ปลดแอกตนเอง

3 พฤศจิกายน 2013 เวลา 22:50 น.

ปลดแอกตนเอง

(อุษา สังคมนิยมพุทธ)

“ถึงเวลาที่ประชาชนจะปลดแอกตนเอง”

นับตั้งแต่คนไทยถูกล้างสมองโดยโหมกระแสความคดโกงในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร  เริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548  ฉันเริ่มเห็นคนไทยมีความคิดแปลกๆ  โดยแตกแยกออกเป็นสองขั้ว

ขั้วหนึ่งเป็นปรากฏการณ์ก่อนที่ฉันจะเข้ามาเป็นคนเสื้อแดงเพราะความอยากรู้อยากเห็น  ความจริงแล้ว ความรู้สึกด้านประชาธิปไตยของฉันไม่ได้แก่กล้าอะไรเลย  ซึ่งก็เหมือนกับคนไทยส่วนใหญ่

ความรู้สึกส่วนตัวของฉันคือ เคารพและรักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  รวมทั้งมีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง  แม้ไม่เคยมีโอกาสได้กราบพระบาท 

บังเอิญฉันเข้าไปในร้านถ่ายเอกสารข้างบ้านซึ่งปกติคุ้นเคยกัน  แต่วันนั้นหลานสาวเจ้าของร้านมาช่วยงาน  ฉันเล่าว่ามีความรู้สึกผูกพันกับพระเจ้าตากสินเป็นพิเศษ  เด็กสาวคนนั้นทำท่าเหมือนฉันเป็นศตรู พร้อมถามด้วยคำพูดเสียดแทงว่า  “ไม่รักในหลวงหรือ?” 

นี่คือบาปที่เหล่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกระทำต่อประเทศไทย  ในการเสี้ยมให้คนในประเทศแตกแยกกัน  นั่นคือ ทุกคนต้องเห็นพ้องเหมือนที่เขาชี้นำ  ใครไม่เห็นพ้องต้องโดนรังแกอย่างรุนแรง    โดยเฉพาะหากใครมีความคิดแปลกแยก  มีความเป็นตัวของตัวเอง  จะถูกหากว่า ทรยศต่อชาติ  ขายชาติ โกงชาติ  คิดอะไรได้ก็ด่าไป  ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง  จากนั้นคนด่า ก็ยึดติดกับคำด่า  ว่าผู้ถูกด่า จะต้องเป็นคนเลวแบบนั้น  โดยไม่ได้คิดว่า  วาจาที่ตนด่าออกไป  เกิดจากความชั่วที่ตนเอง ทำอยู่เป็นประจำ  เช่น ด่าว่า คนเขา โง่ หรือ ร่าน

สาวกของเปล่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกหลอกว่า  ผู้ที่เข้ากลุ่ม ถือว่าเป็นคนของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพ้นจากความเป็นไพร่  แม้แต่กุลีก่อสร้าง ก็พ้นจากความเป็นไพร่  พวกเขามีสถานะอยู่เหนือ เพื่อนร่วมชาติคนอื่นๆ

คนกลุ่มนี้อ้างว่า “รักในหลวง”  แล้วเอาสถานะนั้น ไปข่มเพื่อนร่วมชาติ  ทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม  คือ  “คนเกลียดในหลวง”

เมื่อฉันเข้าไปซึมซับในกลุ่มคนเสื้อแดง  จึงได้พบว่า  พวกเขาเกลียดสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหมด  โดยเกลียดมากบ้าง เกลียดน้อยบ้าง  หรือบางคนยังไม่อยากเกลียดเพราะยังสองจิตสองใจอยู่  ก็พอมี 

สภาพก็เหมือนกับที่เกิดในหมู่เสื้อเหลือง ที่พยายามใส่ร้ายป้ายสี ดร.ทักษิณ ชินวัตร   ในหมู่คนเสื้อแดง ก็มีหน่วยที่ใส่ร้ายป้ายสีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี  โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าหลวง  โดยมีการแต่งนิทานปั้นเรื่องราวต่างๆ นับว่าบาปกรรมแท้ๆ

ฉันไม่อยากแยกประชาชนออกเป็นเหลือง เป็นแดง  เพราะมีเพื่อนๆ หลายคนที่ภักดีกับพระเจ้าอยู่หัว  ไม่ได้ต้องการเป็นเหลือง  แต่ก็เกลียด ดร.ทักษิณ ชินวัตร  กลุ่มนี้ยอมสยบให้กับความ ไม่เป็นประชาธิปไตย   ฉันจึงขอเรียกว่าเป็น กลุ่มเกลียดทักษิณ

