บ้านทุ่งแสนสุข
ตอน25.บุญสงกรานต์บ้านไทย
โดย มณีดิน
อีกสามวันจะถึงวันทำบุญวันสงกรานต์ที่ศาลาการเปรียญ ครูสุขทำหน้าที่พิธีกรของวัดทุกวันพระหรือวันทำบุญ ปีนี้ก็เหมือนกับปีอื่นๆ วัดจัดให้ทำบุญเลี้ยงพระ 3 วันสำคัญ พ่อแม่พี่น้องผองชาวห้วยคันต่างตื่นเต้น บ้างก็เตรียมซื้อหามะพร้าวแกงมาเก็บไว้ บ้างก็เล็งไก่กระทงตัวหนึ่งซึ่งถึงฆาตที่ต้องสังเวยชีวิตเพื่อแกงกับหน่อไม้ไว้ถวายพระ บ้างก็ขนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มออกมาซักและรีด ไม่เว้นแม้แต่เครื่องนอน ผู้คนเดินไปมาล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส ลืมความร้อนระอุไปจนสิ้น
“ดำกับทุยจะไปทำบุญกับแม่หรือเปล่า” แม่ถามเมื่อนั่งวงล้อมกินข้าวเย็นก่อนสามวันถึงวันทำบุญ ผมกับทุยตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ไปครับแม่” แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“งั้นพรุ่งนี้ก็ซักเสื้อกางเกงซะนะ เอาชุดที่แม่ซื้อให้ใหม่นั่นแหละ”
แม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ลูกทุกคนก่อนวันสงกรานต์ทุกปี แทบจะถือเป็นประเพณีของบ้านเรา เปลี่ยนชุดใหม่ใส่ไปงานวันทำบุญสงกรานต์ที่วัด
“ซักอย่างเดียว ไม่ต้องรีดได้ไหมครับแม่” ผมถาม ทุยชะเง้อคอมองตาม
“ไม่ต้องหรอก เสื้อตัวใหม่แม่เลือกแล้วเอาชนิดไม่ต้องรีด ซักแล้วสลัดให้แรงๆก็ตากได้เลย”
เช้าวันรุ่ง ผมกับทุย พี่เจน พี่จัน เตรียมเสื้อผ้าออกมาซักมีแต่ของพี่จันเท่านั้นต้องรีดจนเรียบ ในยามร้อนแล้งที่สุดของปีมีครั้งเดียวที่จะได้ทำบุญวันสงกรานต์และรดน้ำดำหัวกันจนเปียกโชก เย็นสบาย คลายร้อน มีเพียงพี่เจนนอกจากจะไม่เคยไปทำบุญแล้วก็ไม่เคยออกจากบ้านไปเล่นสงกรานต์กับใครเลย แต่ก็ได้พี่เจนนี่แหละคอยจัดเตรียมเรื่องอาหารไปทำบุญให้เสมอ หลังจากนั้นก็จัดสำรับกับข้าวไว้รอพ่อตื่นมากิน
พี่จัน ผมและทุย ได้ไปทำบุญกับแม่เสมอ เป็นความสุขที่ได้ไปวัดแม้ว่าจะอยู่ห่างเพียงคลองห้วยคันกั้น ได้พบเพื่อนๆชั้นเดียวกัน ได้เจอผู้คนที่แต่งตัวกันสวยงามมาทำบุญ
“แล้วผมจะเอาบุญมาฝากพี่เจนนะ” ทุยฉอเลาะพี่เจน พี่เจนยิ้มกว้าง แล้วก็ร้องออกมาคำเดียว “ขอบใจ”
ก่อนวันทำบุญวันแรกวันที่ 13 เมษายน แม่กับพี่เจนเตรียมเรื่องอาหารหวานคาวที่จะไปทำบุญวุ่นวาย เครื่องเคราที่เตรียมกันไว้มีอยู่ในครัว ไม่ต้องหาซื้อมาจากตลาด แม่ทำหน้าที่นั้นเองเกือบทุกอย่าง ผมช่วยแม่แค่มุดเข้าไปใช้เสียมขุดหน่อไม้ไผ่สีสุกหลังบ้านมาให้แม่3 หน่อ พี่เจนลอกกาบหน่อไม้ออกแล้วหั่นซอยใส่หม้อต้มด้วยน้ำสะอาดบนเตาไฟที่ใช้ถ่านไม้เป็นเชื้อเพลิง พี่เจนต้องต้มถึงสามน้ำ หน่อไม้ซอยจึงหมดรสขมชวนกิน
