ไม่มีกำลังชี้ขาดก็ไม่ชนะ
โดย จำลอง บุญสอง
40 สิบปีที่ผ่านมาอาจารย์มหาวิทยาลัยไร้เดียงสากับคนเดือนตุลาฯที่หวาดกลัวกับการต่อสู้กับระบอบเผด็จการทหาร พากันออกมา “ชี้ถูก” ครึ่งเดียวว่า “การปกครองของทหารคือการปกครองแบบเผด็จการ การปกครองโดยพลเรือนเป็นประชาธิปไตย” ผลของความ “เห็นผิด” ดังกล่าว จึงทำให้เผด็จการพลเรือน คว้า “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” มาสร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนต่อจากพวก มิจฉาทฤษฎี “รัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตย” ของพวก2475 อีก 40 ปี
ความเห็นผิด 40+40 ปีที่คนไทยต้องสูญเสียโอกาสในการก้าวไปสู่ความเป็นอารยะไปอย่างน่าเสียดาย
ช่วง80ปีบางช่วงประชาชนมีดวงตาเห็นธรรมว่า การปกครองเผด็จการไม่ว่าจากการรัฐประหารหรือการเลือกตั้งของพลเรือนก็เป็นแค่อำนาจอธิปไตยของคนไม่ “กี่ตระกูล” จึงรวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยขึ้น ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง เป็นผู้ก่อการร้ายบ้าง เป็นพวกล้มล้างการปกครองบ้าง เพื่อให้กองทัพซึ่ง Sensitive ต่อความมั่นคง หลงผิดว่า “ชาติกำลังจะเกิด “ความไม่มั่นคง” (ทั้งที่เผด็จการต่างหากที่กำลังเกิดความไม่มั่นคง) ทำรัฐประหารขึ้น!
พอยืมมือทหารปราบประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยลงได้ระยะหนึ่งแล้ว เผด็จการพวกเดิมก็ไป Fool แอ้คติวิสต์ไร้เดียงสาออกมา “กดดัน” ให้ทหาร “คาย” อำนาจ “เลือกตั้ง” เพื่อให้อำนาจอธิปไตยพลเรือนตระกูลเก่าๆขึ้นมาถือครองอำนาจอีก ในรูป
“เหล้าเก่า ในขวดใหม่”
การรัฐประหารครั้งสุดท้ายที่ “เผด็จการเหลือง” หลอกทหารไปโค่น “เผด็จการแดง” ทำให้มวลชนประชาธิปไตยต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 90 ศพ ผลลัพธ์ของการใช้มาตรการทางการทหารต่อคนในชาติเดียวกันครั้งนั้น ทำให้ “กองทัพ” ถูกประชาชน “โดดเดี่ยว” “การเมือง” ของกองทัพ “ทรุด” ลงอย่างรวดเร็ว (Patternเดียวกับ 3 จังหวัดภาคใต้)
การทรุดทางการเมืองของกองทัพ แม้ว่าด้านหนึ่งจะกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ แต่ด้านหนึ่งกลับกลายเป็นผลดี เพราะไปให้สติผู้นำทัพคนใหม่อย่างพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รู้ตัวได้ว่า การที่กองทัพถูก “ใช้” ไปเป็น “เครื่องมือ” ทางการเมืองของเผด็จการฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด นอกจาก เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งแล้ว กองทัพยังถูกเผด็จการอีกพวกหนึ่งเอากระดูกมาแขวนคอให้อีกด้วย
แม้ขบวนเผด็จการเหลืองพยายามจะใช้ “พันธมิตรเก่า ทหารแก่” มาสร้างสถานการณ์ “กวักมือเรียก” กองทัพออกไปรับใช้แบบเดิมอีก พล.อ. ประยุทธ์จึงปฏิเสธ แถมยัง “พูดถูก” อย่างยิ่งว่า. “การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน”
ผลของการไม่ทำรัฐประหารไม่เพียงแต่จะทำให้การใช้ความรุนแรงลดดีกรีลงเท่านั้น แต่ยังไปทำให้ประชาชนตระหนักรู้ได้ว่า เผด็จการพลเรือนนั้น “มีจริง”
จนนำมาซึ่งการการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาแดงอย่างสันติในช่วงที่ผ่านมา!
สู้ในท่ามกลางความสงสัยของพลังเงียบจำนวนมากว่า 1.ไม่ว่าถึงเหลืองหรือแดงจะชนะ ปัญหาความขัดแย้งของทั้งคู่จะจบลงจริงหรือ 2.เกรงว่าการชุมนุมที่ไม่มีแนวทางคือการ “เตะหมูเข้าปากหมา” โค่นเผด็จการพลเรือนตัวหนึ่งเอาอำนาจไปใส่พานให้เผด็จการพลเรือนอีกตัวหนึ่ง!