แล้วก็มีเพื่อนๆ อีกหลายคน ที่ไม่ได้เป็น สาวกทักษิณ  แต่มีความมุ่งมั่นโดยสุจริตใจ ในการเรียกร้องประชาธิปไตย  กลุ่มนี้ส่วนใหญ่รังเกียจสถาบันพระมหากษัตริย์  ฉันจึงขอเรียกกลุ่มนี้ว่า  “กลุ่มประชาธิปไตย”

ฉันเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพราะการเมืองในประเทศไทย  เข้าถึงจุดที่ “ฝ่ายเกลียดทักษิณ”  ออกมาเรียกร้อง ตรงกับความต้องการของฝ่ายประชาธิปไตย 

ฉันจึงได้เขียนบทความนี้ เพื่อเตือนสติเพื่อนๆ ฝ่าย “เกลียดทักษิณ” ว่า พระพุทธเจ้าหลวงทรงเลิกทาสให้กับพวกเรามานานมากแล้ว  ถึงขนาดการหมอบคลาน ก็ได้ทรงยกเลิก  ประชาชนคนไทย ไม่จำเป็นต้องเห็นว่าตนเองเป็น “ข้า” อีกต่อไป  พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีน้ำหฤทัยที่กว้างและได้ตั้งพระทัยที่จะมอบ ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) แก่ประชาชน  หลักฐานยืนยันได้จากลายพระหัตถ์   ซึ่งแม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบัน  ก็ควรให้ความเคารพ

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละพระราชอำนาจ ให้แก่ราษฎรทั่วไป   โดยไม่ทรงยินยอมยกอำนาจทั้งหลายให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ

ดังนั้น การที่มีประชาชนผู้อ้างตนว่า “รักในหลวง” แล้วถือว่าฝ่ายประชาธิปไตยคือ “พวกล้มเจ้า” จึงมีความคิดที่อกตัญญู ต่อล้นเกล้าผู้ทรงพระคุณอเนกอนันต์ ทั้งสองพระองค์

ในขณะที่กลุ่ม “รักในหลวง” ใช้สถานะของตนข่มเพื่อนร่วมชาติ  ก็เท่ากับว่ากำลังดูแคลนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  นั่นคือ กำลังนำเอาสถานะของพระมหากษัตริย์มายกสถานะของตน  เป็นการก้าวเหยียบพระมหากษัตริย์ เพื่อยกย่องตนเอง  ทำความเสื่อมเสียให้กับองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง 

เป็นที่น่าเสียดายว่า ประชาชนคนไทยไม่รู้จักวิธีใช้อำนาจที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้ 

ฝ่ายเกลียดทักษิณ  เห็นว่าขณะนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง กำลังใช้เงินซื้ออำนาจ และซื้อเสียงโวตในสภา  ทำให้กลายเป็นการยึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ (totalitarianism)  ความจริงพวกเขาควรมองว่า ประเทศชาติและประชาชนได้อะไร หรือเสียอะไร แทนที่จะจับผิดด้วยความเกลียดชัง  และไร้เหตุผลเพราะอคติ

ฝ่ายรักประชาธิปไตย เพียงมองว่าพวกเขาถูกฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวรังแก และพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยออกมาปกป้องพวกเขาเลย แม้แต่ครั้งเดียว  ดังนั้น พวกเขาเพียงไม่ต้องการพระเจ้าอยู่หัวที่กินเพียงภาษีประชาชน แต่ไม่เคยออกมาปกป้องประชาชน  ที่ถูกทำร้าย ถูกเอาเปรียบ และถูกฆ่าตายในนามพระเจ้าอยู่หัว

ฝ่ายรักประชาธิปไตย  เพียงออกมาพูดว่า พวกเขาแค่ต้องการโอกาสในการมีชีวิตอยู่  ต้องการโอกาสในการทำกิน  แต่คนของพระเจ้าอยู่หัวกลับออกมาพูดเย้ยว่า พวกเขาไม่ต้องการโอกาสในการทำกิน  แต่ต้องการเห็นคุณธรรมและจริยธรรมของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร 

