ตำนานวัดพระสิงห์ วัดสวยชวนชมที่เชียงใหม่
โดย ทิดดำ ขานธรรม เรื่อง/ภาพ-บารมี เปาอินทร์
วัดพระสิงห์มีหลายจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นวัดหลวง มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา ไปจังหวัดไหนถ้ามีวัดพระสิงห์ละก้อ ควรแวะไปชม ผมไปเชียงใหม่หลายครั้งก็ยังไปกราบไหว้พระสิงห์เสมอ เว้นแต่ยุ่งจนไม่เหลือเวลา
วัดพระสิงห์มีตำนานให้อ่าน ตามบันทึกจากหลายแหล่ง แต่ทุกวันนี้เปิดดูได้จากอินเตอร์เนต โดยเฉพาะจากกูเกิ้ล หาได่ทุกทิศทาง กว้างไกลไปทั่วโลก ขอขอบพระคุณที่เปิดโลกให้แคบลงและให้ความรู้แก่สาธารณะ ซวด ซวด
สัญลักษณ์สิงห์คู่หน้าอุโบสถ
พญามังราย กษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์ลาวจก ครองราชย์ระหว่างปีพ.ศ.1835-1854 ที่นครเงินยาง ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก ปัจจุบันนี้คือเมืองเชียงแสน ตั้งราชธานีว่า โยนกนคร ต่อมาพระองค์ได้เข้ายึดครองเมืองหริภูญไชย(ลำพูน) เข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน และได้สร้าง เวียงกุมกาม ริมฝั่งแม่น้ำปิง แต่เมืองนี้ได้เกิดน้ำท่วมหลายครั้งจึงตัดสินพระทัยย้ายเมืองมาสร้างขึ้นใหม่ที่ราบเชิงดอยสุเทพ เมื่อปีพ.ศ.1837
ลานไหว้พระพุทธสิหิงค์หน้าอุโบสถ
พระประธานในอุโบสถวัดพระสิงห์
ปีพ.ศ.1888 พญาผายู กษัตริย์ราชวงศ์ลาวจกองค์ที่ 5 (บ้างก็ว่าองค์ที่ 7) แห่งนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่(พ.ศ.1877-1910) ได้ทรงสร้างเจดีย์สูง 23 วา เพื่อบรรจุพระอัฐิพญาคำฟู พระราชบิดาของพระองค์ อีก 2 ปี ต่อมาได้สร้างวัดประกอบด้วย พระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฏิสงฆ์ โปรดตั้งชื่อว่า วัดลีเชียงพระ
หอไตรที่ฝั่วขวาหน้าวัด
ครั้นพระเจ้าแสนเมืองมา ครองนครเชียงใหม่พ.ศ.1928-1944 แต่ไม่ปรากฎหลักฐานว่าปีใด พระเจ้าแสนเมืองมาได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์(พระสิงห์) จากวัดพระสงิห์ เชียงราย มาประดิษฐานที่นครเชียงใหม่ แต่เมื่อช้างทรงอัญเชิญมาถึงวัดลีเชียงพระ กลับไม่ยอมก้าวเท้าไปไหน จึงโปรดให้ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่วัดลีเชียงพระ ชาวเชียงใหม่นิยมเรียกว่าพระสิงห์ อันเป็นที่มาของชื่อวัดตราบเท่าทุกวันนี้
ปีพ.ศ. 2061 พระเมืองแก้ว กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 13 พ.ศ.2038-2068 ได้ทรงสร้างวิหารลายคำด้วยศิลปะล้านนา มีขนาดเล็ก ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งมีขนาดหน้าตักกว้าง 31 นิ้ว(63 ซม) สูง 51 นิ้ว(79 ซม.) หล่อด้วยสำริดหุ้มทอง ปางสมาธิ ศิลปะลังกา ครั้งถึงเทศการสงกรานต์นครเชียงใหม่ จะเปิดให้สรงน้ำพระพุทธสิหิงค์
เจดีย์บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าคำฟู
ปีพ.ศ.700 พระเจ้าสิหฬะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงลังกาทวีป ได้สร้างพระพุทธสิหิงค์ ต่อมาเจ้านครศรีธรรมราช ได้ขอพระราชทานมาถวายพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย จึงมีการกล่าวถึงว่า พระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่ที่สุโขทัย กำแพงเพชร และอีกหลายเมืองใหญ่ๆ เช่นเมื่อปีพศ.2205 พระนารายณ์มหาราชทรงรบชนะเมืองเชียงใหม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ มาประดิษฐานที่วัดพระสรีสรรเพชญ์ นานถึง 105 ปี ครั้งปีพ.ศ.2310 เสียกรุงศรีอยธยาให้กับพม่า พระพุทธสิหิงค์ก็ได้ถูกอัญเชิญกลับไปนครเชียงใหม่
วิหารลายคำสวยสม
ต่อมา พ.ศ.2525 พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี ปีพ.ศ.2334 เกิดศึกพม่าเชียงใหม่ จึงทรงส่งให้เจ้าพระยามหาสุรสิงหนาท ขึ้นปราบขบถ และอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทธไธสวรรค์ พระราชวังบวรสถานมงคล ตราบทุกวันนี้
คนกรุงเทพ ทุกปีก็ได้สรงน้ำพระพุทธสิหิงค์องค์จริง ทุกช่วงเทศกาลสงกรานต์
ส่วนคนเชียงใหม่ ทุกปีก็สรงน้ำพระพุทธสิหิงค์องค์ปลอม ได้ที่วัดพระสิงห์ ทุกช่วงเทศกาลสงกรานต์เหมือนกัลลลล
พระพุทธสิหิงค์องค์จำลองในวิหารลายคำ
ผมไปไหว้พระที่วัดพระสิงค์ ไม่ได้ใส่ใจหรอกครับว่าองคืไหนจริงองค์ไหนปลอม หรือสร้างขึ้นมาแทน หากแต่ผมกราบพระพุทธองค์ที่ทรงสถติอยู่ในพระพุทธรูปทุกพระองค์ ด้วยใจ
แต่ที่ผมชอบไปวัดพระสิงคืก็ด้วยศิลปะการสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร ด้วยศิลปะช่างล้านนา มีความงดงาม อ่อนช้อย ชวนมอง ทั้งงานสถาปัตยกรรม ทั้งศิลปะการวาดภาพผนังอุโบสถ งานปั้นปูนที่งดงาม ละเมียดละไม งานที่เป็นเอกลักษณ์ของเชียงใหม่หรือล้านนา
พระพุทธสิหิงค์องค์จำลอง
ได้เห็นศรัทธาของพุทธศาสนิกชนคนพุทธและคนศาสนาอื่นๆ แต่คงจะเข้ามาชมด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป น่าเสียดายว่า ไม่มีมัคคุเทศก์ที่จะให้ความรู้เรื่องประวัติของวัด เรื่องราวของศิลปะล้านนา หรือเหตุผลที่สร้างพระเจดีย์ นั่นซิ พระเจดีย์องค์นี้มีชื่อไหมหนอ
ปีพ.ศ.2478 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญ ต่อมาปีพ.ศ.2497 ได้รับการตั้งเป็นพระอารามหลวงชนิดวรมหาวิหาร
แต่ในใจของชาวเชียงใหม่ อาจจะคิดว่านี่คือวัดประจำราชวงศ์ของนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ก็น่าจะเป็นได้