แถลงการณ์ของสื่ออาวุโสเพื่อการแก้ไขปัญหาชาติ
ทางเลือกที่ 3 รัฐบาลเฉพาะกาล เพื่อแก้ไขปัญหาชาติ
ความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่าเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ “เศรษฐกิจ” และ “สังคม” ของชาติพินาศลงอย่างรุนแรงและมีแนวโน้มว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปอีกยาวนานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย หนำซ้ำจะยังก่อให้เกิดการปะทะ ฆ่ากันระหว่างประชาชนกับประชาชนอย่างรุนแรงอีกด้วย ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มันมีเหตุปัจจัยมาจากการปกครอง “เผด็จการ ระบบรัฐสภา” ที่สั่งสมปัญหามาอย่างยาวนานกว่า 80 ปี ระบอบเผด็จการรัฐสภาที่เป็นบ่อเกิดของ “ความยากจนสะสม” ในคนส่วนใหญ่ที่ “ผกผัน” กับ “ความร่ำรวย” ของ “คนส่วนน้อย” ทั้งที่อยู่ต่อหน้าและลับหลังของการเมืองของระบอบนี้ ช่องว่างของรายที่แตกต่างดังกล่าว ส่งผลให้ “ความเสมอภาค” “ต่อหน้ากฎหมาย” และ “ความเสมอภาค” ใน “โอกาส” ของ “คนจน” “ผู้ถูกปกครอง” กับ “คนรวยทั้ที่เป็นผู้ปกครองและอยู่เบื้องหลังการปกครอง” “ถ่างออกจากกัน” อย่างไกลสุดกู่ จนนำมาซึ่ง 2 มาตรฐานในสังคมไทย และ 2 มาตรฐานดังกล่าวนั่นแหละที่นำมาซึ่ง”วิกฤติศรัทธา” ของประชาชนต่อพรรคการเมือง นักการเมืองในระบอบนี้ วิกฤติศรัทธาของประชาชนที่อยู่บน 1.จุดยืน 2.ทัศนะและ 3.มรรควิธี (แนวทาง) ของแต่ละปัจเจกชน ภายใต้ความต้องการ “ประชาธิปไตยเดียวกัน” นั่นแหละ ที่นำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชนด้วยกัน และนำมาซึ่งการโค่นรัฐบาลทุกรัฐบาล โดยประชาชนหารู้ไม่ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “รัฐบาล” แต่ปัญหาอยู่ที่ “ระบอบ” หรือ “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” ต่างหาก ที่คนทั่วไปที่ไม่ได้ร่ำเรียนวิชาการเมืองมา “มองไม่เห็น” “ระบอบ” (Regime) ก็เพราะ “ระบอบ” หรือ “อำนาจอธิปไตย” เป็น “นามธรรม” (Abstract) เห็นได้ยาก ดังนั้นประชาชนจึงจัดการกับสิ่งที่ “เห็นได้ง่าย” ก็คือ “รัฐบาล” (Cabinet) ซึ่งเป็น “ตัวแสดง” หรือร่างทรงของระบอบที่มีลักษณะเป็นรูปธรรม (Concrete) เมื่อประชาชนเห็นแต่รัฐบาลซึ่งเป็นตัวแสดงของระบอบที่จับต้องได้ (Concrete) พวกเขาจึง “โค่นรัฐบาล” ทุกรัฐบาลแทนที่จะ “โค่นระบอบ” ซึ่งเป็น “จิตทศกรรฐ์” หรือเหตุแห่งทุกข์ “ทิ้งไป” แล้วสถาปนา “ระบอบใหม่” ที่ถูกต้อง (ประชาธิปไตยหรือ Democratic Regime) ขึ้นมาแทน ที่แล้วมาจนกระทั่งปัจจุบัน ประชาชนผู้เกลียดชังต่อระบอบแต่ไม่เห็นระบอบ ทำการโค่นรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า โค่นแล้วก็ไม่รู้จะไปทางไหน ต้องหันกลับมา “เลือกตั้ง” เพื่อให้ได้มาซึ่งพรรคการเมืองของระบอบนี้อีก เพราะไม่วิชาสร้างระบอบ สร้างการปกครองชนิดใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ประชาชนนั่นแหละที่ไปเอาเหล้าเก่ามากรอกใส่ขวดใหม่แล้วก็บอกว่าเหล้าใหม่ก็ใช้ไม่ได้ๆๆๆๆๆ เวียนอยู่ในวงจร ปฏิจสมุปบาททางการเมือง กันอย่างไม่รู้จบ! ความขัดแย้งสั่งสมระหว่างประชาชนกับระบอบเผด็จการ (ที่ประชาชนมองไม่เห็น เห็นแต่รัฐบาล) ที่มวลชนที่ต่างจุดยืน ทัศนะและมรรควิธี