คนของพระเจ้าอยู่หัวออกมาพูดโดยที่คำพูดของตนนั่นเองที่บ่งบอกถึงการขาดคุณธรรม และจริยธรรม  เพราะการเป็นคนของพระเจ้าอยู่หัว จำเป็นต้องเห็นแก่ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นหลัก  ไม่ใช่เอาสถานภาพความเป็นอยู่ของประชาชนมาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อโจมตีดร.ทักษิณ ชินวัตร   การแสดงออกที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรมของเหล่าองคมนตรีที่ขาดความรับผิดชอบต่อประชาชน  ทำให้ความเคียดแค้นและชิงชัง ตรงไปที่พระเจ้าอยู่หัว

ผู้ที่รู้จักใช้อำนาจมากที่สุดในยุคนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม  ที่ประกาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองว่า “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย”  เขาทำตามวิถีทางของฟาสซิสต์ ด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ (totalitarianism)  การยึดชาตินิยมอย่างสูง (ultranationalism)  การยึดมั่นในพลังอำนาจทางทหาร (militarism)  เขาทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อ ระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม (liberal democracy)  ระบอบสังคมนิยม (socialism) และ ระบอบคอมมิสต์ (communism)   เขายกตัวบุคคล อันได้แก่ผู้นำที่เข้มแข็งขึ้นเป็นสัญลักษณ์เพื่อให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธา  พฤติกรรมของ จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม คือการยกตนเอง แล้วเหยียบย่ำพระมหากษัตริย์  จนประชาชนรู้สึกอดสูใจ  แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะจะโดนฆ่า

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  เห็นด้วยกับการกระทำของจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ยกเว้นกรณีที่เหยียบย่ำพระมหากษัตริย์  เพราะเห็นตัวอย่างแล้วว่า ไปไม่รอด   เขายกย่ององค์พระมหากษัตริย์ให้เป็นที่สักการะเทิดทูนของปวงชน   ซึ่งคนในรุ่นนั้นเห็นด้วยกับการกระทำนี้  และรู้สึกขอบคุณจอมพลสฤษดิ์  ในขณะที่ตัวของเขาเอง หลบอยู่ภายใต้พระบารมี แล้วแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองได้อย่างเต็มที่

แต่ที่ประชาชนไม่เคยนึก ก็คือ อำนาจที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าพระราชทานนั้น ไม่เคยได้ตกถึงมือประชาชน  แต่อยู่ในมือของเผด็จการหาร (Junta) มาโดยตลอด

..............................................................................

สิ่งที่บรรดานักประชาธิปไตยควรเรียกร้อง และแสวงหา นอกเหนือไปจากความมีเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน  นั่นคือ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิทธิโดยธรรมชาติ  ซึ่งคนไทยไม่ควรมองว่าตนเองเป็น “ขี้ข้า” หรือเป็น “ทาส”  นอกจากนั้น โดยพระบรมราชานุญาตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 ประชาชนคนไทยทุกคน มีสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติบนผืนแผ่นดินนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ผ่านการจัดการของรัฐบาล  โดยสิทธิของพลเมือง คนไทยทุกคนควรได้รับการรักษาพยาบาล และการดูแลจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน  ไม่ใช่ว่าพอไปรับสิทธิจากการประกันสุขภาพ หมอและพยาบาลมองว่าเป็นประชาชนชั้นสองไปในทันที  และเหนือสิ่งอื่นใด ประชาชนควรมีอิสรภาพในการแสดงออก ในลักษณะที่ไม่ไปล่วงเกินสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น

................................................................................

หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ ถึงแก่อสัญกรรม  อำนาจกลับไปตกอยู่มือของเผด็จการทหารที่รับช่วงต่อโดยจอมพลถนอม กิตติขจร  กลายเป็นยุคมืดของแผ่นดิน   จนถึงวาระ 14 ตุลาคม 2516  ได้เกิดแผนอันแยบยลขึ้น  เนื่องจากประชาชนหมดความอดทนกับเหล่าเผด็จการทหารที่ทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ 

อำนาจเป็นสิ่งที่ต้องช่วงชิงกัน  แต่ใครจะได้มา  ได้มีการวางแผนให้บรรดานิสิตนักศึกษา และนักเรียนช่างกลเป็นตัวหลักในการทวงถามการปกครองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย  และให้มีการเลือกตั้ง  อำนาจช่วงนี้สามารถตกลงกันได้อย่างลงตัว  อำนาจอธิปไตยไปอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   โดยประชาชนคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายชนะ  แม้ประชาชนต้องเสียชีวิตไปไม่น้อย  แต่ก็ได้มีการเลือกตั้ง

