http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 13/03/2024
สถิติผู้เข้าชม14,001,230
Page Views16,309,952
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

ดงดอกรัก ตอน 1.มรดก โดย นิลมณี

ดงดอกรัก ตอน 1.มรดก โดย นิลมณี

_paoดงดอกรัก ตอน1. มรดก

โดย “นิลมณี”

            “ป๋อง ๆ ตื่นๆ เร็วๆลูก” เสียงแม่ปลุกป๋อง เด็กชายวัย 9 ขวบ พลางเขย่าด้วยสองแขน ป๋องผวาลุกด้วยอาการงงๆ เพราะเป็นเวลาดึกดื่น แต่ชั่วพริบตา ป๋องก็รีบสลัดตัวลุกขึ้นยืน หัวเฉียดท้องเพดานมุ้งที่ครอบอยู่เหนือผืนเสื่อผืนเดียวอันเป็นที่นอนของครอบครัว

            “เปียกหมดแล้ว ฝนตกยังกับฟ้ารั่ว เร็วๆเข้า แม่จะเก็บมุ้งและเสื่อ ป๋องหยิบหมอนทุกใบไปด้วยนะ หลบไปทางข้างฝานั่นแหละ” เสียงแม่ปลุกเร้าให้ป๋องรู้ว่าต้องทำอะไร ป๋องทำตามแต่ก็อดถามแม่ไม่ได้ว่า

            “พ่อล่ะแม่” แล้วป๋องก็เห็นพ่อนั่งหอบตัวโยนอยู่ข้างฝาบ้านนั่นเอง พ่อห่อไหล่เข้าหากันเหมือนปิดกั้นความหนาวเย็นของอากาศท่ามกลางฝนพรำ พ่อเป็นโรคหอบหืดเพราะงานโรงถ่านของเถ้าแก่สำราญที่พ่อทำอยู่นั้นมีแต่ฝุ่นละอองให้พ่อสูดอยู่ทุกวัน 

            “หลังคามันรั่ว สังกะสีมันผุมาก พรุ่งนี้พ่อจะไปเก็บมาแซมใหม่” พ่อพูดด้วยเสียงสั่นเครือจากอาการหอบ  แต่ป๋องก็เชื่อ ทุกครั้งที่พ่อเอ่ยเรื่องใด  พ่อก็จะทำจนสำเร็จทุกที

บ้านของป๋อง

             แม่ลากเสื่อไปสลัดน้ำที่เปียกออกเสียงดังพรืดๆ แล้วนำไปผึ่งอิงไว้ข้างฝาด้านที่ไม่เปียกฝน  ก่อนเดินมานั่งรวมกองกันที่มุมห้อง

            “เดี๋ยวฝนก็หยุด น้ำไม่รั่วลงมาอีก แม่จะเช็ดให้แห้ง ค่อยนอนต่อนะลูก” เสียงแม่ปลอบโยนด้วยอาทร และรู้ว่าเวลาราตรีที่ยังยืนยาวนั้น ป๋องจำเป็นต้องนอนให้พอเพียง ก่อนที่จะตื่นไปโรงเรียน

             “บ้าน” ของป๋องอยู่ใกล้ทางรถไฟ หรือถ้าจะเรียกว่าเป็นสลัมริมทางรถไฟก็ไม่ผิด เป็นพื้นที่ที่หลายครอบครัวแห่กันมาลงหลักปักเสาแล้วก็หาเศษสังกะสีมามุงกันแดดและฝน บ้านไหนมีเงินมากก็ขยับขยายให้กว้างใหญ่ขึ้น แต่บ้านป๋องพ่อทำงานเป็นกรรมกรโรงถ่าน แม่ก็ด้วย สองแรงจึงมีเพียงเงินที่ได้เป็นรายวันไม่พอที่จะซื้อหาวัสดุมา ขยายไปกว่านี้ได้ 