ที่จำแนกออกมาเป็นเหลืองเป็นแดงและรวมตัวกัน “จงเกลียดจงชัง” ขบวนเผด็จการกันคนละฝ่ายๆนั่นแหละ ที่นำมาซึ่งการชี้หน้ากล่าวหาฝ่ายที่ตนไม่ชอบว่าเป็น “พวกผิด” (ทั้งๆที่ขบวนเผด็จการเหลืองหรือแดงก็ผิดทั้งคู่) การชี้หน้ากล่าวหาซึ่งกันและกันแบบอวิชชาจึงทำให้มวลชนแต่ละฝ่าย เกิดอาการ “เคียดแค้นสะสม” สั่งสมความรุนแรงเอาไว้ในสมองไม่ต่างอะไรกับการกินยาพิษทางอารมณ์ ยิ่งได้เสพข่าว (สี) ที่พวกเขาชื่นชอบกันซ้ำไปซ้ำมาด้วยแล้ว ก็ทำให้แต่ละฝ่ายต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะไป “จัดการ” ต่อผู้มีความเห็น “ต่างสี” ด้วยความรุนแรงทุกๆลมหายใจเข้าออก โดยพวกที่แบ่งฝ่ายเหล่านั้น ปล่อย “ปฐมเหตุแห่งปัญหา” คืออำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยหรือระบอบเผด็จการที่เป็นนามธรรม ลอยนวล! การที่มวลมหาประชาชนแต่ละฝ่ายต่างเอา “รัฐบาลที่ตนไม่ชอบ” เป็น “จำเลย” เห็นฝ่ายค้านในซีกเดียวกับตนเป็น “โจทย์” ที่ชอบธรรม ในโลกนี้ล้วนแต่นำมาซึ่งการฆ่ากันแบบเลือดนองแผ่นดินทั้งสิ้น ไม่ว่าการปฏิวัติในอังกฤษ ในฝรั่งเศส ในรัสเซียหรือที่อื่นใดในโลก ยกเว้นว่ามวลชนจำนวนหนึ่งจะมีดวงตาเห็นธรรม มองเห็นเหตุแห่งทุกข์ว่าอยู่ที่ “ระบอบ” ไม่ใช่ที่ “คน” หรือ “รัฐบาล” (ซึ่งเป็นเพียงตัวแสดงของระบอบเผด็จการ ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์) สามารถเรียงโมเลกุลทางความคิดจนเป็นเอกภาพ มุ่งไปแก้ปัญหาที่ “ระบอบ” ไม่ใช่แก้ที่ “รัฐบาล” ก็จะนำมาซึ่งการแก้ปัญหานี้ได้อย่างสันติ ถามง่ายๆว่า พระพุทธเจ้าฆ่าองคุลีมารที่เป็นรูปธรรม (Concrete) ที่จับต้องได้หรือพระพุทธเจ้าฆ่ามิจฉาทิฐิขององคุลีมารที่เป็นนามธรรม (Abstract) ถ้าพระพุทธเจ้าฆ่าองคุลีมารก็เท่ากับพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอรหันต์ องคุลีมารที่ถูกพระพุทธเจ้าฆ่าก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ ฆ่าแล้วนึกหรือว่าตัวเองจะไม่ถูกฆ่า โค่นรัฐบาลกันไปรัฐบาลกันมาดั่งตกอยู่ในวงจรปฏิจจสมุปบาทยังไงยังงั้น สถานการณ์ปฏิวัติ (Revolution) กระแสสูงที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะ “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” ที่ขึ้นมาปกครองประเทศ ใช้อำนาจอธิปไตย (ไม่ว่าเหลือง แดงหรือสีใด) ที่ได้ ไป “ทำธุรกิจ” เพื่อ “แสวงหากำไร” บนความยากจนของราษฎร ระยะแรกๆของการแสวงหากำไรของนักธุรกิจการเมืองคือพวกเขาไป ขอ “สปอนเซ่อร์” จากกลุ่มทุนต่างๆ ต่อมา “กลุ่มทุน” เห็นว่า พวกเขาสามารถเข้ามาถืออำนาจอธิปไตยด้วยตนเองได้ไม่เห็นจะต้องให้เงินนักการเมืองไปเล่นเลย พอกลุ่มทุนเข้ามาเล่นการเมืองด้วยตัวเองก็พบว่า อำนาจอธิปไตยเหล่านั้นสามารถนำมาซึ่ง “รายได้” และ “หน้าตา” ที่ดีกว่า คู่แข่ง กลุ่มทุนต่างๆจึงส่งคนของตนเข้ามา “เล่นการเมือง” ด้วยตัวเอง การยื่นมือเข้ามาเล่นการเมืองด้วยตัวเองของกลุ่มทุนนั่นแหละที่นำมาซึ่ง Conflict of Interest ของกลุ่มทุน ในรูป “ค่ายธุรกิจการเมือง” ดังในปัจจุบัน ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, “ชนชั้นใดร่างกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น” “อำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นใดก็ให้ประโยชน์แก่ชนชั้นนั้น” ประเทศไทยแม้ว่าอำนาจอธิปไตยมาจากการเลือกตั้งทั่วไปก็จริง