พี่เจนผ่ามะพร้าว แล้วส่งให้พี่จันขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายไม้ แต่ด้วยว่าไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก จึงดูเงอะๆเงิ่นๆพิกลๆ แม่เหลียวมองแล้วมองอีก พร้อมกับบ่นพึม
“จะได้แกงหรือว้า” แล้วก็หัวเราะฮึฮึ แต่ก็ปล่อยให้พี่จันทำต่อไป
ในที่สุดพี่เจนก็รวบไปทำเสียเอง แล้วให้พี่จันทำหน้าที่รอคั้นกะทิแทน แม่หยิบหอมแดงที่แขวนไว้ข้างฝากระดานครัว 8 หัว ดึงหอมขาวหรือกระเทียมจากข้างฝาอีก 4 หัวใหญ่ให้พี่จันแกะเปลือกทิ้ง แม่เทผิวมะกรูดจากขวดก้นครัว โยนตะไคร้ และข่าให้พี่จันซอยใส่ครก
“ดำ เอาพริกแห้งไปแช่น้ำในชามไป๋” แม่สั่ง ผมทำตามสั่ง ได้ด้วยว่าเคยช่วยแม่ทำอยู่บ่อยๆ ทุยนอนอยู่ใกล้ๆพ่อ หูแนบใกล้ๆลำโพงวิทยุ
ทุกคนเตรียมเครื่องแกงให้แม่ ตอนปรุงต้องแม่นั่นแหละรสจึงเลิศ กลิ่นคั่วกะทิและพริกแกงหอมติดจมูก แม่แกงเสร็จแล้วกลิ่นแกงไก่ใส่หน่อไม้ชวนน้ำลายไหล ทุยลุกมาชะโงกแล้วกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ผมเดินไปหยิบหม้อเขียวใบเล็กให้แม่ ๆ ตักแกงไก่ใส่หม้อแล้วยื่นให้ยกไปใส่ไว้ในตู้กับข้าว
“แกงหม้อนี้ต้องตักแยกไว้ก่อนเพื่อถวายพระวันพรุ่งนี้ ที่เหลือเดี๋ยวตักกินกันได้”
แม่แยกกับข้าว ขนมนมเนยที่จะไปถวายพระไว้ก่อนที่จะให้พวกเรากินเสมอ
“ถ้าเรากินของถวายพระก่อนพระ ตายไปจะเป็นเปรต”
คืนนั้น แกงไก่ใส่หน่อไม้อุ่นอยู่ในท้องทุกคน มื้อไหนมีแกงเผ็ดมื้อนั้นผมเจริญอาหารกว่าทุกมื้อ
เช้ามืด แสงตะเกียงส่องสว่างอยู่ในครัว แม่กับพี่เจนอุ่นแกงไก่ใส่หน่อไม้ แกะไข่เป็ดต้มสุกใส่ชามใบเขื่อง พี่เจนตักข้าวสวยร้อนๆควันกรุ่นๆใส่ขันข้าวที่จะให้แม่ไปถวายพระ ขนมหวานบ้านนาไม่พ้นกล้วยบวชชี บัวลอยไข่หวาน มีกล้วยน้ำว้าอีกหวี พี่เจนจัดหาบใส่สำรับกับข้าว หาบหนึ่งเป็นสำรับกับข้าวและของคาว อีกหาบหนึ่งเป็นสำรับของหวาน
แม่เดินนำหน้าไปวัดด้วยชุดเสื้อขาวลายดอกแขนสามส่วน สไบสีน้ำตาลพาดไหล่ นุ่งโจงกระเบนสีดำสนิท มัดผมสลวยด้วยหวีไว้ท้ายทอย เหน็บห่อหมากไว้ที่ชายพกข้างเอวขวา พี่จันได้ทำหน้าที่พี่สาวแสนดี หาบสำรับกับข้าวไปทำบุญ พี่จันสวมเสื้อสีชมพูแขนสั้น คอวี นุ่งผ้าถุงสีน้ำเงินกรอมเท้า พี่จันโตเป็นสาวแล้ว ใบหน้าขาวผ่องสมวัย