             พื้นที่ที่ป๋องเรียกว่าบ้านนั้นแท้จริงก็เป็นเพียงกระต๊อบกว้าง 4 เมตรยาว 5 เมตร มีบันได 2 ขั้น พื้นห้องนอนเรี่ยแทบจะติดกับหนองน้ำครำใต้ถุนบ้าน มีกลิ่นน้ำเน่าโชย  ขึ้นมาจนชินเสียแล้ว ฝาข้างหน้าเป็นไม้จริงแต่เป็นไม้ฝาเก่าๆที่พ่อเก็บมาตีปิดทับอยู่หลายหน  มีประตูแบบขัดแตะบานหนึ่ง เวลาพ่อเดินผ่านต้องย่อตัวลงนิดๆ แม่กับป๋องเดินผ่านได้สบายๆ  บ้านหลังนี้ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อและแม่สองคนโดยแท้

             พ่อเก็บเศษไม้ได้มาครั้งหนึ่งก็จะได้ฝาเพิ่มขึ้น บางทีก็เป็นไม้ลังที่แกะทิ้งไว้เกลื่อนกล่น  บ้านป๋องจึงไม่มีหน้าต่าง ยิ่งหลังคาสังกะสีด้วยแล้ว บางแผ่นผุไปเกือบทั้งแผ่น แต่มันก็คุ้มแดดและฝนได้อยู่บ้าง  ถ้า...ฝนไม่เทลงมาอย่างคืนนี้  

             โชคดีที่บ้านของป๋องมีลานดินอยู่โดยรอบ กว้างข้างละ 1 เมตร ด้านหน้าบ้านพ่อปลูกต้นแคไว้ต้นหนึ่ง สูงเพียงหน้าอกพ่อ ลำต้นใหญ่ขนาดน่องของแม่ ที่เตี้ยแจ้อยู่ก็เพราะว่าแม่ตัดยอดมันลง    “เพื่อให้มันแตกพุ่ม จะได้เด็ดยอดอ่อน ได้ง่าย เวลาหาผักลวกจิ้มน้ำพริกกินไงล่ะ”

            ยอดและดอกแคบ้านจากต้นนี้ แม่ดัดแปลงเป็นกับข้าวได้หลายอย่าง เช่นใส่แกงส้มผสมปลาตัวเล็กๆ  รสเปรี้ยวแม่ได้จากใบมะขามอ่อนข้างรั้ว ที่แม่เก็บเมล็ดมะขามมาโรยไว้จนเติบใหญ่เขียวขจี แม่ตัดจนเตี้ยแจ้เพียงเอวเหมือนกัน แนวมะขามจึงเป็นรั้วกินได้อีกชนิดหนึ่ง นอกจากนั้นบนแนวมะขามยังมีต้นตำลึงไต่พันผสมอยู่อีกด้วย บางวันแม่ก็เก็บใบและยอดอ่อนตำลึงมาลวกจิ้มน้ำพริก  แต่แม่ไม่เคยใส่ต้มจืดหมูสับให้กินสักที  เรื่องต้มจืดตำลึงหมูสับนี้  ป๋องเคยอ่านหนังสือและได้ยินครูเล่าถึงบ่อยๆ

            “ตำลึงข้างรั้ว ใส่ต้มจืดหมูสับ อร่อยโฮกฮือ ไร้มลพิษ”

            มุมหลังบ้านป๋องมีต้นมะละกออยู่อีกต้นหนึ่ง เจ้ามะละกอต้นนี้ก็ช่างแสนดี ขยันออกลูกให้ได้เก็บกินตลอดปี มื้อไหนที่แม่หาผักอื่นไม่ได้แม่ก็ไปปลิดมะละกอดิบมาลูกหนึ่ง แม่ปอกเปลือกออกเพียงส่วนที่จะใช้เนื้อใน อีกส่วนที่เหลือคงเปลือกหุ้มเนื้อไว้เหมือนเดิม

