ตะลอน..เลย 1.เชียงคานเมื่อวันวานและวันนี้
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
เมืองเลยเคยได้ชื่อว่าเป็นมรกตแห่งอีสานมานานช้า แต่วันนี้เมื่อวันเวลาผันผ่าน เมืองเลยอาจได้ชื่อใหม่ ลมหายใจสุดท้ายของมรกตแห่งอีสาน ถ้าอย่างนั้น จะชวนไปตะลอน..เมืองเลย ทำไม มีอะไรดีและแปลกใหม่เช่นนั้นหรือ ผมตามเพื่อนชื่อคุณสุรศักดิ์-ราณี นัยสุดใจ แห่ง www.ทัวร์วัยทอง.com ไปด้วยความพิศวงศ์กับชื่อเมืองเชียงคานซึ่งผมไม่เคยไปเลยสักทริป ช่วงต้นหนาว 22-24 พฤศจิกายน 56 นี้เอง
เชียงคาน ..เมื่อวันวาน
ย้อนไปกว่า 30 ปี เมืองเลยได้สมญานามว่าเป็น มรกตแห่งอีสาน ก็ด้วยว่ามีผืนป่าหนาแน่น คุณสุรศักดิ์เล่าว่า
“เมื่อนั่งรถผ่านเข้าไปในเขตเมืองเลย ผิวกายซึมซับความหนาวเย็นจากอากาศโดยรอบข้าง ซึ่งมีแต่ป่ากับป่า”
เย็บผ้านวมกันหนาวมาแต่โบราณกาล
“พี่เคยเห็นที่นักถ่ายภาพปีนขึ้นไปบนภูกระดึงแล้วบันทึกภาพผืนป่าเชิงดอย เขียวดุจมรกตสาดส่อง มองไปทั่วท้องทุ่งและเนินเขาเห็นแต่ทิวดอกฝ้ายบานสะอาดตาตัดกับท้องฟ้าสีครามเข้มแสนงาม”
ในเรือนยามค่ำตามไฟด้วยขี้ไต้จากน้ำตาต้นยาง แม่หญิงทั้งผู้สาวและผู้เฒ่า ล้วนนั่ง “กรอฝ้าย” ให้เป็นด้าย แล้ว “ถักทอ” เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ใช้สวมใส่ บ้างก็ลงไปตำข้าวด้วย”ครกกระเดื่อง”ส่งเสียงดัง “ตึก ตึก ตึก” หนุ่มต่างบ้านมา “เล่นสาว” ช่วยควักข้าวให้กลับด้าน เป็นภาพประทับใจให้หวนรำลึกถึง
ความบันเทิงจากเครื่องฉายหนังวิกเดียว
ท่ามกลางความมืดยามราตรี อาจมีเสียง”แคน” แล่นแตรดังมาตามทางในหมู่บ้าน เคล้าคลึงกับเสียง”กระดึง”ผูกคอวัว โชคดีจะได้ยินเสียงหนุ่มรำเพลินประกอบแคนและพิณปลุกความหนุ่มและสาวให้ตื่นใจ ในคืนเดือนหงาย ภายใต้แสงนวลใยส่องสว่าง ริ้วระลอกน้ำไหวกระเพื่อม แล้วเดินกุมมือสาวคนรักบนถนนขายโขง จะโรแมนติกสักเพียงไหน
เชียงคาน...เมื่อวันนี้
ด้วยรถเก๋งเล็กๆ แล่นผ่านเส้นทางสายกรุงเทพ-สระบุรี แล้วแยกไปยังอำเภอชัยบาดาล-เข้าเขตจังหวัดเพชรบูรณ์อำเภอแรกที่ศรีเทพ-วิเชียรบุรี-บึงสามพัน-หนองไผ่-เพชรบูรณ์-หล่มสัก-หล่มเก่า-ภูเรือ-เลย-เชียงคาน ด้วยถนนลาดยางอย่างดี ระยะทางประมาณ 566 กม.ใช้เวลาเดินทางราวๆ 7-8 ชม. แบบสบายๆ
แสงสีน้ำเงินเมื่อรุ่งอรุโณทัยชายโขง
ผมตั้งใจไว้แล้วว่า จะตื่นตีห้าครึ่งเพื่อไปถ่ายแสงสีน้ำเงินยามรุ่งอรุโณทัย เมืองเชียงคาน อากาศหนาวพอได้สวมเสื้อวอร์มแค่นั้น หมอกลงจางๆกระจายไปทั่ว ไม่มีปัญหากับการถ่ายภาพ ผมได้ภาพที่มีทั้งนักท่องเที่ยวหนุ่มๆสาวๆที่นั่งพับเพียบเรียบร้อย และพี่น้องคนท้องถิ่นที่เฝ้ารอพระมาบิณฑบาต ได้เห็นความตื่นเต้นของเหล่าพุทธศาสนิกชนคนรุ่นหนุ่มสาว
รอตักบาตร
เป็นการตักบาตรด้วยข้าวเหนียวบรรจุถุงพลาสติกเล็กๆ ดอกไม้หนึ่งกำมือ มีโต๊ะตั้งจำหน่ายของพี่น้องคนท้องถิ่น ทำมาขายให้กับนักท่องเที่ยวเหล่านี้ โรงแรม รีสอร์ท โฮมสะเตย์ แต่ละแห่งบริการเสื่อกกผืนยาว สีต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้นั่งรอ สืบสานวัฒนธรรมทางด้านพุทธศาสนาของเหล่าพุทธศาสนิกชน
ผมเดินเลยไปอีกช่วงหนึ่ง ได้เห็นแม่หญิงชาวบ้านสวมถุงซิ่นสีเข้ม สวมเสื้อแขนยาวสีขาว บ้างก็สีเขียว ตามชอบ เป็นการตักบาตรตามวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ไม่ได้ปรุงแต่ง พุทธศาสนิกชนคนพุทธล้วนถอดรองเท้าเสมอองค์พระสงฆ์ ตักบาตรด้วยความพินอบพิเทายิ่ง
เช้านี้เขาตักบาตรด้วยข้าวเหนียวกับบูชาด้วยดอกไม้กำหนึ่ง
เธอขายของทอดรองท้องหลายอย่าง