ผมกับทุยแต่งหล่อด้วยเสื้อใหม่ที่แม่ซื้อมาให้ กางเกงขาสั้นที่ใส่ไปโรงเรียน แต่เป็นตัวที่ใหม่ที่สุด ไม่มีใบโพธิ์ปะที่ก้น เราสองเดินเหมือนวิ่งไปข้างหน้า ไปรวมกับเพื่อนๆที่มากับพ่อแม่เขา เด็กก็คือเด็ก เดี๋ยวเดียวก็ไปถึงศาลาวัด ไม่มีหน้าที่ต้องไปเรียงสำรับกับข้าวอย่างพี่จัน แม่ตามไปด้วยใบหน้าอิ่มสุขเหมือนทุกคนที่มาทำบุญวันสงกรานต์
ครูสุขประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงดังไปทั่ว
“พี่น้องผองห้วยคันทั้งบ้านเหนือบ้านโรงสี และบ้านใต้ที่เคารพรัก ครูดีใจที่เห็นพี่น้องได้มาร่วมกันทำบุญวันสงกรานต์เป็นวันแรก อาหารคาวหวานที่เตรียมมาก็ขอให้ไปตักใส่บาตรและสำหรับของทางวัดที่จัดเรียงเอาไว้ให้นะ”
“แล้วก็กลับมานั่งรอพระสงฆ์ซึ่งครูได้นิมนต์ไว้เรียบร้อยแล้ว ปีนี้โชคดีที่วัดบ้านเรามีพระสงฆ์จำพรรษาถึง 12 องค์ มีสามเณรอีก 4 องค์ พระอาจารย์ตั๋นเจ้าอาวาทวัดเรานำคณะเช่นเคย เมื่อพระสงฆ์ลงแล้วครูก็จะได้นำพี่น้องอาราธนา หลังจากนั้นพระสงฆ์จะสวดมนต์ เมื่อเสร็จสิ้นก็จะได้ถวายอาหารหวานคาวแด่พระสงฆ์ราวๆ 11 โมง หลังจากพระสงฆ์ฉันแล้ว พวกเราก็รับพร เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการทางสงฆ์”
“หลังจากพระสงฆ์เดินกลับกุฎีแล้ว ขอให้พี่น้องญาติโยมได้รับประทานอาหารหวานคาวร่วมกัน เป็นโอกาสดีปีหนึ่งมีไม่กี่ครั้งนะครับที่เพื่อนพ้องน้องพี่บ้านห้วยคันจะได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเช่นนี้”
ระหว่างที่ครูสุขพูดผ่านเครื่องขยายเสียง พวกเด็กวัดเพื่อนๆผมก็จัดสำรับกับข้าวแยกเป็นวงๆ ผู้ใหญ่ที่มาทำบุญเคลื่อนตัวไปรวมกันตามชอบล้อมวงกินข้าวด้วยกัน คุยกันไป ส่วนผมกับทุยก็ไปรวมกับกลุ่มเด็กวัด แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน มีแต่แย่งกันตักกับข้าวที่ตนเองชอบ ผมคว้าไข่เป็ดต้มของแม่ได้ลูกหนึ่ง ใช้ช้อนผ่าครึ่งแล้วแบ่งให้ทุยซีกหนึ่ง
แกงไก่ใส่หน่อไม้ของแม่ผมไม่ได้แตะเลย ผมตักน้ำพริกกะปิกับผักชะอมชุบไข่ทอด แล้วก็กินเอาๆด้วยความอร่อย หมูทอดกระเทียมก็ของโปรด แต่ไม่รู้บ้านใครทำถวาย ผมก็ตักได้มาสามชิ้น ต้องแบ่งให้ทุยที่ไม่เคยตักทันคนอื่นๆ เรื่องกินเด็กวัดเร็วปานสายฟ้า เผลอเดี๋ยวเดียวก็แย่งกันกินขนมที่ญาติโยมมาถวาย แต่มีอาหารหวานคาวมากมายนัก กิน กิน กิน ยังไงก็ไม่หมด
ครูสุขประกาศว่า วันนี้เป็นวันแรกน่าดีใจที่พี่น้องบ้านห้วยคันร่วมใจกันมาทำบุญร่วมกัน รับประทานอาหารร่วมกัน วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่สองซึ่งถือกันว่าเป็นวันมหาสงกรานต์เหมือนว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่าของไทย
