัว (เพราะเดือดร้อนจากปัญหา ศึกษาปัญหาและเข้าร่วมในการแก้ไขปัญหา) และนำไปสู่

1.4 ขบวนปฏิวัติที่เข้มแข็ง

                ถ้าผู้ปกครองประเทศใดตระหนักรู้ถึงปัญหาหรือเหตุแห่งทุกข์ และมี “แนวทาง” ที่ “สอดคล้องกับความต้องการอันแท้จริงของประชาชน” นอกจาก “รัฐบาล” จะ “อยู่ได้” แล้ว “ประชาชน” ก็ “อยู่ได้” อย่างมีความสุข ภายใต้สังคมที่เสถียรอีกด้วย แต่ถ้ารัฐบาลใดก็ตามนอกจากจะ “ไม่เข้าใจ” แล้ว ยังปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้อง รัฐบาลนั้นๆก็จะพังลงอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะมีเสียง ส.ส.ในสภาผู้แทนมากมายเพียงใดหรือมีกำลังทหารค้ำอำนาจเอาไว้มากมายเพียงใดก็ตาม

                 ปล.2 การที่รัฐบาลไทยในอดีตทำข้อตกลงในการที่จะเข้าร่วมเศรษฐกิจเสรีกับอาเซียน ย่อมจะนำมาซึ่งการเทคเวอร์เศรษฐกิจไทยในท้ายที่สุดตามกฎทุนใหญ่กินทุนเล็กของระบบทุนนิยมการค้าเสรีดังกล่าว “บังคับสภาพ” ให้ประเทศไทย “ต้อง” ทำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วเหมือนที่พม่ากำลังกระทำอยู่ เพราะทุกประเทศในอาเซียนอยู่ในระดับ “ประเทศกำลังพัฒนา” (Developing Country) ด้วยกันทั้งสิ้นไม่เว้นแต่พม่า ประเทศกำลังพัฒนาใดๆก็ตามจะมีการเมืองที่เสถียร มีภูมิคุ้มกันในตัวเองเหมือนหอยมีเปลือก คนในชาติเหมือนไม้ไผ่ที่มัดรวมกัน แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเชียนที่อยู่ใน Level  “ประเทศ ด้อยพัฒนา” (Under Developed Country) มีการเมืองที่ไม่เสถียร การเมืองที่ไม่เสถียร เพราะประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบจนอยู่กันไม่ได้ ชาติมีสภาพเป็นหอยที่ “ไม่มีเปลือก” หรือผู้คนเหมือนไม้ไผ่ที่แยกกันอยู่ ไม้ไผ่ที่แยกกันอยู่ย่อมจะถูกหักด้วยคนต่างชาติได้ง่าย และเมื่อเอาหอยทั้ง 13 ประเทศมาเขย่ารวมกัน หอยมีเปลือกก็จะไม่เสียหายแต่หอยที่ไม่มีเปลือกก็จะได้รับบาดเจ็บถูกดูดกลืนทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจและสังคม “สิ้นชาติ” อย่างเป็นไปเอง เพราะคำว่าชาติหมายถึง

2.1ดินแดนร่วมกัน

2.2เศรษฐกิจร่วมกัน

2.3วัฒนธรรมร่วมกัน

2.4ภาษาร่วมกันและ

2.5ภูมิแห่งจิตใจร่วมกัน

              ดังนั้นการทำให้ต่างชาติเข้ามา Take ดินแดน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ภาษาได้คือการสิ้นชาตินั่นเอง

             เรียนว่าขอให้ไทยดูพม่าเป็นตัวอย่าง เขาปรับตัวอย่างรวดเร็วก่อนเข้าร่วมเศรษฐกิจเสรีอาเซียน การเจรจาสงบศึกภายใต้การให้ค่าแก่กันและกันได้นำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเมืองของพม่าอย่างไรและถนนทุกสายในโลกกำลังตัดเข้าไปในพม่าอย่างไรและหลายๆประเทศกำลังเข้าไปเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติพม่า”

             3.สถานการณ์ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม “ใกล้ล่มสลาย”  ประธานาธิบดี มาห์มุด อาห์มาดิเนจัด แห่งอิหร่าน กล่าวว่า “ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมกำลังเสื่อมลงทุกขณะ” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง การล่มสลายของระบบทุนนิยมโลกเป็นวิกฤติเศรษฐกิจทั่วไปจริงของโลก จะเห็นได้ว่าประเทศอภิมหาอำนาจและมหาอำนาจโลกต่างมีหนี้สินสาธารณะท่วมจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แสดงว่าระบบเศรษฐกิจแบทุนนิยมกำลังล่มสลายลง ดังที่ประธานาธิบดีมาห์มุดกล่าว สภาพการณ์ดังกล่าวจึงบังคับสภาพให้ประเทศไทยต้องรีบปรับตัวให้เป็นประชาธิปไตยก่อนที่ระบบทุนนิยม (ยุคแห่งการแข่งขัน) จะล่มสลาย เพราะไทยเป็นประเทศเดียวที่มีคุณสมบัติประจำชาติสามประการเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาโลกได้ คือ