            “มันจะได้ไม่เฉา เก็บไว้กินได้หลายวัน” นั่นคือวิธีถนอมอาหารของแม่

            “มะละกอยางเยอะ ยางมันกัดผิวหนังได้ ต้องระวังอย่าไปถูกมันนะ ถ้าถูกยางมะละกอก็ต้องล้างน้ำออกจนเกลี้ยง เวลาไปเด็ดมาแล้วต้องทิ้งให้น้ำยางขาวๆที่ไหลจากขั้ว  ให้แห้งเสียก่อนจึงนำมาทำกินต่อไป”   แม่จะพูดไปทำไป  ป๋องจึงได้รับความรู้อันลึกซึ้งโดยปริยาย  

             แม่ปอกเปลือกมะละกอจนเห็นเนื้อขาวๆ หั่นเฉียงเป็นแผ่นบางๆขนาดความหนาครึ่งนิ้วก้อย ยาว 2-3 นิ้ว  รูปทรงไม่แน่นอน เอาสะดวกกินเข้าว่า เนื้อมะละกอดิบเมื่อต้มหรือลวกจนสุกแล้วจะมีรสหวานในเนื้อนิดๆ จิ้มกับน้ำพริกกะปิ อร่อยลิ้น  นอกจากนี้ แม่ยังเล่าว่า ยางมะละกอขาวๆนั้นหากจะทำให้เนื้อเปื่อยยุ่ยง่าย ก็ให้ใช้ยางขาวๆนั้นทาเนื้อเสียก่อน ทิ้งไว้สักครู่ ก็จะได้เนื้อนุ่มอร่อยมากขึ้น  มะละกอบ้านป๋องจึงกินดิบมากกว่ากินสุก

              ข้างประตูบ้าน พ่อปลูกมะยมไว้ต้นหนึ่ง ลำต้นขนาดแขนของพ่อ ความสูงเกินหัวพ่อ พุ่มใบดกหนา พ่อเล่าว่า โบราณเขาปลูกเพื่อให้ “คนจะได้นิยมชมชอบ” แต่สำหรับบ้านของเรา ลูกมะยมใช้เป็นรสเปรี้ยวปรุงอาหารแทนมะขามได้เป็นบางครั้ง แต่ยอดอ่อน ใบอ่อนของมะยมกินเป็นผักเคียง  หรือผสมในไข่เจียว อร่อยเหลือ

               “ใบมะยมอ่อนเขานิยมกินกับขนมจีนแกงไก่หรือน้ำยา” แม่พูดให้ฟังถึงคุณประโยชน์

               “จริงหรือแม่ ป๋องไม่เคยกินเลย” ป๋องทำสีหน้าละห้อยโหยหิว กลืนน้ำลายลง

คอ อึก อึก

              แม่มองหน้าแล้วสงสารลูก เดินเข้ามาแตะไหล่ด้วยฝามืออุ่นละมุน

              “แล้วแม่จะซื้อขนมจีนแกงไก่มาฝาก เด็ดยอดและใบอ่อนมะยมกินแกล้มได้เลย”

                ป๋องฟังแล้วอดยิ้มกระหยิ่มใจไม่ได้ แล้วเย็นวันนั้น แม่ก็ซื้อมาให้กินจริงๆ                  

               “ยอดอ่อนและใบอ่อนมะยมกินเคียงขนมจีนแกงไก่อร่อยแท้ๆ”

                ป๋องยังเด็ก จึงต้องเดินไปโรงเรียนที่วัดบ้านโพธิ์หัก ท้ายซอย กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ครูประจำชั้นเป็นครูหญิงวัยกลางคน ใจดี ไม่ดุ 

                “ป๋อง วันนี้เอาอะไรมากินกลางวันจ๊ะ” ครูเดินมาถามป๋องด้วยความห่วงใย

                “ผัดยอดแคกับไข่ครับครู”

