จากดอยดอกฝิ่นมาเป็นดอยดอกดาวเรือง
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
จากแม่สอดไปอุ้มผางระยะทางห่างไกลกว่า 164 กิโลเมตร ถนนคดเคี้ยวเลี้ยวลดจนเวียนหัวอาเจียนไปหลายคน ว่ากันว่ากว่าจะสิ้นสุดทางต้องเลี้ยงโค้ง 1,219 โค้ง ถนนหรือก็แค่สองช่องจราจรดีว่าราดยางดีแล้ว แต่ลาดเนินเขาสูงๆต่ำๆยังมีให้เห็นตลอดทาง ตลอดเส้นทางมีป่าเขาลำเนาไพรมากกว่าที่อยู่อาศัยของผู้คน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบ้านอุ้มเปี้ยม อ.พบพระ จ.ตากแหลมล่อเข้ามาบนถนนสายดังกล่าว ห่างจากอุ้มผาง64 กิโลเมตร
ทีเขาทำกินของบ้านอุ้มเปี้ยม
หมู่บ้านอุ้มเปี้ยมมีชนเผ่าม้งอยู่อาศัยเต็มร้อย ส่วนจะอยู่กันมานานแค่ไหนไม่ได้สืบหาข้อมูลด้วยว่าเป็นการวิ่งรถผ่านและแวะพักกลางทางเพื่อเข้าห้องสุขา ดื่มกาแฟ พักรถยนต์ และถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ณ จุดักรถนั้นมีระดับสูงจากน้ำทะเลปานกลางกว่า 1000 เมตร อากาศหนาวเย็นจัดในฤดูหนาว แต่แม้เดือนกุมภาพันธ์ยังเย็นสบายมากๆ
ฉันรักเธอที่บ้านอุ้มเปี้ยม
เดี๋ยวนี้มีป้ายอวดความงดงามให้ถ่ายรูป มีร้านรวงที่สวยงามกว่าที่อำเภอเคยสร้างขึ้น รถทุกคันเลือกจอดได้ทั้งสองแห่ง เบื้องหน้าเป็นป่าเขาลำเนาไรที่ถูกถากถางลงเพื่อทำไร่เลื่อนลอย ปลูกข้างไว้กิน ปลูกข้าวโพดไว้ขาย ปลูกผักไว้กินและขาย นอกจากนั้นยังปล่อยให้วัวควายเดินหากินกันไปทั่ว คนกรุงเทพมักมองว่าสวยยังกับสวิสเซอร์แลนด์ แต่นักวิชาการป่าไม้แก่อย่างผมมองว่าถ้ามีป่าไม้รกครึ้มเห็นเรือนยอดชิดติดๆกันจะสวยสักเพียงไหน
ทุ่งดอกดาวเรืองของโบยิ่ง
แต่นั่นคือวิถีชีวิตของชนเผ่าม้งผู้อพยพเข้ามาอยู่และทำกินหล่อเลี้ยงครอบครัว เป็นวัฎฎจักรที่ยากจะแก้ไขปัญหาคนอยู่กับป่าได้ อดีตบนที่ลับหูตาเจ้าหน้าที่เขาปลูกฝิ่นส่งขายรายได้ดี แต่ละปีก็ไม่ต้องปลูกมาก ประหยัดพื้นที่ป่าเขาไปเยอะ แต่มันเป็นฝิ่นผิดกฎหมาย จึงถูกจับทำลายไปจนสิ้น เหลือแต่ยังทำไร่เลื่อนลอยมากเหมือนเดิม
ลูกๆของโบยิ่ง
วันนี้วกเราสื่อมวลชนได้เห็นชาวม้งปลูกดอกดาวเรืองเหลืองอร่ามไปทั้งเขา ปลูกตามหลักวิชาการที่เกษตรแนะนำ ระยะห่างระหว่างต้นราวๆ 80x60 ซม.พรวนดินใส่ปุ๋ยตามตำรา ได้ต้นดาวเรืองเจริญเติบโตกว่า98% กำลังออกดอกไสวไปทั่ว มีทั้งดอกขนาดใหญ่กว่า 5 ซม.และเล็กลดหลั่นกันไปตามอายุไข ครอบครัวของนายโบยิ่ง แซ่ลี บ้านเลขที่ 12/1ม.1บ้านอุ้มเปี้ยม ต.คีรีราช อ.พบพระ จ.ตาก กำลังเก็บดอกดาวเรืองเล่าว่า