3.1รักความเป็นไท (Love of Independence)

3.2อหิงสา Non-Violence) และ

3.3รู้จักประสานประโยชน์(Power of Assimilation) ที่จะนำพาโลกไปสู่ยุคใหม่ (คือยุคแห่งการแบ่งปัน) ได้

              สามสถานการณ์นี้จึงทำให้เกิด “สภาพบังคับ” ให้ประเทศไทยซึ่งมี “การปกครองแบบเผด็จการ” “เป็นเงื่อนไขสงคราม” ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ไปสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว มิฉะนั้นนอกจากรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ประชาชนจะต้องอับอายกลายเป็น “ขี้ข้าต่างชาติ” บนแผ่นดินของตัวเองอย่างน่าอับอาย ดังพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 6 ที่ว่า

ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส

เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย

เขาจะเห็นแก่หน้าฆ่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย

ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา

               วันนี้ถ้าคนไทยไม่อยากให้ประเทศไทยล่มสลาย ตกเป็นขี้ข้าต่างชาติแล้ว ผู้ปกครองก็ต้องมีดวงตาเห็นธรรมแบบพม่า ร่วมมือกับประชาชน สถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยให้เป็นจริงขึ้นมา บ้านเมืองก็จะหมดความขัดแย้ง เสถียรและมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง

                                                                          นิรกาย

               ปล.การเรียกร้องของคณะนิติราษฎรเป็นการเรียกร้องที่ไร้เดียงสา เพราะการเรียกร้องดังกล่าวเป็นการเรียกร้องเรื่อง “เสรีภาพ” ไม่ใช่การเรียกร้องเรื่อง “อำนาจอธิปไตยปวงชน” การเรียกร้องเรื่องเสรีภาพนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับการเรียกร้องของ “คนเดือนตุลา” ในอดีตที่เรียกร้องให้ได้มาซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่มีผลต่อการกินดีอยู่ดีและความเสมอภาคของประชาชนแต่อย่างใด เพราะอำนาจอธิปไตยยังอยู่ในมือของคนส่วนน้อย

               สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันตายไปเพื่ออะไร กลายเป็นการ “เตะหมูเข้าปากหมา” ใช้ชีวิตคนจำนวนหนึ่งไปช่วยกันโค่นเผด็จการคณะหนึ่งไปให้เผด็จการอีกคณะหนึ่งอีก

              การเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎรคือการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางวิชาการ เพราะคำว่าคณะก็คือ Party ในภาษาอังกฤษ การเคลื่อนไหวล่ารายชื่อก็คือการเคลื่อนไหวมวลชนเพื่อการระดมสมาชิกเข้าพรรคนั่นเอง โดยมีนโยบายพรรคก็คือการแก้ไขมาตรา 112

               การที่พรรคเพื่อไทยไม่เล่นด้วยก็เพราะว่านโยบายของพรรคนิติราษฎรเหนือกว่านโยบายของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง

              ถ้าคนไทยเอากับพรรคนิติราษฎรมากๆ พรรคนิติราษฎรก็จะเทคอำนาจแทนพรรคเพื่อไทยหรือพรรคเหลืองนั่นเอง

              สำหรับผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ “เสรีภาพทางความคิดคือเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์” ก็จริง แต่ความเห็นแย้งในเรื่องทฤษฎีแก้ไขหรือไม่แก้ไขม.112 จะนำมาซึ่งการฆ่ากันตายชนิดนับศพไม่ได้

              คนที่เอาหรือไม่เอามาตรา 112 ต่างล้วนหลงประเด็นในเรื่องการแก้ไขปัญหาชาติ เพราะปัญหาชาติคืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนหรือไม่ใช่ของปวงชน ไม่ใช่เรื่องประมุขของประเทศ เพราะประมุขของประเทศไม่ใช่ประมุขของฝ่ายบริหาร ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ประชาชนกินดีอยู่ดีกันอย่างเสมอภาคแล้ว มาตรา 112 จะเขียนอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหาครับ!

Tags : ชักน้ำเข้าลึก

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view