จำลอง บุญสอง
การเคลื่อนไหวมวลชนกับการเคลื่อนไหวประชาชน
ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในประเทศเราเวลานี้มีอยู่ 2 ความขัดแย้งคือ “ความขัดแย้งหลัก” กับ “ความขัดแย้งรอง”
ความขัดแย้งหลักคือความขัดแย้งระหว่าง “ประชาชน” กับ “ระบอบเผด็จการ”
ความขัดแย้งรองคือความขัดแย้งระหว่าง “ขบวนเผด็จการ” กับ “ขบวนเผด็จการ” (หรือที่ธีรยุทธ บุญมีเรียกว่า “พลังอนุรักษ์นิยม” กับอีกกลุ่มที่เสกสรร ประเสริฐกุลเรียกว่า “กลุ่มทุนใหม่”)
การเคลื่อนไหวของประชาชนเป็นความเคลื่อนไหวภายใต้ความขัดแย้งหลักคือประชาชนต่อสู้กับระบอบเผด็จการ แต่เนื่องจากการการรวมตัวของประชาชนไม่ได้เรียงโมเลกุลทางความคิดกันแบบพรรคปฏิวัติ มวลชนจึงเป็นได้แค่ “กลุ่มผลักดัน” (Pressure Group) คือผลักดันให้เผด็จการฝ่ายหนึ่งโค่นล้มเผด็จการอีกฝ่ายหนึ่ง โดยหวังว่า ขบวนเผด็จการที่ตนไปผลักดันให้มาโค่นอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยให้กับพวกเขา
ความหวังดังกล่าวเป็นความหวังแบบเดียวกับคนในยุค 14 ตุลาคม2516 หรือการเคลื่อนไหวอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดประชาชนก็ได้มาซึ่งการปกครองแบบเผด็จการทุกๆครั้ง
เคลื่อนไหวนิสิตนักศึกษาประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาก็ถูกพรรคประชาธิปัตย์ ถูกทหารฝ่ายตรงข้ามถนอม ประภาสเอาไปกิน เคลื่อนไหว 6 ตุลาคม19 ก็ไปรับใช้ “แนวทางคอมมิวนิสต์” ซ้ายจัดเอาไปกิน ที่ผ่านมามวลชนทั้งเหลืองและแดงก็ถูก “ปั่นจิ้งหรีด” ให้ต่อสู้กันเองเพื่อให้ขบวนเผด็จการเหลืองแดงสลับกันขึ้นมาครองอำนาจ
แต่อย่างไรก็ตามพอขบวนเผด็จการ (ไม่ว่าเหลืองหรือแดง) “บรรลุประโยชน์สูงสุด” คือได้ “อำนาจอธิปไตย” โดยไม่สร้างประชาธิปไตยแล้ว มวลชนก็จะทิ้งเผด็จการลง เช่นเมื่อแดงได้อำนาจรัฐมาจากการเลือกตั้ง บรรดามวลชนประชาธิปไตยที่ไปขับเคลื่อนให้เหลืองถึงกับ “สู้ตาย” กันเลยทีเดียว แต่พอเหลืองได้อำนาจรัฐจากการ “รัฐประหาร” +“ตุลาการภิวัฒน์” แล้วกลับไม่สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย พรรคเหลือง ผู้นำมวลชนเหลืองจึงถูกประชาชนทิ้ง วันนี้แม้จะพยายามปั่น พยายามปลุกระดมมวลชนแบบเดิมอย่างไรด้วยวิธีไหนก็ “จุดไม่ติด” (ยกเว้นรัฐบาลปราบก็จะจุดติด) ยิ่งดิ้นก็ยิ่งกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับยืดอายุทางการเมืองให้แดง ทั้งๆที่แดงกำลัง จะร่วง (ที่อยู่ได้ในเวลานี้ก็เพราะหลอกเอากำลังยุทธศาสตร์คือชาวนาให้มาอุ้มตัวเอาไว้นั่นเอง)
ก่อนหน้าที่ขบวนเผด็จการ “แดง” ครั้งยังไม่ได้ครองอำนาจอธิปไตยผู้นำมวลชนคือ นปช.ก็ได้รับการสนับสนุนจากมวลชนประชาธิปไตยอย่างแข็งขันจนถึงขนาดชุมนุมขนาดใหญ่กลางเมืองได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย หลายคนสู้ตายถวายหัว พออเมริกาเข้ามาแทรกแซงให้มีการเลือกตั้ง ประชาชนก็ลงมติสั่งสอนคว่ำรัฐบาลเหลืองลงอย่างง่ายดาย แต่พอแดงได้เป็นรัฐบาลแล้วไม่สร้างประชาธิปไตยเช่นเดียวกับเหลือง ประชาชนจึงค่อยๆถอดแบตเตอรี่ที่สนับสนุนนปช.และพรรคเพื่อไทยลง แบบเดียวกับที่ประชาชนถอดการสนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนต้องสลายกลุ่ม