                ครูยิ้มแล้วชะโงกหน้าเข้ามาดู แอบดมกลิ่นอันชวนน้ำลายสอด้วย

                “น่ากินจัง” แล้วครูก็ยืมช้อนจากป๋องตักชิมนิดหนึ่ง สีหน้าแปลกใจ

                “อร่อย มันดี เออ นี่เป็นความรู้เรื่องอาหารชนิดใหม่เลยนะ” 

              ครูมีเทคนิคในการสร้างความคุ้นเคย และเป็นกันเอง  กับนักเรียนเสมอ  แถมวิธีที่ครูสอนก็ทำให้เข้าใจง่าย ทำให้ป๋องจดจำได้แม่นยำ

               “หน้าที่ของเด็กดีมี 10 ประการ เอ้า ทุกคนท่องให้ครูฟังหน่อย”

               เสียงขับขานดังเพรียก เป็นเสียงสวรรค์และความหวังสำหรับครู   ผู้อยากให้ เด็กๆ ได้รับการศึกษาและเป็นคนดีต่อไป

                วันหนึ่งครูมาเล่าเรื่องดอกแคและยอดแคให้นักเรียนฟัง

                 “นักเรียนรู้ไหม ครูลองชิมไข่ผัดยอดอ่อนต้นแคบ้านของป๋องเขา อร่อย มัน เคี้ยวกรุบๆ ครูก็เลยไปลองค้นคว้ามาจากอินเทอร์เน็ต ได้ความว่า ยอดแคบ้านที่กินๆกันอยู่นั้นในยอดแคมีสารอาหารมากกว่าดอกแคเสียอีก ในยอดแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 87 แคลอรี  มีเส้นใย 7.8 กรัม  แคลเซียม 395 มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม  เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม  เบต้าแคโรทีน 8,654 ไมโครกรัม  วิตามินเอ 1,442 ไมโครกรัม  วิตามินบี1 0.28 มิลลิกรัม  วิตามินบี2 0.33 มิลลิกรัม  ไนอาซีน 2.0 มิลลิกรัม  วิตามิซี 19 มิลลิกรัม
            “ส่วนดอกแคปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 33 แคลอรี  แคลเซียม 2 มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม  เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม  เบต้าแคโรทีน 0.51 ไมโครกรัม  วิตามินบี1 0.09 มิลลิกรัม  วิตามินบี2 0.19 มิลลิกรัม  ไนอาซีน 0.5 มิลลิกรัม  วิตามินซี 35 มิลลิกรัม

                  ใครไม่เคยกินลองไปบอกกล่าวเล่าเรื่องให้พ่อกับแม่ฟังและลองทำกินดูนะ มีประโยชน์ล้นเหลือเชียวนะ”

                  ป๋องนั่งฟังด้วยความภาคภูมิใจ แคยอดด้วนต้นเดียวของพ่อมีคุณค่าเสียจริง  เพื่อนๆหันมามองและยิ้มด้วยกริยาฉงน เมื่อกลับมาถึงบ้าน ป๋องจึงเล่าเรื่องยอดแคให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อกับแม่รู้สึกแปลกใจในคุณค่าของยอดแคยิ่งนัก

                 “อ้าว เหรอ งั้นกินมันทุกวันแล้วกันนะป๋อง” พ่อแซว ป๋องหัวเราะตาหยี  

                 “โฮ.เบื่อตายเลยพ่อ” มีเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน

                  หน้าฝนน้ำหล่นจากฟ้า ถ้าวันไหนฝนตกมากกว่าปกติ  ทางเดินในชุมชนริมทางรถไฟ ก็จะยากลำบาก เฉอะแฉะไปทั่ว  แต่ริมรั้วมะขามเตี้ยๆ กลับงาม และ แตกยอดอ่อนให้เก็บกินไม่ขาด    ถึงพื้นดินจะแฉะอย่างไรก็ตาม บ้านป๋องกลับสวยงามด้วยต้นต้อยติ่งที่แตกใบเขียวครึ้ม เป็นพืชสีเขียวข้างรั้วชนิดเดียวที่กินไม่ได้ แต่เมื่อเขาออกดอกสีม่วงครามบานสะพรั่ง หน้าบ้านของป๋องกลับดูสวยกว่าบ้านใคร ป๋องเดินเข้าไปเด็ดดม  ไม่มีกลิ่นหอมเลยสักนิด

