วัดพระธาตุเชิงชุม สกลนคร
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
อนุสนธิจากการไปท่องเที่ยวภาคอีสานกับทหารและสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ(สทน.23-26 ธค.55) บ่ายหนึ่งซึ่งแดดสวยเหลือกำลัง สาดส่องวัดพระธาตุเชิงชุมเต็มๆ เป็นภาพที่งดงามตระการตาซึ่งจะหาโอกาสเช่นบ่ายวันนั้นไม่ได้ง่ายๆเลย เป็นบุญตาและเป็นบุญของwww.thongthailand.com ที่พยายามไขว่คว้ามานาน คราวนี้บุญหล่นทับเลย ได้ภาพสวยสมใจมาโพสท์ให้แฟนๆได้ชมกันเป็นขวัญตา เพียบ
วัดพระธาตุเชิงชุม ถ่ายจากทิศใต้
จากเอกสารของ ดร.เพ็ญศักดิ์ จักษุจินดา สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสกลนคร (2543-2549)ซึ่งท่านได้พิมพ์เผยแพร่ กล่าวว่าเมืองสกลนครโบราณ มีผังเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบด้วยคูเมืองกว้างใหญ่คล้ายคลึงกับผังเมืองเขมรโบราณแห่งอาณาจักรพระนครหลวงของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 (พ.ศ.1027-1115) ซึ่งเป็นศูนย์อำนาจการปกครองในขณะนั้น (นครธม) โดยขุดพบหลักฐานอันสำแดงว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเขมรโบราณมากมายหลายแหล่ง
มุมตะวันออกเฉียงใต้ ศิมหลังคาสีดำ
อาทิเช่น ปราสาทศิลาแลงของวัดพระธาตุเชิงชุม พระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุดุม พระธาตุภูเพ็กและสะพานหิน มีอายุไม่น้อยกว่า 1,000 ปี เมืองสกลนครหรือเมืองหนองหารนั้นคืออู่อารยะธรรมของแอ่งสกลนคร และจากจารึกบนกรอบประตูปราสาทศิลาแลงวัดพระธาตุเชิงชุมบ่งบอกว่าชนชั้นปกครองในช่วงเวลานั้นๆ นับถือทั้งศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู ระหว่างศตวรรษที่ 16-17
มุมนี้ทิศตะวันตกถ่ายลอดซุ้มประตู
นอกจากนี้ยังพบว่าลาวศรีสัตนาคนหุตล้านช้างได้เข้ามาครอบงำแอ่งสกลนครช่วงศตวรรษที่ 19-20 โดยมีการดัดแปลงปราสาทศิลาแลงของเขมรเป็นพุทธสถาน ในแอ่งสกลนครยังพบว่ามีศิลปกรรมยุคทวารวดี ศิลปกรรมเขมรโบราณ และศิลปกรรมลาวศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง มากมายหลายแหล่งเช่น ใบเสมาหินในอำเภอสว่างแดนดิน พระธาตุดุมอันเป็นศิลปะเขมรโบราณแบบปาปวน พระธาตุนารายณ์เจงเวงเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
มุมภาพทิศตะวันตกเฉียงใต้
ตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่า พระยาสุวรรณภิงคาร เป็นเจ้าผู้ครองเมืองหนองหารหลวง พระศรีศากยมุณี พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 แห่งพระพุทธศาสนาได้เสด็จมาเทศนาโปรดพระยาสุวรรณภิงคารแล้วเสด็จไปยังภูน้ำลอดซึ่งพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ได้เคยทรงประทับรอยพุทธบาททับซ้อนกันไว้บนแผ่นศิลา ครั้นพระพุทธเจ้าองค์ที่4 ทรงประทับรอยพระพุทธบาทซ้ำบนรอยพระพุทธบาทได้ทรงแสดงปฏิหาริย์ให้มีลูกแก้วลอยขึ้น พร้อมกับตรัสว่า
มุมภาพนาค 5 เศียร
“พระอนาคตพระพุทธเจ้าศรีอาริยะเมตไตรยก็จะเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้เป็นรอยที่ 5 บนศิลาแผ่นเดียวกันนี้”
ด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาอย่างแรงกล้า พระยาสุวรรณภิงคารได้ถอดมงกุฏทองคำออกจากเศียรวางถวายลงไว้เป็นพุทธบูชาบนรอยพระพุทธบาทนั้น แล้วสร้างเจดีย์สิลาแลงขึ้นครอบรอยพระพุทธบาทไว้ภายใน
ประตูเข้าอุโมงค์พระธาตุ
ปราสาทศิลาแลงสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16-17 เป็นเทวสถานบูชาพระศิวะแห่งไศวะนิกาย ต่อมาเปลี่ยนเป็นพุทธสถาน
