มาเยอขวัญข้าว : เรื่องข้าว ข้าว ของชาวอีสาน
โดย เอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ
ข้าว เป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง เป็นพืชอาหารหลักที่เลี้ยงคนค่อนโลกในปัจจุบัน ทั้งที่
เป็นข้าวสารข้าวสวย ข้าวแปรรูปเป็นเส้น เป็นแป้ง ที่ผู้คนบริโภคประจำวันในทุกวัฒนธรรม ทุกภูมิภาคของโลกใบนี้ ล้วนหนีไม่พ้นเมล็ดข้าวที่มาจากรวงข้าวในท้องไร่ท้องนา ไม่ว่าจะเป็นนาหว่าน นาดำ นาหยอด นาโยนคนที่ทำก็ล้วนเรียกว่าชาวนา หรือเรียกให้หรู ๆ ว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนั่นเอง
ใช่แต่เพียงเมล็ดข้าวเท่านั้นที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์ แต่เป็นทุกส่วนของต้นข้าว ชาวนาโบราณล้วนตระหนักว่านำมาใช้ประโยชน์ล้นเหลือ ใบเป็นอาหารของสัตว์เลี้ยง วัวควายนั้นชอบมาก แม้เพียงปลายยอดใบที่เขาตัดออกจากต้นกล้าก่อนนำไปปักดำนำมาให้มันกิน มันล้วนซาบซึ้งแทบน้ำตาไหลเชียวหละ ปัจจุบันใครบางคนหัวใสยังแย่งใบข้าวส่วนนี้มาตากแห้งไว้ชงชากินอีกแน่ะ
เถียงนาน้อย หรือกระท่อมปลายนาแบบรจนากับเจ้าเงาะใช้เป็นที่ฮันนี่มูนนั้น เขาก็มุงด้วยฟางหนะนะ ปัจจุบันฟางมีราคาเพราะเกษตรกรผู้ฉลาดเขาซื้อไปปลูกเห็ดและทำปุ๋ยหมักบำรุงดินแทนปุ๋ยเคมีกันแล้ว
ในส่วนของเมล็ดข้าวที่ถูกกระบวนการสี หรือกะเทาะเปลือกออกเอาแต่เมล็ดในนั้น ส่วนที่เหลือหลุดร่อนออกไปเป็นจมูกข้าว รำอ่อน รำแก่ และแกลบก็ล้วนมีคุณค่าเช่นกัน คนเฒ่าคนแก่จะรู้ว่าข้าวใช้เป็นยาได้หลายขนาน
ชาวนาแต่ครั้งโบราณจึงเห็นข้าวเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ใช้ในพิธีกรรม และมีพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวในวัฒนธรรม ประเพณี มีการใช้ ข้าวดำ ข้าวแดง ข้าวตอกแตก ข้าวพันก้อนข้าวต้ม(มัด)ข้าวหนมในพิธีกรรมเซ่นสรวงบูชา
ข้าวเป็นพืชที่มีเทพประจำไม่ว่าจะเป็นผีตาแฮก หรือพระแม่โพสพก็ล้วนแสดงว่ามนุษย์ให้ความเคารพ และกตัญญูต่อต้นข้าว ใครทำไม่ดีต่อต้นข้าวอาจทำให้เทพประจำนา ประจำต้นข้าวท่านโกรธหนีไป และข้าวในนาก็จะไม่งอกงาม
ตำนานของชาวอีสานและลาวเรื่องหนึ่งกล่าวถึงข้าวแต่เดิมว่ามีเมล็ดใหญ่โตเท่าลูกมะพร้าว เมื่อนางแม่ม่ายคนหนึ่งซึ่งทุกข์ยากปากหมองเพราะไม่มีผู้ช่วยทำมาหากินนางจึงอ้อนวอนขอพญาแถนบนสรวงสวรรค์ขอให้ส่งข้าวมาให้ ทันใดนั้นข้าวเมล็ดเท่ามะพร้าวก็หลั่งไหลเข้ามาในบ้านของนาง
หะแรกนางก็ดีอกดีใจขอบคุณฟ้าขอบคุณแถนเป็นการใหญ่ แต่ครั้นข้าวไหลมาไม่ยอมหยุดจนเต็มบ้าน ล้นบ้าน ไหลเข้าในห้องในหับจนกระท่อมหลังน้อยนั้นเต็มไปด้วยข้าว ไม่มีที่ให้ยืนให้นั่งหรือแม้แต่จะให้หยั่งขา จนนางต้องร้องห้าม
“หยุด หยุด หยุดพอแล้ว ข้าวจ๋าไม่ต้องเข้ามาอีกแล้ว พอแล้ว พอแล้ว”
แต่...ราวกับว่าแถนท่านแกล้ง หรือคำอธิษฐานของนางแรงเกินไป ข้าวไม่ฟังเสียงนาง ไม่ยอมหยุดหลั่งไหลดันกันเข้ามาในบ้านหลังน้อนจนแน่นเอี๊ยด ล้นหลาม เนืองนอง เช่นกับน้ำตาของนางที่ไหลนองเบ้าตาเพราะเกรงบ้านพัง ที่สุดนางก็คว้าไม้คานมาตี มาไล่ ไป ไป ไป ตี ตี ตี จนเมล็ดข้าวแตกแตน กระเด็นกระดอนกลายเป็นเม็ดเล็กเม็ดน้อยอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
นั่นเป็นเพียงตำนาน แต่งานค้นคว้าทางวิชาการชี้ว่ามนุษย์ในยุคบ้านเชียงและแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในอีสานรู้จักทำนาปลูกข้าวมาแล้วแต่หลายพันปีโน้น อาจเป็นแหล่งแรก ๆ ในภูมิภาคนี้ก็ได้ บรรพบุรุษมนุษย์อีสานมีการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกข้าว สั่งสมวัฒนธรรม ความเชื่อ ข้อห้าม ข้อปฏิบัติต่อต้านข้าว และเมล็ดข้าวจนกลายเป็นประเพณีเกี่ยวกับข้าวสืบมา
ประเพณีการสู่ขวัญข้าว นั่นเพราะเชื่อว่าข้าวมีจิตใจ มีขวัญที่อ่อนไหว ต้องให้กำลังใจด้วยการฮ้องเฮียกขวัญ รวมทั้งวัว ควาย ไร่ นา และยุ้งฉาง
บุญเบิกฟ้าในเดือนสามขึ้นสามค่ำ นั่นคือการให้ความสำคัญต่อข้าวในยุ้งฉาง การเปิดประตูเล้า(ยุ้งข้าว)คือการเบิกฟ้าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งมักจะตรงกับวันตรุษของชาวแสก ชาวโย้ ชาวญวนในอีสานด้วย
แต่เสียดาย นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปเสียแล้ว ที่จริงแท้แน่นอนในปัจจุบัน คือข้าวนั้นกลายเป็นประเด็น กระเทือนถึงการจะอยู่จะไปของรัฐบาลเลยทีเดียว
มาเยอขวัญเอย ขวัญข้าวเจ้าข้าวเหนียว
ขวัญบินไปเที่ยวอยู่แห่งหนใด บินไปเมืองไทเมืองล่าง
บินไปต่างถิ่นต่างแดน บินไปอยู่กับแถนกับฟ้า
ก็ให้กลับมาเสียมื้อนี้วันนี้ มาเย้อ...ขวัญข้าวเอย.
๐๐๐