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519  เป็นการสยบความเหิมเกริมของประชาชนลงไป  มาถึงปัจจุบันนี้ ประชาชนควรคิดได้แล้วว่า  คราใดที่คิดจะดึงเอาอำนาจที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ให้มาเป็นของประชาชน  กลุ่มชนชั้นสูงที่บริหารอำนาจนั้น จะดำเนินการสยบให้ประชาชนยุติความเหิมเกริม

เหตุการณ์ของพฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 ก็เช่นกัน  เมื่อใดที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาทวงคืนอำนาจอธิปไตย  ก็จะโดนฝ่ายกุมอำนาจสยบจนสิ้นฤทธิ์ไปพักใหญ่

………………………………………………………………………..

“ถึงเวลาที่ ทักษิณ ชินวัตร จะปลดแอกให้กับตนเอง”

ประชาชนคนไทยถูกข่มด้วยระบบข้าราชการมาช้านาน  ประมาณว่า ข้าราชการเป็นเจ้านาย  ส่วนประชาชน เป็น “ข้า” 

ในรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร  เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย  คำพูดที่ประทับใจไม่รู้วาย ของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร คือ คำพูดที่ว่า “ผมขอโอกาสรับใช้ประชาชน”

นับจากนั้นมา  ข้าราชการกลายเป็น ข้าราชการของประชาชน  ที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน  นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และน่าประทับใจมาก

ความดีของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีมากมาย  แต่ที่ประชาชนประทับใจ คือเรื่องของการรักษาพยาบาล  ที่เรียกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค  นี่เป็นความจำเป็นของชีวิต  ความจริงแล้วประชาชนควรได้รับสวัสดิการนี้มาตั้งแต่ต้น  แต่ไม่มีใครเคยให้มาก่อน

เรื่องของยาเสพติด และอาวุธสงคราม ก็เป็นเรื่องที่ประชาชนประทับใจ ในสมัยนั้น ถูกปราบเรียบ  เมื่อพรรคประชาธิปัตย์จะกล่าวหา ดร.ทักษิณ ชินวัตร  ก็กล่าวหาว่า ฆ่าตัดตอน  ไปสองพันคน  แต่พอสืบเข้าจริงๆ เหลือเพียง  พันสองร้อยคนที่นักค้ายาเสพติดฆ่าตัดตอนกันเอง  หลังทำรัฐประหาร  ฝ่ายเผด็จการทหารที่อ้างว่าจะล้างความทุจริตทางการเมือง กลับใช้งบประมาณมากมาย เพื่อล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา  จากนั้นปล่อยให้ยาเสพติดเกลื่อนเมือง  และมีการฆ่ากันตายมากมาย  ลูกหลายราษฎรติดยากันงอมแงม  ยาเสพติดหาซื้อได้ง่ายพอๆ กับลูกกวาด  ประชาชนโดนฆ่าเพราะยาเสพติดมากมาย

ดร. ทักษิณ ชินวัตร อยู่สถิตอยู่กลางใจประชาชน  ในแง่ที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น  และสนับสนุนการศึกษาให้กับเยาวชนของชาติ  ประชาชนตระหนักซึ้งในความดีนี้หลังจากการรัฐประหาร 2549 ที่ฝ่ายอำนาจนิยมจงใจทำให้ประชาชนยากจนลง  รวมถึงการ “ด่าทอ” ประชาชนที่โง่เขลายอมให้ ทักษิณ จูงจมูก  ในขณะที่เหล่าชนชั้นสูงเองพยายามมอมเมาให้ประชาชนพอใจอยู่ในสถานะของทาสผู้ที่ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว  ว่าง่าย  และคล้อยตามสิ่งที่พวกเขามอมเมาทุกประการ  ใครไม่คล้อยตามจะถูกลงโทษและถูกรังแกอย่างสาหัส  ความเลวทั้งหมดที่กล่าวมานี้  พวกเขากระทำกันในนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ส่วนใครไม่คล้อยตามถือว่าเป็นกบฏ