และวันที่สามอันเป็นวันเถลิงศกใหม่ของไทยเรา เรียกง่ายๆก็คือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยนี่เอง ในวันที่สามนี้ คณะกรรมการได้จัดการให้มีการขนทรายเข้าวัดเพื่อให้วัดเก็บไว้ใช้ปรับปรุงบำรุงวัด เตรียมธงหลากสีมาปักพระเจดีย์ทรายด้วยนะ ส่วนใครจะจับคู่กันมาก่อ ก็แล้วแต่ใจของวัยหนุ่มสาว สุดท้ายจะมีการสรงน้ำพระทั้ง 12 รูป ส่วนหนุ่มๆสาวๆ หรือ คนใดที่นึกสนุกจะเล่นรดน้ำหรือสาดน้ำกันเองก็ได้ไม่ว่ากัน
หลังการทำบุญถวายภัตตาหารพระสงฆ์ทุกวัน หนุ่มสาวก็แห่กันไปยังลานโล่งหน้าวัด แล้วก็เล่นมอญซ่อนผ้าเป็นวงใหญ่ แต่บางปีก็เล่นชักกะเย่อ ข้างชายข้างหญิง ได้หัวเราะ เฮฮากันถึงใจ ส่วนใหญ่หนุ่มสาวๆที่เข้ามาล้อมวงกันเล่น เกิดแต่พ่อแม่ปล่อยให้ได้ออกมาพบเจอเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือห่างกันไม่กี่ปี แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีครอบครัว เป็นวัฒนธรรมหนึ่งของการเลือกคู่ในวันประเพณีสงกรานต์
วันที่สาม ได้ทำบุญเช้า แล้วก็ได้ขนทรายเข้าวัดตอนบ่าย หลังจากนั้นก็ก่อเจดีย์ทรายประกวดประชันกัน ธงทิวไสวหลายสีสวยๆ ลานวัดวันนี้มีแต่สีสันสวยงามจากสีสันของเสื้อผ้าหน้าสงกรานต์
งานพิธีการสำคัญมาถึงเมื่อพระอาจารย์ตั๋นเจ้าอาวาสเดินนำพระสงค์ 12 รูปมานั่งเรียงบนหอฉัน ทุกองค์นุ่งสบงอาบน้ำ แต่ไม่ได้ห่มจีวรลงมาด้วย ครูสุขประกาศเชิญชวนพี่น้องให้สรงน้ำพระสงฆ์ ญาติโยมทยอยกันตักน้ำจากขันใหญ่ไปสรงน้ำให้พระสงฆ์ทีละรูปๆ จนเปียกโชกไปทุกองค์
“สรงน้ำพระนั้นต้องสรงตั้งแต่บนหัวลงมาเลย จะชุ่มเย็นไปทุกส่วนของร่างกาย”หลวงตาตั๋นโวยเสียงดัง เพราะว่ามีแต่ญาติโยมสรงน้ำให้แต่เพียงหลังไหล่ ครั้นจะลูบหน้าลูบหัวก็ไม่มีน้ำเปียกสักขัน ชาวบ้านจึงหัวเราะกันครืนๆ แล้วก็สรงน้ำตั้งแต่บนหัวลงมาเป็นที่รื่นรมย์
พระสงฆ์สวดให้ศีลให้พรญาติโยมแล้วก็เดินเรียงกันกลับกุฎีเพื่อเปลี่ยนเครื่องทรงตามวัตรปฏิบัติ หลังจากนั้นครูสุขได้ประกาศให้พี่น้องที่อาวุโสมานั่งแทนพระ เพื่อให้ลูกหลานได้รดน้ำดำหัวขอพรกันตามประเพณีที่ทำสืบต่อกันมา เสียงอวยพรดังงึมงำๆ เสียงขอพรก็ดังไม่แพ้กัน
“ยายจ๋า งวดนี้ขอเลขเด็ดนะยาย แทงมาทั้งปีไม่ถูกสักที” สิ้นเสียงขอพรก็ได้ยินเสียงหัวร่องอหาย
เป็นเสียงหัวเราะแห่งความสุขที่เกิดแต่วันทำบุญสงกรานต์บ้านไทยแท้ๆ