อยากจะกล่าวว่า พระธาตุเชิงชุมเป็นสถาปัตยกรรมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขยื่นด้านหน้า ตั้งอยู่บนฐานที่ก่อด้วยศิลาแลงที่บานประตูมีรูปสลักเป็นเทวรูปตามคติความเชื่อทางศาสนาฮินดูปรากฏอยู่ทั้ง 4 ด้าน เหมือนๆกับพระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุภูเพ็กและพระธาตุดุม
หน้าต่างแกะสลักลวดลายสวยๆ
ราวศตวรรษที่ 22 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย ยุคศิลปกรรมศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง ได้สร้างเจดีย์ก่ออิฐถือปูนสีขาวครอบปราสาทศิลาไว้ภายใน องค์เจดีย์มีฐานสี่เหลี่ยมลดหลั่นลงไป 6 ชั้น มีซุ้มประตูประดับด้วยลวดลายปูนปั้น 3 ด้าน เรียกว่า ซุ้มแก้วตอหอแก้วเนือง เหนือซุ้มประตูมีฐานส่วนกลางเป็นฐานบัว ยอดเจดีย์ทรงกรวย ประดับฉัตรทองแบบเดียวกับพระธาตุพนม
หลวงพ่อองค์แสนในวิหาร
หลวงพ่อองค์แสน ประดิษฐานในวิหารวัดพระธาตุเชิงชุม เชื่อมต่อกับประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกขององค์พระธาตุ นับเนื่องกันตลอดมาว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองทรงความศักดิ์สิทธิ์ ของเมืองสกลนคร พระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ ศิลปะลาวศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง สูง 3.2 เมตร หน้าตักกว้าง 2 เมตร
อุโบสถจัตุรมุขด้านทิศเหนือ
พระวิหารสร้างเมื่อปีพ.ศ.2494 ทรงจัตุรมุข หลังคาสองชั้น มีทางเข้าออกได้ 3 ทาง ประตูที่ 4 เป็นประตูไม้สลักด้วยฝีมือช่างระดับสูงเปิดเข้าไปในอุโมงค์ภายในพระธาตุ ส่วนสิมหรืออุโบสถก่ออิฐถือปูนตั้งอยู่ทางทิศใต้ขององค์พระธาตุเชิงชุม สร้างปีพ.ศ.2463 ฐานก่ออิฐและดิน ฉาบด้วยปูน ปูนขาวผสมกับทรายและน้ำเคี่ยวหนังควาย
หน้าบันปูนปั้นงดงาม
ผมเดินวนพระธาตุเชิงชุมเพื่อหามุมถ่ายภาพสวยๆ ตามแสงที่เป็นใจ ได้ภาพถ่ายแรกจากมุมขวาติดกำแพงแก้ว ภาพนี้เห็นทั้งองค์พระธาตุและวิหารทรงจัตุรมุขเต็มๆ เป็นภาพกว้างอลังการที่สุดที่เคยถ่ายได้ ภาพถัดมายังเป็นภาพที่ติดสิมโบราณไปด้วย ขยับไปอีกนิดหนึ่งซึ่งก็ได้องค์ประกอบภาพแตกต่างออกไปด้วย
พระประธานในวิหารจัตุรมุข
ผมเดินไปทางทิศตะวันตกหลังองค์พระธาตุ มีซุ้มประตูตั้งอยู่ ผมถ่ายรูปลอดซุ้มประตูได้ภาพแปลกตาไปอีกมิติหนึ่ง เป็นความสดใสและสดสวยในวันบ่ายที่แดดส่องสว่าง เป็นพุทธานิมิตที่ดีที่จะได้ภาพพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองสกลนครอันยิ่งใหญ่ บอกตามตรงว่าการถ่ายภาพตามแสงยามบ่ายหรือสายในวัตถุขนาดใหญ่ได้ภาพอย่างที่เห็นครับ
ประตูวิหารสวยไหม
ผมเห็นพญานาคพ่นน้ำอยู่หน้าอุโบสถทรงจัตุรมุข ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระธาตุ โอกาสดีๆอย่างนี้หายากจึงได้ถ่ายให้มีองค์ประกอบภาพแปลกๆ แตกต่างจากภาพถ่ายที่เคยเห็น ใช้เศียรพญานาคเป็นโฟร์กราวน์ (แต่ไม่มีน้ำพ่นออกมา) ถึงอย่างนั้นก็ได้ภาพสวยพึงพอใจแล้วครับ
คันทวยเทพพนม
หลังปูนปั้นรูปพญานาคพ่นน้ำมีอุโบสถทรงจัตุรมุขสวยงามจับใจ ติดกระจกสีต่างๆอลังการ ทรวดทรงอ่อนช้อยเหมือนงานศิลป์ เสาและกลีบมะเฟืองสวยงามมากๆ คันทวยชายคาจัตุรมุขก็งดงามมากๆ ประดิษฐานระประธานองค์โต ภายในตกแต่งเต็มรูป ไม่ทราบปีพ.ศ.ที่สร้าง เงาสะท้อนจากกระจกสีแพรวพราว ฝีมืองานประณีตบรรจงสมค่า
ประตูวิหารแกะสลักสวยงาม ติดกระจกหลากลาย
ด้วยเว็บไซต์นี้ กำหนดขนาดภาพไว้ให้ไม่เกิน 600 พิกเซล จึงได้รูปลงให้ชมไม่สะใจโก๋นัก ทั้งๆที่ถ่ายภาพมามีขนาดใหญ่มากๆ 14 ล้านพิกเซล แต่ใช้งานเพียง 580 พิกเซล สลดหดหู่ไปเลยนะครับ อย่างไรก็ตามผมจะนำภาพใหญ่ๆไปโพสท์ลงในทวิตเตอร์และเฟสบุ๊กอีกครั้ง หวังว่าจะได้เห็นความสวยงามขนาดใหญ่กว่า
โพธิ์สัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้