แต่อำนาจอธิปไตยที่ได้ไม่ว่าจะบริหารโดยรัฐบาลเหลืองหรือรัฐบาลแดง ก็ล้วนแต่เป็น “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” ทั้งสิ้น อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยย่อมเอื้อประโยชน์ให้แก่คนส่วนน้อยเป็นอิทัปจยตา คนยากคนจนแม้จะมีความต้องการที่จะเข้าไปสะท้อนปัญหาของกลุ่มผลประโยชน์ตนในองค์กรอำนาจอธิปไตย ก็ไม่มีทางผ่านด่าน “พรรค” ที่เป็นศูนย์กลางการรวมตัวของทุนหรือผู้แทนนายทุนเข้าไปได้ แม้คนที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างกว้างขวาง กว่าที่จะก้าวเข้าสู่ประตูการเมืองของพรรคได้ เขาก็ต้องถูกคัดแล้วคัดอีก จับพลัดจับผลูได้รับเลือกตั้งเข้าไป ก็ต้องเข้าไปสังกัด “มุ้ง” ของก๊วนการเมืองก๊วนใดก๊วนหนึ่งที่รวมตัวกันต่อรองเรื่องตำแหน่งและผลประโยชน์ ต้องยกมือโหวดตามคำสั่งของหัวหน้าก๊วนเพื่อที่จะได้มีอำนาจต่อรองในพรรคเสมอไป (นักการสื่อสารมวลชนจำนวนไม่น้อยที่ต้องกลายเป็นเหลืองเป็นแดงตามนายจ้างและนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังสื่อโดยจำใจก็มาก) ผลของการปกครองโดยอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย เพื่อคนส่วนน้อย โดยคนส่วนน้อยไม่ว่าเหลือง,แดงหรือสีใดย่อมไปทำให้ราษฎร “มือสั้น” จนลงๆทุกๆวัน เพราะถูกทุนใหญ่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการปกครองทั้งลับและแจ้ง ใช้ทุนและโนวฮาวที่เหนือกว่าทำลายลง (ตามกฎหมาย) ผลของการล่มสลายของคนยากจนและคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั่นเอง ที่เป็นสาเหตุว่าทำไม การต่อสู้ของเหลืองVSแดง จึงมีประชาชนผู้สูญเสียและประชาชนผู้รักความเป็นธรรม Back Up อยู่ทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้น ถ้าเราไม่ขจัด “เงื่อนไขสงคราม” คือระบอบเผด็จการที่เป็นปฐมเหตุแห่งความยากจนและ Double Standard ในสังคมลงเสียแล้วสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นมา เพื่อเฉลี่ยรายได้แห่งชาติอย่างเป็นธรรมแล้ว ความขัดแย้งและสงครามประชาชนก็ไม่มีทางยุติลงได้ ไม่ว่าจะหาวิธีใดๆมา “กลบเกลื่อน” ปัญหา (ออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรืออื่นๆ) ก็ตาม ปล.ดรรชนีชี้วัดสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงในแต่ละชาติเหมือนๆกันก็คือ 1.ประชาชนไม่ยอมรับการปกครอง 2.ผู้ปกครองหมดความสามารถในการปกครอง 3.ประชาชนล้าหลัง (นายทุนขนาดกลางขนาดย่อมที่ถูกทุนใหญ่ทำลาย) ตื่นตัว และทั้ง 3 เงื่อนไขดังกล่าวนั่นแหละที่ไป “บังคับสภาพ” ให้เกิด 4.พรรคปฏิวัติให้เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของมวลมหาประชาชนเพื่อการแก้ไขปัญหา งานนี้ก็จะมีพรรคที่มี “หลักวิชา” “ทำถูกหลักวิชา” เพียงพรรคเดียวเท่านั้น ที่จะนำพาประชาชนแหวกวังวนแห่งปฏิจจสมุปบาททางการเมือง ไปสู่สังคมนิพพานได้ ............................................................................................................................................................. ดังที่กล่าวแล้วว่าความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองเหลืองกับผู้ปกครองแดงนั้นหาใช่ “ความขัดแย้งหลัก” ก็หาไม่ เพราะความขัดแย้งดังกล่าวมีผลมาจากความขัดแย้งระหว่าง “ประชาชนกับระบอบเผด็จการ” แต่ที่ประชาชน “เห็นต่าง” ในการกล่าวโทษรัฐบาลก็เพราะทิฐิที่ต่างกันนั่นเอง ดังนั้น..