จะดีเป็นอย่างยิ่งถ้าประชาชนประชาธิปไตยดาวน์การต่อสู้แล้ว สร้าง “เอกภาพทางความคิด” ของมวลชนขึ้น วางแนวทาง และประกาศนโยบายระยะสั้นยาวและต้องคำนึงถึงพลังชี้ขาดด้วย การดาวน์ลงไม่ได้หมายความว่าเราแพ้ ตราบใดที่การปกครองแบบเผด็จการยังเป็น “เงื่อนไขสงคราม” สงครามยังคงมีให้เราสู้เสมอ
การต่อสู้แบบมวยวัด (คือไม่มีแนวทาง) นั้น “ไม่มีทางตอบโจทย์” เพราะพลังแท้ๆของประชาชนยังไม่รู้เลยว่าผู้นำการชุมนุมจะพาพวกเขาไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรกชนิดใด!
ถ้าอวิชชาไม่รู้ทั้งนิโรธและมรรค ท้ายที่สุดก็จะหนี “วงจรอุบาทว์ โค่นรัฐบาลเผด็จการพลเรือนเพื่อจะได้รัฐบาลเผด็จการพลเรือน (อีกขั้ว) ไม่ได้ ทั้งๆที่ประชาชนต้องการการปกครองของ ประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน แท้ๆ!
การสร้างตึกสูงๆต้องใช้วิศวกรฉันใด การสร้างประชาธิปไตยก็ต้องใช้วิศวกรการเมืองฉันนั้น ถ้าปราศจากวิศวกรทางการเมืองเสียแล้ว เราก็ต้องไปพึ่งบริการ “การเลือกตั้ง” เพื่อให้เผด็จการพลเรือนตัวใดตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วเราก็บอกว่ามันไม่ใช่ๆกันอีก!
การชุมนุมต่อต้านเผด็จการครั้งนี้มีปรากฏการณ์พิเศษเกิดขึ้นก็คือ มีพวก “ฉวยโอกาส” ทำสภาประชาชนขึ้นเลียนแบบสภาปฏิวัติแห่งชาติ มีไร้เดียงสาบางกลุ่มหาทางถวายคืนพระราชอำนาจโดยไม่รู้ว่าถ้าสงครามยังไม่จบการกระทำดังกล่าวจะไประคายเบื้องพระยุคลบาทอย่างไร อาจจะมีเจตนาดี แต่เจตนาดีที่มีอวิชชาก็คือการพาประชาชนไปลงนรก ไปสร้างความเสียหายให้กับสถาบันฯ สร้างความไขว้เขวให้กับประชาชนที่เคลื่อนไหวประชาธิปไตย ทางการเมืองเรียกพวกนี้ว่าพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ (Counter Revolutionary)
ปล.1.สนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสก็ย่อม “บังคับใช้” เฉพาะไทยกับฝรั่งเศส ไม่เกี่ยวกับไทยกับลาวหรือไทยกับกัมพูชา ถามรัฐบาลว่าเราไปทำสัญญากับลาวและกัมพูชามาตั้งแต่สมัยไหน 2.ลาว-กัมพูชาในอดีตเคยเป็นรัฐแห่งชาติเหมือนไทยหรือเป็นแค่เมืองในอาณัติของไทย 3.ฝรั่งเศสชนะสงครามญี่ปุ่นแล้วมาบังคับให้ไทยทำสัญญาคืนดินแดนให้นั้นผิดหลักการสหประชาชาติหรือไม่
รัฐบาลไหนๆก็ไม่ต่อสู้เรื่อง “การเมือง” แต่ดันไปสู้ในแง่ “กฎหมาย” หนำซ้ำยังทะลึ่งไปออกเอกสารยอมรับว่า สนธิสัญญาโตเกียวหมดสภาพบังคับใช้ไปแล้ว โธ่.โง่แล้วยังอยากเป็นรัฐบาล ถูกโค่นนั่นยังน้อยไป ต้องเอาขึ้นศาลประชาชนให้เข็ด!
ปล.2 ฝ่ายโค่นรัฐบาลไม่ชนะ (ผมไม่ได้บอกว่าแพ้นะครับ) เพราะ 1.ไม่นำทางความคิดให้มวลชนเกิดเอกภาพทางความคิดก่อน 2.ไม่ประกาศแนวทาง ไม่มีนโยบายทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว 3.ไม่มีกำลังชี้ขาดคือกรรมกร (เป่านกหวีดชี้ขาดไม่ได้นะครับ) ไม่มีทางชนะ และ 4.ไปเอาพรรคประชาธิปัตย์ “แนวร่วมมุมกลับ” ซึ่งเป็น “ไพ่โง่” มา “นำ” จึงเป็น “เงื่อนไข” ให้แกนนำนปช.พลิกเอาผีเผด็จการฆ่าคนมาหลอก ทำให้รัฐบาลมีกำลังประชาธิปไตยแดงมาอุ้ม ทั้งๆที่กำลังถอนตัว
ปล.3 การนัดหยุดงานไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นรูปหนึ่งของการต่อสู้ คำถามก็คือ..คนไทยจะหยุดงานไปเพื่อ 1.เทพเทือกแห่ง ปชป.หรือ.2.เพื่อโค่นระบอบทักษิณหรือ 3.เพื่อสร้างการปกครอง ของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน เลือกเอานะครับ