นี่คือความเจ็บปวดของประชาชน  ที่เจ็บปวดกว่านั้น คือ ทักษิณ ให้โอกาสประชาชนในการลืมตาอ้าปาก  แต่เหล่าชนชั้นสูงพยายามผลักดันอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ด้วยกลโกง  จากนั้นรัฐบาลนี้โกงกินงบประมาณแผ่นดินในทุกวิถีทาง  พร้อมทำให้ประชาชนจากจนลง  นั่นคือ ใครก็ตามที่ร่ำรวยจากการเปิดโอกาสในรัฐบาลทักษิณ  ก็ต้องมายากจน ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์

ทุกครั้งที่ฝ่ายอำนาจนิยมตั้งเป้า ทำลายจิตวิญญาณประชาธิปไตยของประชาชน  จะบอกว่า “นักการเมืองโกงกิน”  ... “โกงประเทศ” ... “ขายชาติ” ... และเพื่อให้ได้ความชอบธรรมในการฆ่าประชาชน  พวกเขาจะอ้างคำว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

ความจริงปรากฏมาโดยตลอดว่า เหล่าอำนาจนิยมนั่นเองที่เป็นพวกเอารัดเอาเปรียบประชาชน  กดขี่ข่มเองประชาชน  ดูหมิ่นเหยียดหยามประชาชน  เนื่องจากมีกฎอยู่ว่า ใครที่เขาเอาเปรียบได้เขาย่อมดูหมิ่นเหยียดหยาม  

การที่เขาอ้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเข่นฆ่าประชาชน  อ้างพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวในเอารัดเอาเปรียบประชาชน นั่นคือ พวกเขาดูแคลนพระเจ้าแผ่นดิน ที่ตกเป็นเบี้ยล่างยอมให้เขาเหยียดพระองค์ขึ้นมาใช้ประโยชน์  ตามกฎก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดนดูหมิ่นเหยียดหยาม โดย “ขี้ข้าโดยตรง” ของพระองค์ท่านเอง

การนิรโทษกรรมแบบสุดซอย (blanket amnesty) ซึ่งตั้งธงไว้ว่า จะนิรโทษกรรมนับจากปี พ.ศ.2547  ส่วนตัวของฉันเชื่อว่า  ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนดีมาก มาโดยตลอด  ความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อภาคใต้  คือ เจตนาที่จะทำให้ภาคใต้ประสบความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด  เนื่องจากภาคใต้ของประเทศไทยมีทรัพยากรณ์ที่เอื้อประโยชน์มากมาย  นับจากคำประกาศนี้ของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร  เหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ จึงได้เกิดขึ้นกับภาคใต้ของประเทศไทยมาจนทุกวันนี้  เหตุผลคือ  ตราบเท่าที่ภาคใต้ของประเทศไทยยังมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้น  งบประมาณทั้งหลายจะถูกทุ่มลงไป  และนายทหารชั้นผู้ใหญ่จะได้ “โกงกิน” บนซากศพของเพื่อนร่วมชาติ

ด้วยเหตุผลทั้งมวลนี้  ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สมควรเกรงกลัวว่าตนจะต้องโดนคดีทางภาคใต้  เนื่องจากในช่วงนั้น เขามีความมุ่งมั่นทางเศรษฐกิจ  ดังนั้น เขาจึงต้องการความสงบในพื้นที่เป็นอย่างมาก  ส่วนเหตุร้ายที่เกิดขึ้น  ทั้งในกรณีมัสยิดกรือเซะ และกรณีตากใบ มีเป้าหมายในการกำจัดเขาโดยตรง

อย่างไรก็ตาม การ ‘Set Zero’ หรือการล้างไพ่ เริ่มต้นกันใหม่ทั้งหมด  แล้วมาตั้งหน้าตั้งตาทำนุบำรุงประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า  เป็นแนวคิดหลักของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร  ที่ได้ประกาศอย่างโจ่งแจ้งโดยตลอด  ซึ่งเป็นความคิดในทางสร้างสรรค์ที่น่าสรรเสริญ

ทว่าผลพวงความเสียหายของการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง หรือนิรโทษกรรม สุดซอย ทะลุซอย (blanket amnesty) ทำให้เกิดความเสียหายลึกล้ำ  เกินความคาดหมาย

ประการแรกคือ บรรดาสมุนของเหล่าอำนาจนิยม ที่ฆ่าประชาชนภาคใต้รายวันเพื่อให้ทหารได้มีโอกาสโกงกิน  จะพลอยได้รับนิรโทษกรรมไปด้วย  นับจากการปล้นปืนในปี 2547 เลยทีเดียว