ถ้าจะไม่ให้มวลชนที่ต้องการประชาธิปไตย ออกมากดดันเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่พวกเขาเห็นว่าเป็น “จำเลย” ก็คือ ต้อง “ถอด” “เงื่อนไขสงคราม” ออก แบบเดียวกับการถอดชนวนระเบิด ไม่ให้ระเบิดทำงานนั่นเอง เป็นการ “ดับแหตุแห่งทุกข์” เพื่อไม่ให้เกิดทุกข์” ตามหลักวิชาที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นั่นเอง ........................................................................................................................................................... วันนี้มวลชนแต่ละฝ่าย “โค่นรัฐบาลเหลืองให้แดง” “โค่นรัฐบาลแดงให้เหลือง” โดยหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่า โค่นแล้ว.. ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นตรงไหน! โค่นแล้วคนรวยก็รวยมากขึ้น คนจนก็จนลงไม่ว่ารัฐบาลสีอะไร โค่นแล้วอาชญากรรมก็เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่อย่างนั้น โค่นรัฐบาลแล้วแก้ปัญหาชาติได้ตรงไหน? ปัญหาว่าใครจะเป็นคนนำในการทำปฏิวัติ (เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยปวงชน) จะให้ผู้ปกครองทำหรือจะให้ประชาชนทำ? ถ้าผู้ปกครองทำ การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยนั้นก็ลดความรุนแรงลงเหมือนกับพระเจ้าจักรพรรดิทำการปฏิวัติประชาธิปไตยในญี่ปุ่น เหมือนกับในหลวงรัชกาลที่ 5 เลิกทาสโดยไม่เสียเลือดเนื้อ แต่ถ้ารอให้ประชาชนทำเมื่อไหร่ก็จะนำมาซึ่งความพินาศแบบเดียวกับที่ประเทศต่างๆประสบมาแล้ว วันนี้คนที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในการครอบงำของเหลืองแดงเราก็เห็นกันอยู่เต็มอกแล้วว่าถ้าปล่อยให้ประชาชนแสวงหาทางออกกันแบบไม่รู้วิชาอย่างนี้ เลือดจะท่วมบ้านท่วมเมืองอย่างไร? ปัญหาว่าจะสร้างประชาธิปไตยกันด้วยวิธีใด? คำตอบเบื้องต้นก็คือต้อง “ยุติบทบาทของพรรคเหลืองและพรรคแดง “สารก่อปัญหาความขัดแย้งในชาติ” ลงก่อน ครั้นยุติบทบาทของทั้งคู่ลงไปแล้ว ก็ให้ตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกาล” (Provisional Government) ขึ้น เพื่อทำการ “เปลี่ยนผ่านการปกครอง” จากเผด็จการให้เป็นประชาธิปไตย (อำนาจอธิปไตยของปวงชน) เสีย ปัญหาต่างๆก็จะหมดไป แต่อำนาจอธิปไตยปวงชนมาจากไหน? ก่อนอื่นผู้ที่เข้าไปแก้ไขปัญหาต้องเข้าใจ “โครงสร้าง” ของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ “งำ” โลกทั้งใบเอาไว้เสียก่อนว่า โครงสร้างนี้ประกอบไปด้วยนายทุนและกรรมกรที่หลากหลาย (อาชีพ) รัฐบาลเฉพาะกาลที่กำเนิดขึ้น จึงต้องเอาตัวแทนอาชีพในอุตสาหกรรมต่างๆทั้งนายทุนและกรรมกรเข้ามาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมๆกับผู้แทนเขต (จังหวัดต่างๆ) การที่ต้องให้มีสภาอาชีพและสภาเขตไปพร้อมๆกันก็เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มาดุลอำนาจ สะท้อนปัญหาและผลประโยชน์ของพวกเขาทั้งในเรื่องอาชีพและเขตที่แตกต่างกัน (ทางด้านวัฒนธรรมและความเป็นอยู่) อย่างทั่วถึงและรอบด้านนั่นเอง รัฐบาลเฉพาะกาลมาจากไหน 1.