จากตลาดพลอยถึงตลาดโบราณริมน้ำจันทบุรี
แล้วเลยไปชมอาสนวิหารพระแม่มารี
โดย ป่าน ศรนารายณ์ เรื่อง-ภาพ
คนเดินพลอยกับคนซื้อพลอย
พ่อค้าและคนเดินพลอย
หนึ่งในรายการนำเที่ยวเมืองจันทบุรี “สุดยอดของดีเมืองจันท์ มหัศจรรย์ทุเรียนโลก56” คือการพาไปเดินชมตลาดพลอยกลางเมือง ป่านเดินตามคณะไปจากโรงแรม เคพีแกรนด์ ผ่านแม่น้ำจันทบุรี เข้าสู่ถนนกระจ่าง ตึกรามที่สร้างกันอยู่นั้นเปิดชั้นล่างโล่ง มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับคนซื้อพลอยและคนเดินพลอยประจังหน้ากัน
พลอยเผาใส่สี
การเจียรนัยพลอย
พ่อค้าที่รับซื้อพลอยส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ เช่นชาวปากีสถาน อัฟกานิสถาน แอฟริกา ศรีลังกา อินเดีย มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นคนไทย คนจีน พ่อค้าพกพาเครื่องตรวจดูพลอยแบบพกพา คนเดินพลอยเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ดูเหมือนเป็นผู้หญิงชาวบ้านๆ มาจากทางภาคอีสานและทางภาคเหนือ แต่ละคนหิ้วถุงใส่พลอย
บ้านโบราณริมน้ำจันทบุรี
ชมภาพเขียนจุดที่เคยถ่ายหนัง
“ไปเอาพลอยมาจากไหนเยอะแยะ” ป่านถามอนงค์หนึ่งที่กำลังยื่นพลอยให้แขกอัฟกานิสถานดู เธอเหลียวมาตอบเบาๆ
“พลอยเผาผสมสีน้ำหนึ่งค่ะ” เธอตอบ
“พลอยธรรมชาติไม่เหลือแล้วละค่ะ” เธอเติม ป่านจึงได้เกร็ดมาเพียงนี้ ดูท่าทั้งเธอและแขกไม่อยากคุยต่อ จึงได้แต่ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
มีร้านอาหารแบบจานด่วนขายเป็นจุดๆ โต๊ะพ่อค้ากระจายไปในซอย ทั่วทุกซอกซอยเลยทีเดียว แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า มีทั้งหมดกี่ร้าน แต่ละร้านมีโต๊ะซื้อขายพลอยกี่โต๊ะ เม็ดเงินจะสะพัดสักเพียงไหน ไม่มีการจดบันทึกสถิติ ประเมินว่าต้องทำเงินมหาศาลมิเช่นนั้นแต่ละตึกจะเปิดให้เป็นเวทีค้าขายได้อย่างไร
ร้านขายยาสมุนไพร ขายดี
ป่านเดินตามไปช้าๆ จนถึงถนนสายริมน้ำจันทบุรี มีร้านรวงเป็นบ้านไม้เก่าๆ ตึกรามทั้งชำรุดและยังอยู่ในสภาพที่ดี มีเจ้าของบ้านเปิดร้านขายอาหาร ขายขนม ขายผลไม้จากสวนตนเอง ขายของฝาก ขายยาสมุนไพร เป็นชุมชนดั้งเดิมที่มีมาช้านาน บางตึกดัดแปลงเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เพื่อปิดภาพเก่าเล่าเรื่อง มีมุมให้ถ่ายภาพสวยๆ
บ้านเรือนริมน้ำจันทบุรี
ระยะทางที่เดินไปเรื่อยๆยาวกว่า หนึ่งกิโลเมตร ถ่ายรูปกันไปด้วย ซื้อหาของกินเล่นไปพลางๆ สบายๆไม่เร่งร้อน และไม่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นจนไหลอย่างตลาดน้ำอัมพวา หรือที่อื่นๆ นานๆจะพบนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆขนาด 4-5 คน เดินหิ้วถุงขนมมาทำนองเดียวกับเรา แต่ก็ไม่ได้ทักทายกันหรอก ยังไงก็คงเป็นคนต่างถิ่นเหมือนกันนั่นแหละ
คนตกกุ้ง
ตะวันรอนอ่อนแสงเต็มที คณะพรรคตัดสินใจว่าจะเดินข้ามไปชมอาสนวิหารพระแม่มารีและชมวิถีชีวิตคนริมแม่น้ำดั้งเดิมว่าเขาทำอะไรกันหรือ มีซอยแคบๆสามารถเดินทะลุไปเจอสะพานปูนสำหรับคนเดินและขี่จักยานข้ามแม่น้ำได้ ป่านยืนกลางสะพานเหลียว 360 องศา จึงได้เห็นว่าบนสะพานมีคนตกกุ้งยืนกันอยู่ ในแม่น้ำก็มีเรือตกกุ้งด้วยเช่นกัน
อาสนวิหารยามแสงทไวไลท์
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ความมืดโรยตัวลงมาครอบคลุมจนสนิท แสงไฟจากเสาสะพาน และจากบ้านเรือนช่วยให้ดูไม่น่าหวาดกลัว พวกเราตั้งท่าถ่ายรูปอาสนวิหารที่งดงามตระการตาเบื้องหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงกับนั่งแหมะแล้วตั้งกล้องโซ้ยกันเต็มๆ เพื่อจะเก็บภาพแสงทไวไลท์ตอนค่ำไว้เชยชม ชั่วเวลา 10 นาที ต่างก็ได้ภาพสมใจ
อาสนวิหารในแสงทไวไลท์
นั่งพูดคุยกันถึงภายในอาสนวิหาร ต้องมาตอนกลางวันจะได้ถ่ายได้เต็มที่ แล้วก็เริ่มเดินทยอยกลับโรงแรม โดยยึดเส้นทางเดิมที่ผ่านมาตอนบ่ายแก่ๆ แต่คราวนี้มืดแล้ว แสงไฟจากแต่ละบ้านส่องสว่าง ทางเดินโล่งปราศจากนักเดินพลอยและคนซื้อพลอย ป่านเดินตามไปตามสะพานกลับไปยังโรงแรมที่พักแรม เป็นการเดินหลายกิโลเมตรแบบช้าๆ แต่ได้สาระเรื่องราว
บนราวสะพานเคยมีพลอยอย่างนี้หลายเม็ดแต่ตอนนี้เหลือสองเม็ด
มุมถ่ายภาพสวย
ทุกช่องมีสวย