จำลอง บุญสอง
เจตนารมณ์หรือแนวทาง
ใน “สังคมอุดมปัญหา” ที่ประชาชนกำลัง “แสวงหาทางออก” กันอยู่ในขณะนี้ ทำให้หลายคน “โหยหา” พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงกันอย่างมากมายและ 1 ในนั้นก็คือพลังนิสิตนักศึกษาแบบ 14 ตุลาคม 16
ในขณะที่หลายสำนักข่าวก็พยายามหาคำตอบให้กับสังคมด้วยการตั้งประเด็นว่า พลังนักศึกษาหายไปไหน? แบบย้ำคิดย้ำทำเช่นเดียวกับคนจัดงาน ผมเองเคยไปหลง “รำลึก” อย่าง “ไร้เดียงสา” กับพวกเขาในระยะต้นๆ แต่พอมารู้ภายหลังว่า พลังนิสิตนักศึกษา “ไม่ใช่พลังอิสระ” ก็เลยไม่ได้เข้าร่วม แต่ก็ยกย่องในเจตนาอันงดงามของนิสิตนักศึกษาเสมอมา
ที่ว่าไม่ใช่พลังอิสระก็เพราะพลังนิสิตนักศึกษาทุกประเทศต้องไป “ขึ้นต่อ” “การนำ” ของขบวนการเมืองใดขบวนการเมืองหนึ่ง (เผด็จการ ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์) ดังนั้นนิสิตนักศึกษาจึงไม่ใช่ “พลังการปฏิวัติ”
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ไม่ใช่ชัยชนะของนิสิตนักศึกษาที่ต้องการประชาธิปไตย แต่เป็นชัยชนะของพรรคที่ถือแนวทางระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา “ประชาธิปัตย์” ที่นำโดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ต่างหาก
ท่านคึกฤทธิ์ไม่พอใจที่จอมพลถนอมและพวกทำการรัฐประหารตัวเอง เพราระการรัฐประหารตัวเองเป็นการ “ปิดโอกาส” พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นรัฐบาล พอทหารกลุ่มของจอมพลถนอมและพวกกับฝ่ายพล.อกฤษณ์ สีวะราห์และพวก (พล.อ ประจวบสุนทรางกูร พล.อ บุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารรับจ้างอเมริกันรบในลาว พล.ทวิทูรย์ ยะสวัสดิ์) ขัดแย้งกัน ท่านจึงใช้ความเป็น1.อาจารย์มหาวิทยาลัย 2.เป็นเจ้าของสื่อ (หนังสือพิมพ์สยามรัฐ) 3.เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ฯลฯ ออกมา “ชิงการนำ” และขึ้นครองอำนาจในเวลาต่อมา
ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า 14 ตุลาเป็นชัยชนะของนักศึกษาจึงไม่จริง เพราะความจริงก็คือนิสิตนักศึกษาและทหารฝ่ายตรงข้ามกับจอมพลถนอม-ประภาสเป็น “เครื่องมือ” ทางการเมืองให้พรรคประชาธิปัตย์ต่างหาก
ถ้าพูดถึง “แนวทาง” 14 ตุลา16 แล้วก็ต้องพูดถึง “เจตนารมณ์” 14 ตุลา16 ด้วย จึงเข้าใจถึงเคลื่อนไหวของพวกเขาได้อย่างเป็นวิชาการ
ก่อนอื่นต้องเรียนเอาไว้ก่อนว่า “การเคลื่อนไหวของประชาชน” ไม่มีครั้งไหนเลยที่ “ไม่มีเจตนาก้าวหน้า” หรือ “ไม่มีเจตนาปฏิวัติ” (ยกเว้นการเคลื่อนไหวมวลชนจัดตั้งที่มีเจตนาแอบแฝง) แต่ความสำเร็จของการเคลื่อนไหวประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาใดๆก็ตาม “ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ” “เจตนา” แต่อยู่ที่ “มรรค” หรือ “แนวทาง” ต่างหาก และมรรคหรือแนวทางก็ต้องเป็น “สัมมามรรค” ด้วย ขืนเอา “มิจฉามรรค” ไปแก้ ถึงจะมีความเพียรพยายามสักเท่าใดก็ไม่มีทางสำเร็จไม่ว่าจะแก้ปัญหาทางจิต ทางการเมือง การสร้างเครื่องบิน สร้างจรวดหรืออื่นสิ่งใด
ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องดูที่เจตนามากเพราะเจตนาก้าวหน้าเหมือนๆกัน แต่สิ่งที่ต้องเพ่งกันอย่างตั้งอกตั้งใจคือ “แนวทาง” เพราะ “แนวทาง” เป็นเครื่องตัดสิน “ผลลัพธ์” (ของทุกๆการเคลื่อนไหวทางการเมือง) ของเจตนา
มวลชน 14 ตุลามีเจตนาประชาธิปไตยล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ไปเรียกร้องรัฐธรรมนูญไม่เรียกร้องประชาธิปไตยตาม “การนำ” ของแนว “เผด็จการระบบรัฐสภา” (ที่มีการเรียกร้องรัฐธรรมนูญมาก่อน14 ตุลาคม) ดังนั้นผลที่นิสิตนักศึกษาได้รับก็คือ “การปกครองแบบเผด็จการระบบรัฐสภา” ที่สร้างปัญหาให้ชาติในวันนี้นั่นเอง (แนวทาง 1.รัฐประหารร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 2.ปฏิรูปการเมืองเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของหมอประเวศและพวกที่ไปรับจ๊อบนายมารุต บุญนาครองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยโน้นมาทำ และ3.การปฏิรูปทางการเมืองของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่มีบรรหาร ศิลปอาชามารับจ๊อบในวันนี้ก็เป็นผลมาจากแนวทาง 2475 และแนวทาง 14 ตุลา 16 ที่ผิดๆนั่นแหละ)
การเคลื่อนไหวนอกจากจะต่างกันเรื่อง “แนวทาง” แล้ว “รูปแบบ” ของการเคลื่อนไหวของแนวทางก็ยังกันอีกต่างหาก
การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญๆของนิสิตนักศึกษาที่สำคัญๆในอดีตมี 3 ครั้งดังนี้ครับ
1.เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและคัดค้านการเลือกตั้งสกปรก 2 มีนาคม 2550
2.การเคลื่อนไหวเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 14 ตุลาคม 16 และ
3.การเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยอาวุธ ในช่วง 6 ตุลาคม 2519
การเคลื่อนไหว 2 มีนาคม 2500 มีแนวทางเรียกร้องประชาธิปไตยและคัดค้านการเลือกตั้งสกปรก โจมตีเผด็จการทุกพรรคทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน แถมยังมีแนวทางของนักศึกษาเอง ดังนั้นการเคลื่อนไหว 2 มีนาคมจึงเป็นการเคลื่อนไหวนักศึกษาบนแนวทางที่ “ก้าวหน้า”
ส่วนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญของนิสตินักศึกษาตามแนวทางพรรคประชาธิปัตย์ในช่วง 14 ตุลาคม 2516 นิสิตนักศึกษาจึงเป็นแค่กำลังทางการเมืองให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อการเปลี่ยนระบอบเผด็จการทหารมาเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาจึงเป็นการเคลื่อนไหวบนแนวทางที่ “ล้าหลัง”
ส่วน 6 ตุลา19 นิสิตนักศึกษาเดินตามแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (แนวทางเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยเหมาเจ๋อตงและแก็งค์สี่คน,พรรคคอมมิวนิสต์เขมรแดง,พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาฯลฯ) จึงเป็นการเคลื่อนไหวที่ “ผิดพลาดและล้มเหลว”
ดังนั้นการรำลึกวันครบรอบ 40 ปี 14 ตุลาคมถ้าเอาแต่เอาวีรชนเอกชนในยุคโน้นมาบรรยายซ้ำบรรนยายซากโดยไม่พูดถึงมรรคหรือแนวทางสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องก็เลิกจัดเถอะครับ
ไร้เดียงสาทั้งพวกที่ไปถือหางทั้งเหลืองทั้งแดงนั่นแหละ!