                 “สวยแต่รูปจูบไม่หอมเลย” ป๋องพึมพำเบาๆ  แล้วก็เดินไปโรงเรียน จนถึงวันหนึ่งเมื่อดอกบางดอกเริ่มโรยรา ฝักเล็กๆรูปกระสวยสีเขียวเริ่มเต่งตึง และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อเริ่มแก่ ป๋องรู้ดีว่า ฝักต้อยติ่งแก่เมื่อนำไปจุ่มน้ำแล้วดีดใส่ผมเพื่อนๆ  ฝักมันจะแตกออกเป็นสองซีก เป็นของเล่นที่นิยมกันทั่วทั้งโรงเรียน ป๋องเก็บใส่ซองพลาสติกเล็กๆได้ค่อนถุง แล้วพกติดกระเป๋าหนังสือไปด้วย เป็นของเล่นที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร แต่ก็เป็นความสุขเล็กๆของเด็กๆยากจนที่ “ไม่มีของเล่นอื่นใด” ยามไร้เด็ดดอกหญ้าแซมผม

                  วันหนึ่ง พ่อหยุดงาน ซึ่งนานทีปีหน พ่อจึงจะหยุดงาน

                  “งานไม่เข้า ถ่านไม่มีมาลงที่โกดังเลย ”

                  พ่อเดินนำหน้าป๋องไปกลางทุ่งริมทางรถไฟ พ่อลัดเลาะไปตามคันนา ผ่านสถานีรถไฟบ้านโพธิ์หัก แล้วเลยไปถึงริมคลองที่ถูกขุดเป็นคูน้ำ “ร่องสวน” พ่อหยุดยืนดู ดงดอกรักที่กำลังออกดอกขาวพราวไปทั้งต้น

                  “ถ้าพ่อมีที่ดินสักงานหนึ่ง พ่อจะปลูกดอกรักอย่างนี้บ้าง มันเป็นไม้ดอกที่ปลูกครั้งเดียวแต่เก็บเกี่ยวได้หลายปี”

                   พ่อยืนพูดเบาๆเล่าให้ป๋องฟัง นัยน์ตาเป็นประกายแห่งความหวัง  

                  “ป๋องจะช่วยพ่อเก็บดอกรักไปร้อยมาลัยขายนะพ่อ” ป๋องสอดประสานเบาๆ

                  “พ่อจะได้ไม่ต้องไปสูดผงถ่านดำๆอีก” ป๋องเติมเต็มความรู้สึกแผ่วโผย

                   “ใช่ ถ้าพ่อมีที่ดินสักงาน”   หางเสียงของพ่ออ่อนล้าเหมือนจะสิ้นหวัง

                   พ่อเดินลัดเลยไปอีกแปลง แล้วก็ข้ามคูน้ำไปบนไม้ไผ่ลำเขื่องที่ทอดขวางร่องน้ำ ป๋องตามไปติดๆด้วยความรู้สึกเริงร่า ประหนึ่งว่า เป็นดงดอกรักของตน สองพ่อลูกเดินลัดทุ่งไปอีกครู่ก็ถึงชายคลองมีกอไผ่กอใหญ่ขึ้นอยู่  พ่อมองหาหน่อไม้ แล้วก็บรรจงงัดด้วยมีดเหน็บประจำกาย หน่อไม้ไผ่กอใหญ่ริมคลองกอนี้ ใครๆก็เดินมาเก็บหาไปกินได้  ไม่มีใครหวง  ด้วยว่าเจ้าของเป็นคนกรุงเทพ พ่อเดินกลับด้วยการเด็ดยอดผักบุ้งริมทาง ใกล้น้ำ ยอดอวบๆสีขาวน่ากินติดมือมาด้วยอีกกำมือหนึ่ง 

