ตลาดน้ำวัดท่าการ้อง กราบหลวงพ่อยิ้มอิ่มสุข
โดยป่าน ศรนารายณ์ เรื่อง/ภาพ-บารมี เปาอินทร์
ตลาดน้ำวัดท่าการ้อง ใกล้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปเที่ยววันเดียวกลับได้อย่างสบายๆ แถมยังได้แวะกินโรตีสายไหมรำลึกถึงวันคืนที่พ้นผ่านสมัยเด็กๆที่มีขายในงานวัด แต่วันนี้มีขายริมทางทั่วไป ตลาดน้ำที่ไหน ๆก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ที่วัดนี้ โชคดีได้ไปไหว้หลวงพ่อยิ้ม พระประธานในโบสถ์เก่าแก่แต่ครั้งอยุธยาตอนต้น ที่เล่าขานกันว่า กราบไหว้แล้วอิ่มสุขไปทั้งชีวิต
ป่านเป็นเด็กๆจังหวัดใกล้เคียงอยุธยา พื้นเพเรื่องอาหารการกิน อุปนิสัยการเป็นอยู่ พฤติกรรมการอยู่อาศัยและวิถีชีวิตใกล้เคียงเหมือนแฝดกันมา พุทธศาสนาฝังลึกในกมลสันดาน ไปเจอพระสงฆ์องค์เจ้าที่ไหน ทั้งพระอิฐพระปูน หรือพระที่ธุดงค์ท่องๆอยู่ริมทาง ก็ยกมือสาธุไปทั่ว เป็นความเคยชินไปแล้วสำหรับชีวิตคนไทยพันธุ์ดี เฮ ชมตัวเองก็เป็น
พอทราบว่ามีตลาดน้ำที่วัดท่าการ้อง อดใจไม่ไหว เลี้ยวรถขวับไปยังเป้าหมายทันใด วิ่งไปตามถนนสาย 3469 ราดยางมะตอยแค่สองช่องจราจรก่อนเข้าไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3 กม. ถึงวัดก็ไม่ได้เห็นอีกาสักตัว แต่หลวงพ่อปั้นปูนไว้เยอะ วางไว้ประหนึ่งว่ากาจริง ตุ๊กตาพระเณรน่ารัก และการละเล่นของเด็กๆในสมัยอดีตกาลก็ช่างน่ารัก ลานจอดรถกว้างขวาง ร้านรวงมีทั่ว ขายของฝากของที่ระลึก
ลงจากรถกันได้ก็อย่างว่า รี่ไปเข้าห้องสุขา หรือห้องน้ำทำกิจธุระส่วนตัว โอ้โฮ สะอาด หอมกรุ่น และสวยเหลือเกินแม้จะไม่ใหญ่โตแบบอลังการเหมือนวัดบางพลีใหญ่ ออกจากห้องสุขาก็เดินไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด จุดแรกเลยที่เดียวก็ตรงดิ่งไปกราบหลวงพ่อยิ้มอันมาสมญาว่า พระพุทธรัตนมงคล ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์เก่าแก่ ทรงเรือสำเภาด้วยฐานชุกฃีโค้ง
โบสถ์กว้าง 11 เมตร ยาว 22 เมตร หันหน้าโบสถ์ไปทางทิศตะวันออก ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีกำแพงแก้วเตี้ยๆรายรอบ องค์หลวงพ่อพระพักตร์ยิ้มละไม สัณนิฐานกันว่า น่าจะสร้างเมื่อครั้งตอนต้นอยุธยาซึ่งมีความสงบสุข พระที่ปั้นออกมาจึงดูมีความสุข ฐานชุกชีหลวงพ่อยิ้มโค้งตามแบบฉบับศิลปะอยุธยาโดยแท้ ฝาผนังเรียบๆ ไม่มีภาพเขียนสี หรือจิตรกรรมใดๆ เป็นวัดขนาดเล็กมีเนื้อที่เพียง 1 ไร่ 78ตารางวาเท่านั้น น่าจะเป็นวัดเล็กที่สุดในประเทศไทย
พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาเที่ยวตลาดน้ำเวียนวนกันเข้ามากราบไหว้ไม่ขาดสาย กลิ่นธูปควันเทียนคละคลุ้ง ประตูโบสถ์กว้างใหญ่ ทำด้วยไม้แต่สภาพของบานประตูมีร่องรอยการแกะสลักสวยงาม แต่วันนี้ชำรุดไปจนหมดแล้ว ยังไม่มีการบูรณะใดๆ เห็นแล้วก็ได้แต่คิดว่า การสร้างวัดสร้างวานั้นไม่ยาก แต่การทำนุบำรุงวัดให้คงอยู่ในสภาพที่ดีดังเดิมนั้นยากนัก
รอบลานหน้าโบสถ์ ข้างโบสถ์ มีฐานการสร้างบุญหลายฐานหลายประการ เช่น บริจาคโลงศพ บริจาคน้ำมันตะเกียง บริจาคเกจิอาจารย์ที่เรียงราย ถวายสังฆทานเสริมสร้างบุญบารมี และให้อาหารปลาหน้าวัดอันเป็นเขตอภัยทาน มีกระทั่งสามเณรปูนปั้นอุ้มบาตรรอรับบริจาคเศษเงินจากผู้ใจกุศล ด้านหน้าทางเข้าเลยมีศาลาพระพิฆเนศให้กราบไหว้ด้วย