ส่วนกับข้าวหรือขนมนมเนยหรือผลไม้ต่างๆ ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า การถวายจังหันนั้น ชาวบ้านจะใส่กับข้าวในปิ่นโต แล้วตามไปถวายที่วัดตอนหลัง
เมืองเชียงคานนี้ช่างโชคดีที่มีวัดอยู่ภายในเขตตัวเมืองหลายวัด เช่นวัดศรีคนเมือง วัดท่าแขก ฯลฯ จึงมีพระจำนวนมากวนเวียนเปลี่ยนกันเข้ามาบิณฑบาต
นักท่องเที่ยวรอตักบาตร
ก่อนอรุโณทัย ชาวบ้านร้านถิ่นมีรายได้จากการจำหน่ายข้าวเหนียว ดอกไม้ และของว่างที่นิยมกินกันอย่างง่ายๆ ประเภทปิ้งย่าง เครื่องดื่มพื้นๆที่หาซื้อได้ตามร้านหรือที่ชาวบ้านมาคั้นขาย เป็นการรองท้องของนักท่องเที่ยวได้ระดับหนึ่ง
บ้านเรือนสองฟากฝั่งถนนชายโขง เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว สองชั้น สามชั้น และสี่ชั้น ยังอนุรักษ์รูปเรือนไม้เก่าไว้ บานประตูแบบบานเฟี้ยม บางหลังก็เป็นแบบานพับ มีทั้งบ้านเป็นหลังและที่เป็นเรือนแถวเรียงติดๆกันไป
ส่วนที่สร้างใหม่อาจเป็นบ้านของนักธุรกิจที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตรุ่นใหม่ เจ้าของบ้านพักโฮมสะเตย์ รีสอร์ท และโรงแรมส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ แต่เริ่มมีคนจากกรุงเทพเข้ามาซื้อเพื่อทำธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ราคาและมาตรฐานของโรงแรมจึงแตกต่าง
ประวัติเมืองเชียงคาน
ปีพ.ศ.1400 ขุนคานราชโอรสของขุนคัวแห่งอาณาจักรล้านช้างได้สร้างบ้านแปลงเมืองให้ชื่อว่า เมืองชะนะคาม ครั้นปีพ.ศ.2250 อาณาจักรล้านช้างแตกเป็นสอง เหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไปเป็นเขตอาณาจักรหลวงพระบาง มีเมืองเหืองเป็นเมืองหน้าด่าน ตั้งอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ใต้แม่น้ำเหืองลงมาเป็นเขตแดนอาณาจักรเวียงจันทน์ มีเมืองเชียงคานเป็นเมืองหน้าด่าน
รับบิณฑบาตรแล้วก็สวดอำนวยพรให้ญาติโยม
พ.ศ.2320 พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้โปรดเกล้าให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและพระสุรสีห์ ร่วมกันตีเมืองลาวแล้วรวมสองอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียว พร้อมกับอพยพผู้คนมาอยู่ในเมืองปากเหือง ให้ขึ้นตรงต่อเมืองพิชัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 (2367-2394) ได้โปรดให้ปราบปรามเจ้าอนุวงศ์ที่คิดการใหญ่กอบกู้แผ่นดินเวียงจันทน์ให้เป็นอิสระจากกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วอพยพผู้คนมาอยู่เมืองปากเหืองมากขึ้น ทรงแต่งตั้ง พระอนุพินาศ(กิ่ง ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองปากเหืองพร้อมกับพระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่า เชียงคาน
มีการย้ายเมืองเชียงคานไปบ้านท่านาจันทร์ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยกำหนดเขตจังหวัดและบ่งแยกระดับอำเภอ พ.ศ.2452 พระยาศรีอรรคฮาด (ทองดี ศรีประเสริฐ) ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภอคนแรก ในปีพ.ศ.2484 ได้ย้ายที่ทำการอำเภอเชียงคานครั้งสุดท้ายมายังที่ตั้งปัจจุบันนี้
ทิศเหนือจดแขวงเมืองไชยะบูลีและอ.ปากชม ทิศตะวันออกจดอ.ปากชม ทิศใต้จดอำเภอเมืองเลย และทิศตะวันตกจด อ.ท่าลี่และแขวงไชยะบูลี สปป.ลาว
ไปเชียงคานตามคำเชิญชวนของเพื่อนชื่อสุรศักดิ์-ราณี นัยสุดใจ คราวนี้ ได้ภาพและเรื่องมาเล่าตามประสาตากล้องและคนเล่าแก่ๆ ขอบคุณที่มีเพื่อนเป็นคนเมืองเลย เลยโชคดี