                  “เย็นนี้ แม่จะแกงหน่อไม้ใส่ซี่โครงไก่ให้กินนะ”

                   พ่อพูดเบาๆ แล้วยืนหอบ สอดส่ายสายตาไปทางโน้นทีทางนี้ที  แล้วก็พยักหน้าให้ป๋องเดินตาม     

                   “กลับบ้านเถอะลูกแม่เขารออยู่”  

                    หลังอาหารมื้อค่ำ ป๋องกินแกงซี่โครงไก่ใส่หน่อไม้ อิ่มจนพุงกาง พ่อนั่งสูบบุหรี่อยู่มุมห้อง แม่เก็บกวาดแล้วล้างจาน ป๋องนอนคว่ำทำการบ้านกลางห้องใกล้แสงไฟฟ้าหลอดเดียวที่มีอยู่ ชีวิตที่เรียบง่ายของครอบครัวป๋องไม่มีเรื่องตื่นเต้น เว้นแต่เสียงทะเลาะกันดังลั่นซอยจากเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม

                   “เมื่อไรมึงจะตายซะทีวะ เมาทั้งวัน งานการไม่ทำ ไอ้เหี้.......” เสียงแปล้แปร๋นของป้าคล้อยดังข้ามหลังคามาลั่นๆ

                   “อีดอก....วอนนะมึง ไม่มีกูใครจะเอามึงทำเมียวะ ไม่สำนึกซะบ้างเลยอีแก่” ตาชดส่งเสียงตอบโต้แบบ “กูไม่กลัวมึง” ดังขรม

                   พ่อมองสบตาแม่แล้วก็ขยับเข้าไปหลังห้อง พ่อกอดแม่ไว้แนบอก แล้วก้มลงหอมแก้มแม่ แม่เอียงอาย “เดี๋ยวป๋องเห็นนะพ่อ อุ๊ยๆ ”

                   “พ่อโชคดี ที่ไม่เคยโดนเมียด่าอย่างไอ้ชดมัน” แล้วพ่อกับแม่ก็หลบเข้าไปหลังฉากกั้นห้องครัว ป๋องก้มหน้ายิ้มแล้วเขียนหนังสือขยุกขยิกต่อไป สายตาเหลือบแลไปทางท้ายห้องสองสามครั้งก็หันเหมาสนใจการบ้านตรงหน้า

                     ครอบครัวป๋องมีวิถีชีวิตที่ราบเรียบ ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการลงไม้ลงมือ ทุบตี และรำมวยไทยใส่กัน แต่ถึงกระนั้น ครอบครัวป๋องก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นจนได้เมื่อบ่ายวันหนึ่ง ป๋องกำลังเดินกลับมาจากโรงเรียน เห็นพ่อนอนแน่นิ่งอยู่ที่หน้าบ้าน ปากและจมูกของพ่อแดงฉานด้วยเลือดเป็นลิ่มๆ แม่นั่งโอบรัดร่างพ่อไว้ในอ้อมอก และร้องไห้ปานจะขาดใจ

                       “ป๋อง มาเร็วๆลูก พ่อไม่สบายมากแล้ว” เสียงแม่เร่งร้อน  ป๋องเร่งฝีเท้าก้าวพรวดเดียวถึงร่างของพ่อ

ป๋องน้ำตารื้นอย่างร้าวราน

                      “พ่อ..พ่อ..”   เด็กชายพยายามเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบจากพ่อ

                      “แล้วฉันจะอยู่กันยังไง พ่อๆ”

