วันที่ 8 พ.ค. นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) อดีตประธานรัฐสภา แถลงการณ์ ประธาน คอ.นธ.เรื่อง “แนวทางปฏิบัติภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นที่ร่วมประชุมและมีมติสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 182 (7)” ว่าตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2557 กรณีมีผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (2) และ (3) กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว
และวินิจฉัยว่ารัฐมนตรีอื่นที่ร่วมประชุมและมีมติในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2554 มีส่วนโดยอ้อมในการก้าวก่ายและแทรกแซงอันเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีเหล่านั้นต้องสิ้นสุดเป็นการเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญด้วย นายกฯและรัฐมนตรีดังกล่าวจึงไม่อาจอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ทั้งนี้ ในส่วนรัฐมนตรีอื่นที่ไม่ส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมและมีมติให้แต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าวให้อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้นั้น
ประเด็นดังกล่าว เคยทำจดหมายเปิดผนึกต่อสาธารณชนแล้ว เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2557 โดยเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับเรื่องดังกล่าวนี้ไว้พิจารณาตั้งแต่ต้น เพราะในเมื่อนายกฯและครม.ทั้งคณะพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อมีการยุบสภา จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยอีก และการย้ายนายถวิลฯ เป็นการใช้อำนาจบริหารตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน มิใช่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซง และมีความเห็นต่อไปว่า ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะได้วินิจฉัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีผลทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว และไม่มีผลทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งไปโดยอัตโนมัติตามคำวินิจฉัย
เพราะความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ จะสิ้นสุดลง หรือรัฐมนตรีทั้งคณะจะพ้นจากตำแหน่ง ก็ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีแล้วเท่านั้น ประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า นายกฯและรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่แต่ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องและมีคำวินจฉัยออกมาดังกล่าวก็ขอเสนอแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยดังกล่าวว่าจะต้องดำเนินการหรือปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไปอย่างไร
ทั้งนี้ เพื่อผดุงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม ส่งเสริมให้มีการใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม ความเสมอภาค และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล กับทัง้ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการใช้กฎหมายของประเทศ อันจะนำไปสู่สังคมที่มีความเป็นปกติสุข ดังนี้
1.ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะได้ดำเนินการต่อไปอย่างไร ในเบื้องต้นควรที่จะต้องรอคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคสาม บัญญัติไว้ว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและความเห็นในการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา”เสียก่อน
2.เมื่อคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วคณะรัฐมนตรีควรที่จะนำคำวินิจฉัยนั้นหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคณะรัฐมนตรีว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้มีการพิจารณาและวินิจฉัยโดยเป็นไปตามหลักนิติธรรม หรือไม่ เพียงใด และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ หรือไม่
เนื่องจากตุลาการที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาและทำคำวินิจฉัยเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับเรื่องที่พิจารณาวินิจฉัยและที่สำคัญการพิจารณาวินิจฉัยคดีดังกล่าวได้กระทำไปโดยไม่มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญรองรับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคหก ซึ่งการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญดังกล่าว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และทำให้คำวินิจฉัยดังกล่าวตกไปทั้งฉบับ
3.ระหว่างที่รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญประกาศในราชกิจจานุเบกษาและรอความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทัง้ หมดอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ที่มีเจตนารมณ์ให้มีความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่ให้มีช่องว่างแห่งการใช้อำนาจมหาชน
4.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วเพื่อที่จะได้ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินต่อไปอันเป็นการยุติบทบาทหรือยุติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีชุดเดิมตามที่หลายฝ่ายต้องการทั้งนี้ ในการเลือกตั้งดังกล่าวควรที่จะมีการทำประชามติไปในคราวเดียวกันว่า คณะรัฐมนตรีชุดเดิมจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่
5.สำหรับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาและวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือเห็นว่าการพิจารณาวินิจฉัยคดีที่ผ่านมาของศาลรัฐธรรมนูญได้กระทำไปโดยไม่มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญรองรับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคหก อันเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ก็สามารถเข้าชื่อกันจำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน เพื่อขอให้ถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากตำแหน่งได้ ตามมาตรา 164
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU9UVXlOakk0TXc9PQ%3D%3D&subcatid