อำนาจตุลาการถือตนว่าอยู่เหนืออำนาจอื่น เพราะทำหน้าที่ "ในพระปรมาภิไธย" อ้างกันมาตั้งแต่ยุคสัญญา ธรรมศักดิ์, ธานินทร์ กรัยวิเชียร จนถึง วิชา มหาคุณ ว่าผู้พิพากษาเป็น "ผู้แทนพระองค์" หรือ "ข้าในพระองค์" จึงพิเศษเหนือกว่านักการเมืองหรือข้าราชการฝ่ายอื่น
ทั้งที่เป็นข้าราชการในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยในฐานะประมุขประชาธิปไตย ไม่ใช่พระราชาในยุคราชาธิปไตย แต่พวกผู้พิพากษายังคิดว่าเราอยู่ในโลกก่อนปี 2475 อยู่
อ.สถิตย์ ไพเราะ ชี้ว่าศาลเอาตัวไปผูกกับพระมหากษัตริย์ เพราะ "อยากใหญ่" ผมขอเสริมอีกแง่ว่า ดูให้ดีนะ ใน "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ" นี้ มีตำแหน่งเดียวที่ไม่ต้องโปรดเกล้าฯ นั่นคือ ผู้แทนราษฎร (หรือ สว.เลือกตั้ง) เพราะประชาชนเลือกมาโดยตรง มาจาก "อำนาจสูงสุด" ไม่ต้องโปรดเกล้าฯ จนเมื่อผ่านกระบวนการ เช่น เลือกประธาน เลือกนายกฯ จึงค่อยให้พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าในฐานะประมุขของระบอบ
มีเกร็ดเล่าแถมอีกนิด รู้ไหมว่าประธานศาลฎีกามาจากไหน มาจากคนที่สอบผู้ช่วยผู้พิพากษาได้ที่ 1 เมื่ออายุ 25 ปี และรู้ตัวล่วงหน้า 45 ปี ว่าจะได้เป็นประธานศาลฎีักาถ้าไม่เป็นมะเร็งตายเสียก่อน เพราะศาลเคร่งครัดเรื่องอาวุโส ในรุ่นเดียวกัน ใครสอบได้ที่ 1 อาวุโสอันดับ 1
ทั้งที่เป็นข้าราชการในระบอบประ
อ.สถิตย์ ไพเราะ ชี้ว่าศาลเอาตัวไปผูกกับพระมหาก
มีเกร็ดเล่าแถมอีกนิด รู้ไหมว่าประธานศาลฎีกามาจากไหน