ประการที่สองซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุด  คือ การกระทำนี้เป็นการปิดกั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน  กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ ทำให้ประชาชนต้องยอมสยบให้อยู่ภายใต้อำนาจการกดขี่เอารัดเอาเปรียบของระบอบทุนนิยม  ที่เอื้อให้กับผู้แสวงอำนาจซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย  สำหรับประชาชนที่ไม่ยอมถูกกดขี่ และต้องการมีอำนาจในการปกครองตามที่ได้รับพระราชอำนาจมาจากล้นเกล้ารัชกาลที่ 7  ถูกมองว่าเป็นกบฏ และต้องการ “ล้มเจ้า” และถูดยัดเยียดข้อหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาโดยตลอด  

หลังนิรโทษกรรม Set Zero เริ่มต้นกันใหม่  เท่ากับว่า ประชาชนต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น  ที่ตนเองโดนล้างสมองว่า ต้องเป็น “ข้าทาส” ประชาชนจำเป็นต้องยอมสยบให้กับเหล่าทุนนิยมที่กอบโกยอำนาจกันมาแต่ดั้งเดิม  และไม่เคยต้องการให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า  พวกเขาพยายามทำให้คนไทยโง่เขลา  โดยบังคับให้ครูต้องทำงานธุรการ แทนการสอนหนังสือ  ออกความคิดโง่เขลาว่า ต้องเลิกบังคับให้เด็กท่องจำ   โดยลืมไปว่า หากเด็กไม่เริ่มจากการใช้สมองในการท่องจำ แล้วเด็ก จะเอาวัตถุดิบที่ไหนไปใช้ในการ คิดวิเคราะห์ สิ่งต่างๆ รอบตัว   ดังนั้น การท่องจำ จึงจำเป็นต้องควบคู่ไปกับการอ่านหนังสือหากความรู้รอบตัว  และผู้มีหน้าที่ให้คำแนะนำ  ก็คือ “คุณครู”  สรุปคือ เป็นแผนการให้คนไทยโง่เขลา นับตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 มาเลยทีเดียว

สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร พูดได้เต็มปากว่าเป็น ยุคทองของการศึกษาไทย  แต่หลังรัฐประหาร 2549  ฝ่ายอำนาจนิยมได้ล้างความเจริญก้าวหน้าทั้งหมดที่ประชาชนคนไทยควรได้รับ  ในนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เหล็กย่อมผุกร่อนจากสนิมเหล็ก”   

การทำลายกระบวนการประชาธิปไตย จำเป็นต้องทำลายจากภายในโครงสร้างของฝ่ายประชาธิปไตยเอง 

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ถูกเลือกและได้ถูกกำหนดตัว  โดย ฝ่ายอำนาจนิยม ให้เป็นตัวแทนเผด็จการอำนาจ  ที่พวกเขาสุดแสนภาคภูมิใจ  และจะกลายเป็น ทุนนิยมใหม่ ที่จะเข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากประชาชน 

ทั่วโลกประณามว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายโหด (draconic) และถูกนำมาใช้อย่างไร้เหตุผล  ทว่าตัวบทกฎหมายนี้ อย่างน้อยก็มีเหตุมีผลภายในตัวของมันเอง  ปัญหาเกิดจากผู้พิพากษา  ไม่ได้เกิดจากตัวของกฎหมาย

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พยายามผ่านกฎหมายมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้  มีเป้าหมายในการแช่แข็งมรดกวัฒนธรรมของไทย  เพราะจะไม่ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป  บทลงโทษ โดยมาตรา 40 ระบุว่า  หากมีการนำมรดกทางวัฒธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งขึ้นทะเบียนแล้ว ไปเผยแพร่ในลักษณะหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทบกระเทือนศาสนา และความมั่นคงของประเทศ  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดี  มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี  หรือปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นี่เป็นกฎหมายที่ไร้หลักการและปราศจากเหตุผล  ทำความเสียให้กับวัฒนธรรมของชาติ  และสามารถนำไปใช้ในการทำลายล้างศตรูทางความคิด

ขณะนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ กำลังถูกโค่น โดย “สนิมในตน”  ดังนั้น มาตรา 112 ย่อมไร้ความหมาย  ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายอำนาจนิยม จึงได้สร้าง กฎหมายที่โหดกว่า น่ากลัวกว่า และไร้เหตุผลกว่า อย่าง “กฎหมายมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้”