หลายคนสงสัยเรื่องการแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าของเหลืองก็ดี ของแดงก็ดี ของข้าราชการทหาร ของข้าราชการพลเรือนก็ดี นายทุนก็ดี กรรมกรก็ดี อาชญากรรม การปล้นธนาคาร ร้านทองเกิดขึ้นทุกวัน ปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ทวีความรุนแรงอย่างไม่มีจุดจบว่าเกิดจากสาเหตุใด ขอเรียนว่าวันนี้ประเทศไทยของเราตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง” แล้ว สถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ที่ “ประชาชนไม่ยอมรับการปกครอง” กับสถานการณ์ “ผู้ปกครองหมดความสามารถในการปกครอง” จนนำมาซึ่ง “อนาธิปไตย” อย่างที่เห็นนั่นแหละ สภาพเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับก่อนกรุงแตกนั่นแหละครับ
ทางออกมีทางเดียวครับ คือก่อนอื่นประชาชนอย่างเราๆท่านๆก็ต้องมีสัมมาทิฐิก่อนว่า การปกครอง 80 กว่าปีที่ผ่านมาเป็นการปกครองแบบเผด็จการ ขบวนเหลืองหรือแดงที่เราไปเป็นกำลังทางการเมืองให้พวกเขานั้นก็ล้วนแต่เป็นกลุ่มผลประโยชน์ของผู้ร่ำรวย 2 กลุ่มที่ชิงอำนาจทางการเมืองเพื่อมาสูบเลือดเนื้อประชาชนเท่านั้น เรายังมีกลุ่มผลประโยชน์ กรรมกร ชาวไร่ชาวนา ที่ไม่เคยมีผู้แทนของเขาเข้าไปถือครองอำนาจอธิปไตยร่วมเพื่อสะท้อนประโยชน์ของพวกเขาเลย
การสู้กันของนายทุนผู้ขูดรีดกับชนชั้นสูงผู้กดขี่จะเป็นเรื่องธรรมดาในยุคเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่ถ้าประชาชนอย่างเราๆท่านๆยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ไปเห็นว่าการปกครองของทั้งเหลืองและแดงที่เราไปเป็นกำลังทางการเมืองให้โดยผ่านการเลือกตั้งหรือตุลาการภิวัฒน์นั้น ยังเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยทั้งๆที่เป็นการปกครองแบบเผด็จการเสียแล้ว ระยะเปลี่ยนผ่านนี้ก็จะยาวออกไปโดยไม่จำเป็น ภ้าประชาชนเปลี่ยนการเคลื่อนไหวมวลชนมาเป็นการเคลื่อนไหวประชาชน เพื่อนำมาสู่การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้แก้ได้ครับ!
ถ้าเราไม่เอาสิ่งชั่วออกไปเสียก่อนแล้ว เราจะเอาสิ่งดีใส่ลงไปได้อย่างไร!
ปล.1.การที่ธีรยุทธ บุญมีบอกว่า ทักษิณไม่ใช่วิกฤติประชาธิปไตยแต่เป็นปัญหาธรรมรัฐ ธรรมาภิบาล นั้นเป็นเรื่องความเห็นผิดอย่างร้ายแรง ส่วนการที่เสกสรรค์ ประเสริฐกุลฝากความหวังไว้กับรัฐบาลในระบอบเผด็จการ ว่า ให้บริหารความเป็นธรรมและแก้ไขความเหลื่อมล้ำ ฟังเสียงประชาชนที่หลากหลายทุกขั้นตอนการตัดสินใจเพื่อแปรวิกฤติให้เป็นโอกาส นั้น เป็นเรื่อง “เพ้อเจ้อ” ไปขอร้องให้เสือไม่กินเนื้อได้อย่างไร
ปล.2 หมอประเวศ วะสี ที่เคยขับเคลื่อนปฏิรูปการเมืองในปี 2540 จนนำมาซึ่งปัญหามาในทุกวันนี้ ธีรยุทธ บุญมี คนเดือนตุลาไร้เดียงสาที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญแต่ไม่เรียกร้องประชาธิปไตยจนบ้านเมืองปกครองด้วยระบอบเผด็จการมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พยายามร่วมกันทำผิดหลักวิชาการเมืองด้วยการชวนคนให้ไป “กระจายอำนาจการปกครอง” แทนที่จะให้ “กระจายอำนาจอธิปไตย”
อบต. อบจ.ที่กระจายอำนาจการปกครองไปให้นั้น ยังฆ่ากันไม่จุใจพวกคุณอีกหรือ?
40 ปีแล้วที่คนเหล่านี้ยังก้าวไม่พ้นมิจฉาทิฐิของตนเองแถมยังมาชวนประชาชนให้หลงทางหนักขึ้นไปอีก
ดังนั้นถ้าประชาชนเจอพวก “ปฏิกิริยา” กับพวก “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” พร้อมๆกัน ประชาชนก็ไม่ต้องไปตีพวกปฏิกิริยาหรอกครับ เพราะพวกปฏิกิริยาจะขัดขาล้มกันไปเอง ตีพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติดีกว่า ที่พวกปฏิกิริยาอยู่ได้ก็เพราะ พวกปฏิปักษ์ปฏิวัตินั่นแหละที่ค้ำเอาไว้ จะเรียกพวกนี้ว่าพวก
เสาค้ำเผด็จการ นั่นแหละเหมาะที่สุด!