โบยิ่ง แซ่ลี
ผมมีเมียสองคนลูกๆ16คน นั่นลูกชายคนโตของผม โน่นก็ลูกสาวลูกชายจนถึงตัวเล็กๆในดงดาวเรืองอีก 5-6 คน หลานก็มีแล้ว ครอบครัวเรายังช่วยกันทำกินบนพื้นที่ดินที่ถากถางไว้ ปลูกข้าว พืชไร่ ผัก และดอกดาวเรืองขาย รับซื้อจากชาวสวนที่ปลูกดอกดาวเรืองด้วย ใส่รถปิกคันนี้ไปส่งขายถึงกรุงเทพ ไปครั้งหนึ่งเต็มคันรถ
ลูกชายคนโตของโบยิ่ง
ราคาดอกดาวเรืองขึ้นอยู่กับขนาดของดอก ถ้าดอกใหญ่ก็ดอกละ 1 บาทขึ้นไป ถ้าเล็กลงมาก็ดอกละ 30-50สตางค์ แต่รวมๆกันไปก็เหมาขายอีกราคาหนึ่ง ส่วนใหญ่ผมขนกลับบ้านแล้วไปคัดแยกดอกใหญ่บรรจุถุงขนาด 1000 ดอก ก็ได้ราคาดีกว่า ดอกเล็กลงไปก็อีกราคาหนึ่ง ตลาดไม่ค่อยแน่นอน แต่ผมใช้แรงงานในครอบครัวจึงไม่มีรายจ่ายเลย
เมียคนแรกของโบยิ่ง
เมื่อถามว่าทำไมถึงหันมาปลูกดอกดาวเรืองก็ได้รับคำตอบว่า ปลูกฝิ่นปลูกกัญชาราคาดีแต่ตำรวจไล่จับจนเข็ด ประกอบกับเมื่อปลูกดอกดาวเรืองแล้วขายได้ราคากว่าปลูกพืชอื่นๆ ปลูกก็ง่าย ดูแลก็ไม่ยาก ยาก็ไม่ต้องฉีด แมลงไม่กล้าราบกวน ประหยัดค่าใช้จ่าย จึงได้กำไรดีกว่าปลูกอย่างอื่นๆ ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ได้เด็ดดอกออกขาย
แรงงานจากครอบครัวไม่ได้จ้างใคร
พื้นที่ที่ทำสวนดอกดาวเรืองนี้ เก็บเกี่ยวหมดแล้วก็พรวนดินใหม่ ใส่เศษต้นดาวเรืองป่นและหมักผสมเป็นปุ๋ยกลับให้ดินเดิม ปุ๋ยเคมีใส่ครั้งเดียวก็เหลือพอ ใส่มากบ้าใบไม่ออกดอกอีก ปีหนี่งปลูก 2 รอบ ก็พอแล้ว ช่วงว่างก็ปลูกผัก ปลูกข้าวไร่กิน เหลือก็ขายไม่ได้เดือดร้อนอะไร ลูกๆก็ไปโรงเรียนที่นี่ โตหน่อยก็ไปแม่สอด หรือไปในเมืองตากครับ
เมียคนที่สองของโบยิ่ง
เมื่อกฎหมายได้รับการใช้อย่างเหมาะสม ก็ได้พลเมืองที่อยู่ในกรอบ สามารถทำมาหากินได้ทั่วไปในแผ่นดินทองผืนนี้ แต่ถ้ากฎหมายบังคับใช้ย่อหย่อนก็อาจมีพืชเสพย์ติดเกลื่อนเมือง เงินใครก็อยากได้มากๆ แต่ถ้าได้แล้วไปทำลายคนอื่นๆก็บาปกรรม ทำการเกษตรกรรมเพื่อชีวิตจึงควรทำอย่างที่นายโบยิ่งทำอยู่ ดีไหมครับ
ดอกดาวเรืองคละกันอยู่ต้องไปแยกขนาด
เต็มรถก็ขนไปขาย
หลานของโบยิ่ง
จะเก็บได้ในเดือนถัดไปหมุนเวียนไปเรื่อยๆ