“ทักษิณ ชินวัตร กลับตัวกลับใจ และปลดแอกตนเองจากความโลภ”

ฝ่ายประชาธิปไตย หวังในตัว ดร.ทักษิณ ชินวัตรมากมาย  ขณะนี้เขากำลังอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของประเทศไทย  นั่นคือ นั่งอยู่ภายในใจของประชาชน  อำนาจวาสนาภายหน้า เป็นสิ่งที่รอจังหวะ และรอเวลากันได้   กรุณาอย่าได้ทำลายตนเอง  และทำให้ตนเองกลายเป็น “ปีศาจร้าย”

ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฉันเคยรู้จักในช่วงที่กำลังเป็นนายกรัฐมนตรี  แม้ว่าการบริหารงานของเขาจะค่อนไปในทางเผด็จการ ในระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ (totalitarianism) แต่จุดมุ่งหมายของเขาคือ ให้โอกาสประชาชนได้ร่ำรวย  ให้โอกาศเยาวชนให้ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด  ที่น่าประทับใจที่สุด คือ เขาต้องการเป็นผู้นำประเทศที่โดดเด่น และเจริญก้าวหน้า ทั้งทางวัตถุนิยม  ทางศิลปะ และทางวัฒนธรรม  โดยเฉพาะวัฒนธรรมในส่วนที่ล้ำสมัย  และในส่วนที่เป็นอนุรักษ์นิยม

...........................................................................

 “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ปลดแอกให้พระองค์เอง”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงถูกฝังความคิด โดยพระองค์เจ้ารังสิต ประยูรศักดิ์  และพระองค์เจ้าธานีนิวัติฯ  ว่าทรงมีหน้าที่รักษาราชวงศ์จักรีให้สถิตสถาพร

วิธีการของพระองค์เจ้ารังสิตฯ คือการปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมราชาธิบดินทร  ผู้มีพระหฤทัยมอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ให้กับประชาชน  ซึ่งมีผลให้ต้องล้มราชวงศ์จักรี

เครื่องมือที่ใช้เกื้อหนุนแผนการนี้ คือ พระองค์เจ้ารังสิตฯ ได้ทรงร่วมมือกับพระองค์เจ้าธานีนิวัติฯ ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่มขึ้นมา  แต่ให้หลวงกาจ เก่งระดมยิง เป็นผู้รับสมอ้างว่าเป็นคนร่าง  เพราะต้องเป็นผู้นำขึ้นทูลเสนอให้พระองค์เจ้ารังสิตฯ ในฐานะที่เป็น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  เป็นผู้ลงพระนาม

แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะได้ถูกใช้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็เป็นแม่แบบของรัฐธรรมนูญทุกฉบับในประเทศไทย  เนื่องจากนับแต่นั้นมารัฐธรรมนูญของไทย ถูกร่างขึ้นโดยคณะรัฐประหาร  ซึ่งเห็นด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญที่เอื้อให้กับผู้มีอำนาจเพียงหยิบมือเดียว  ที่จะแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์จากภาษีของประชาชน  และจากทรัพยากรณ์ของประเทศไทย  เหล่าอำนาจนิยม ต่างแย่งอำนาจกัน โดยอาศัยซากศพของประชาชนที่คิดว่าตนเองกำลังต่อสู้เพื่ออำนาจอธิปไตย ที่ควรเป็นของประชาชน

แม้แต่รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 ที่ไม่ได้ร่างโดยทหาร  ก็ยังยึดหลักที่อำนาจตกอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มเดียว ที่แย่งอำนาจกัน 

ส่วนความผิดทั้งหมด  พระมหากษัตริย์  ทรงเป็นผู้รับไป  เหล่าอำนาจนิยมทั้งหมด จะได้รับโอกาสในการ “กอบโกย”  ... “โกงกิน” ... “เอารัดเอาเปรียบประชาชน”  ภายใต้ร่มเงาของคำว่า “จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

มาถึงจุดนี้  นับว่าถึงเวลาแล้ว  ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงอิ่มตัว กับการที่ถูกประชาชน จากสูงสุด ไปจนต่ำสุด  ดูถูกถูแคลน พระองค์  โดยการเหยียบลงไปบนองค์พระมหากษัตริย์  เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน  ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