ไฮไลท์เลยก็ต้องเข้าไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ ประดับประดาสวยงามมาก แถมหลวงพ่อใจดีเปิดแอร์เย็นฉ่ำให้กับญาติโยมได้เข้าไปกราบด้วยความสดชื่นระรื่นใจ แต่ไม่มีรายการสำแดงว่า พระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นจะนำไปประดิษฐาน ณ ที่ใด หรือจะสร้างองค์พระเจดีย์ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ประดิษฐานอยู่ในกุฏิเช่นทุกวันนี้ก็มีผู้กราบไหว้อยู่ดี
หมดเรื่องของพุทธสถานแล้วก็อยากย้อนอดีตของวัดท่าการ้องให้ทราบกันไว้ด้วย น่าจะไม่เสียหายอะไร มีบันทึกเล่าไว้เพียงว่า น่าจะเป็นวัดราษฏร์ แต่ใครเป็นผู้สร้างก็ไม่ปรากฎ สร้างอยู่ในหมู่บ้านท่า หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปีพ.ศ.2092 เป็นวัดเดียวที่สร้างอยู่ในชุมชนคนอิสลามสองหมู่บ้านคือ บ้านท่า และบ้านการ้อง
เมื่อปีพ.ศ.2549 พระครูสุทธิปญญโสภณ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส มีพุทธศาสนิกชนคนพุทธเพียง 8 หลังเรือนเท่านั้น สภาพวัดชำรุดใกล้จะเป็นวัดร้าง จึงได้ออกอุบายหาทางสร้างพุทธบริษัท เมื่อรอบๆเป็นอิสลามก็หาจากนอกพื้นที่เข้าวัดแทน ด้วยการสร้างส้วม สุขา ให้สะอาดเอี่ยม สวยงาม และเป็นที่กล่าวขวัญถึง หลังจากนั้นก็สร้างตลาดน้ำที่ชายฝั่งหน้าวัด พุทธบริษัทก็เข้ามาเยี่ยมกรายสมใจ พระเดชพระคุณท่านค่ะ
ในพงศาวดารกล่าวว่า เมื่อปีพ.ศ.2106 สมัยพระมหาจักรพรรดิ์ครองราชย์ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ได้ตั้งกองทัพอยู่ที่บริเวณวัดนี้ ปีพ.ศ.2310 เนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่าก็ตั้งทัพที่วัดท่าการ้องเช่นกัน อันเป็นสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์ทรงครองราชย์
นอกจากนี้ ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ยังกล่าวถึงวัดท่าการ้องว่า ขุนไกรและสามเณรพลายแก้ว อุปสมบทที่วัดท่าการ้อง(ในตอนขุนแผนถูกจองจำ) วันอังคาร ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน
ในตำนานเรื่องนายขนมต้ม วัดท่าการ้องเป็นสถานที่หนึ่งที่นายขนมต้มฝึกหัดมวย และกล่าวกันอีกว่า วัดนี้เป็นวัดสำหรับเมื่อพระราชวงศ์องค์ใดถูกอาญาให้ประหารชีวิต ก็กระทำที่วัดนี้
ก่อนการเสียกรุงครั้งที่ 2 ปีพ.ศ.2310 กล่าวเล่ากันว่า กาจากวัดท่าการ้องบินไปเสียบอกตายที่ยอดพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุ อันเป็นวัดที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงศรีอยุธยา น้ำตาหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงไหลพราก เป็นลางบอกเหตุอาเพศที่เกิดขึ้นก่อนการเสียกรุงครั้งที่ 2 นั่นแล
พอได้ทราบเรื่องราววัดท่าการ้องแล้วก็จะได้เดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ลงไปยังเรือนแพหน้าวัด ซึ่งมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งได้หลายแพ ข้างๆแพมีเรือเล็กใหญ่รายรอบ ประกอบอาหารหวานคาวให้สาธุชนคนพุทธได้เดินเลือกซื้อหามานั่งกินกันได้อย่างอิ่มเอม ส่วนมีรายการอาหารและขนมอะไรบ้างนั้น บอกได้คำเดียว ตลาดน้ำดังๆเขามีอะไรที่นี่ก็มีอย่างนั้น
ที่น่าสมัยมากก็เรือกะแชงลำกัลังดี มีที่นอนให้กับคนขี้เมื่อยได้นอนผึ่งพุ่งสบายนๆให้หมอนวดแผนโบราณ ทาน้ำมันคลายกล้ามเนื้อแล้วก็นวดตามตำรับ ลมเย็นๆพัดโชยจากผืนน้ำ แต่วันที่ไปนั้นบ่ายแก่แดดแรงสุด ผู้ถูกนวดก็ได้รับพัดไผ่สานไปโบกวีคล่ยร้อยไปคนละเล่ม กลิ่นน้ำมันสมุนไพรหอมฟุ้ง ป่านเดินผ่านไปยังติดจมุกไม่คลาย อยากนวดค่ะ แต่ลูกค้าเพียบ ไม่มีที่ว่างเลย
ถ้าเบื่อตลาดน้ำอื่นๆแล้วก็ลองแวะไปตลาดน้ำวัดท่าการ้อง อยุธยาใกล้ๆแค่นี้เอง ยิ่งถ้าไปแบบไม่รีบร้อน ไม่เร่งเร้า สบายๆด้วยละก้อ เข้าทีค่ะ