                      แม่พยายามเขย่าร่างของพ่อ น้ำตานองหน้า แต่....พ่อไม่ตอบสนองเสียแล้ว พ่อจากไปเงียบๆด้วยโรคร้าย หอบหืด หรือวรรณโรคกันแน่ก็ไม่รู้   แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด พ่อได้ตายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี อย่างกับที่ป๋องอ่านบนตาลปัตรเมื่อพระมาสวดศพพ่อบนศาลาวัด 

                      บางวาบความคิดคำนึง ป็องรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงพ่อพูดรำพึง “ถ้าพ่อมีที่ดินสักงาน พ่อจะปลูกต้นดอกรักเพื่อเก็บดอกขาย”  น้ำตาไหลอาบแก้มป๋องจนพร่าพราย

                      ป๋องไม่เคยรู้เลยว่าพ่อแม่เป็นใครมาจากไหน ป๋องรู้แค่ว่าพ่อกับแม่เป็นคนงานโรงถ่านเถ้าแก่สำราญใกล้ทางรถไฟสถานีโพธิ์หัก พ่อกับแม่ไม่เคยพาไปบ้านย่าหรือยาย ไม่เคยเล่าถึงญาติพี่น้องเลยสักคน เหมือนอย่างกับว่า พ่อและแม่เป็นคู่ผัวเมียเดียวที่โดดเดี่ยวเดียวดาย แต่จำเป็นหรือที่จะต้องรู้เรื่องราวครั้งอดีตของพ่อกับแม่

                     ป๋องรู้แต่เพียงว่า มีพ่อแม่ที่แสนดี รักและเอาใจใส่ป๋องดุจแก้วตาดวงใจ   นอกจากนั้นป๋องยังมี”บ้าน”หรือ“กระต็อบสัปรังเค”ในชุมชนริมทางรถไฟที่อบอุ่น เพียบพร้อมด้วยพืชผักกินได้มากมายหลายชนิดที่พ่อเฝ้าเพียรปลูกไว้ให้เก็บกินอย่างเอมอิ่ม มันเป็น”มรดก”ที่พ่อทิ้งไว้ให้ป๋องกับแม่ได้อยู่อาศัยต่อไป ป๋องนึกถึงวันที่พ่อได้กรอบประตูไม้ขัดแตะมาใหม่

                    “ป๋อง ๆ ลงมาดูอะไรนี่ พ่อได้ประตูไม้ขัดแตะมาบานหนึ่ง เดี๋ยวลงมาช่วยพ่อประกอบประตูนะ”

                   ป๋องวิ่งออกจากห้องมาชะโงกดูตามเสียงตื่นเต้นของพ่อ ได้เห็นอากัปกริยาดีใจได้ปลื้มของพ่อ เพียงนึกน้ำตาป่องรื้นขึ้นท่วมสองตา 

                   “ป๋องลงมาช่วยกันทำประตูใหม่ เพื่อทดแทนแผ่นผ้าพลาสติกเก่าคร่ำที่ใช้ปิดบังช่องปะตูเสียที  นั่นเป็นวัสดุก่อสร้างชิ้นสุดท้ายที่พ่อทำให้มันเป็น “บ้านที่สมบูรณ์แบบ” มีประตูบ้านถาวร มั่นคง มีดานขัดเมื่อปิดประตูเข้านอน และมีสายยูคล้องกุญแจเมื่อออกจากบ้านไปทำงานบ้านดูปลอดภัย

                    แต่ไม่ว่าบ้านน้อยหลังนี้มันจะเล็กและดูสับปะรังเคเพียงใด มันก็เป็น“มรดก”ที่พ่อทิ้งไว้ให้ป๋องและแม่ได้อยู่อาศัยต่อไป                      

ปล.ต้นแคบ้าน  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesbania grandiflora (L.) Pers วงศ์ FABACEAE

 

Tags : บ้านทุ่งแสนสุขตอน10.ดอกโสนบานแล้ว

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view