  • 4 คน ถูกใจสิ่งนี้
  • จอนคูโบต้า ประชาไท ดูเหมือนจะเป็นการดิสเครทักษิณไงไม่รู้นะครับ หลังกระแสต้าน พรบ.ออกมา รู้สึกจะมีพวกที่ซุ่มเงียบค่อยๆโผล่ออกมาเสี้ยมทีละตัวสองตัว แต่อย่าหวังสำหรับผมเลยครับ ผมมีสมองที่จะคิดไตร่ตรองด้วยตัวเอง ไม่เคยถูกสนตะพายครับ ขอบคุณครับ
  • อุษา แสงจันทร์ ใช่ค่ะ จอนคูโบต้า นี่เป็นการตำหนิคุณทักษิณ ตรงๆ ฉันไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา แต่เขาเป็น 'มนุษย์' เป็นนักการเมืองท่ประชาชนสามารถ ติติงได้ หากเห็นว่าเขากำลังเดินพลาด เราสามารถติติงเขาได้ ทำไมเราต้องรอให้เรื่องมันสายเกินแก้ แล้วจึงมาพูดกัน พูดตอนนี้แหละค่ะ ดีที่สุด
  • อุษา แสงจันทร์ ขนาดพระเจ้าอยู่หัว ฉันก็กำลังเตือนพระองค์ท่านด้วยบทความนี้ แล้วทำไม ฉันถึงต้องแตะ คุณทักษิณไม่ได้ หากคิดว่ารักกันจริง ก็ต้องเตือนกันได้ค่ะ
  • จอนคูโบต้า ประชาไท ผมอ่านดูแล้ว ดูยังไงมันก็เป็นเสี้ยมมากกว่าติติงครับ สรุปสุดท้าย เอารูปอะไรมาเป็นทักษิณ 555555555555555
  • จอนคูโบต้า ประชาไท ใครจะรักใคร เกลียดใคร จะกล่าวว่าใครดี/ไม่ดี ไม่ต้องมาบอกผมหรอกครับ ผมไม่ได้โง่ ผมบอกแล้วไงว่า ผมมีสมองที่จะคิดไตรตรองด้วยตัวของผมเอง หรือใครจะมาบอกว่าอภิสิทธิ์เลว ผมก็ยังไม่เชื่อ จนกว่าผมจะเห็นการกระทำด้วยตัวของผมเอง เพราะฉนั้น สเตตัสนี้เปล่าประโยชน์ครับที่จะดึงให้ผมไปรังเกลียดทักษิณด้วย ผมไม่ได้โปรทักษิณ ผมไม่ได้คลั่งไคล้ทักษิณนะบอกไว้ก่อน แต่ถ้ามาไม้นี้ เล่นดิสทักษิณแบบนี้ ขอบคุณครับ ตอนนี้ผมสงสารทักษิณแล้วล่ะ
  • Nudd Keyo Thanks for the tag. I'm still waiting to see the real face of people. It's still early to judge in my opinion.
  • อุษา แสงจันทร์ ฉันพยายามพูดแรง เพื่อให้คุณทักษิณ รู้สึกตัว คนเราเมื่อถูกยกจนเลิศลอย ก็จะเหลิง ส่วนพวกเรา เมื่อไม่ต้องการเป็น ขี้ข้าในหลวง ก็ไม่ควรแสวงหา "นายใหม่" นะคะ เพราะนักการเมืองก็คือ ผู้รับใช้ประชาชน กินภาษีของประชาชน แต่หากเพื่อนคนใดไม่ยอมปลดแอกตนเอง ต้องการได้ "เทวดาคนใหม่" แทนในหลวง ก็ตามใจนะคะ
  • อุษา แสงจันทร์ You are right Nudd Keyo but what I am doing is to warn them, as well as to alert people. People should not be blind in their love, and let themselves be used.
  • Nudd Keyo There are not much choices now. We have only bad and worse. So I choose the bad. Still better than Democrat Party. I support, but I don't blindly love.
  • ธงชัย เปาอินทร์ เฮ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเลยพภี่อ้อย ธงชัยขอแชร์นะครับ
  • ธงชัย เปาอินทร์ ขอก็อปปี้ไปโพสท์ลงใน www.thongthailand.com ด้วยนะครับ มีปัญหาตามมาก็ไปด้วยกันนะครับ
    www.thongthailand.com
    Travel,Art&Culture,Food&Bed,and Save the forest green