มาจากประมุขแต่งตั้งก็ได้ หรือ2.จะมาจากพรรคปฏิวัติที่เข้ามาควบคุมอำนาจอธิปไตยไว้ในกำมือก็ได้ ถ้าประมุขทำก็สันติ ถ้าประชาชนทำก็รุนแรง ปัญหาว่าในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ คนไทยจะเลือกเอาวิธีไหน? มีแนวโน้มว่าการแก้ไขปัญหาของผู้มีอำนาจที่ไม่มีดวงตาเห็นธรรม กำลังจะตกลงไปที่ Caretaker Government หรือรัฐบาลรักษาการ (แบบรัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ จุฬานนท์หรือรับบาลสัญญา ธรรมศักดิ์) เพราะผู้มีอำนาจไม่ต้องการเปลี่ยนระบอบหรือต้องการการเปลี่ยนระบอบแต่ทำไม่เป็น แทนที่จะทำ Provisional Government ตามหลักวิชาการ “แก้ทุกข์” ด้วยการ “ขจัดเหตุแห่งทุกข์” ของพระพุทธเจ้ากลับไป “เพิ่มเหตุแห่งทุกข์” ซ้ำซ้อนขึ้น เพื่อให้ความขัดแย้งบานปลายกันเข้าไปอีกแบบเดียวกับพวก Constitutionalism ในอดีต ชี้หน้าได้เลยว่า Caretaker Government แบบ พล.อ.สุรยุทธ จุฬานนท์หรือสัญญา ธรรมศักดิ์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาลุ่มลึกของชาติอันเกิดจากอำนาจอธิปไตยได้ เพราะท้ายสุดก็ต้องหันมาร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ เลือกตั้งกันใหม่ ภายใต้ระบอบระบอบเดิมๆที่เป็น “เงื่อนไขสงคราม” วันนี้ หลายคนเรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติ รัฐบาลสามัคคีธรรมแห่งชาติแบบไม่รู้วิชา คำว่า “รัฐบาลแห่งชาติ” มีความหมายอย่างเดียวคือการเป็นรัฐบาลของชาตินั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของระบอบเผด็จการ ของระบอบประชาธิปไตยหรือของระบอบคอมมิวนิสต์ก็ตาม ดังนั้นถ้าเราจะแก้ไขปัญหากันจริงๆ เราทุกคนก็ต้องให้เข้าใจ Concept ของคำให้ชัดเจนตามหลักวิชา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันครับ มีอาจารย์ นักวิชาการหลายคนเสนอต่อสังคมว่า ให้มีร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เลือกตั้งใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ ขอเรียนว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็ดี การเลือกตั้งใหม่ก็ดี ไม่มีทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชาติได้ เพราะความขัดแย้งในชาติเกิดจากการกระทำของระบอบเผด็จการ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็ดี การเลือกตั้งใหม่ก็ดี จึงไม่ใช่การแก้ “เหตุแห่งปัญหา” ตามหลักวิชา แต่ถ้าวิธีการดังกล่าวกระทำไปเพื่อ “ซื้อเวลา” เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสติและหันมาแก้ไขปัญหาตามหลักวิชาแล้ว ก็พอเป็นเรื่องรับได้ แต่ขอยืนยันว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการ “เพิ่มปัญหา” ของบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ร่วมเสนอ คำกล่าวที่ว่า วินาศกาเล วิปริตพุทธิ (เมื่อถึงกาลวินาศ ความฉลาดก็วิปริต) เป็นจริงแล้วครับ! จำลอง บุญสอง chamlongboonsong@gmail.com ปล. แถลงการณ์ใดๆของผมเป็นการกระทำโดยส่วนตัวเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรสื่อที่ผมสังกัดอยู่แต่ประการใด ขอให้ผู้รับสาร รับทราบข้อจำกัดของผมตามนี้ครับ!