http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 08/05/2024
สถิติผู้เข้าชม14,041,483
Page Views16,351,691
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

สมลักษณ์ จัดกระบวนพล :คำวินิจฉัยของศาลที่สั่นสะเทือนสังคมไทย

สมลักษณ์ จัดกระบวนพล :คำวินิจฉัยของศาลที่สั่นสะเทือนสังคมไทย

สมลักษณ์ จัดกระบวนพล : คำวินิจฉัยของศาลที่สั่นสะเทือนสังคมไทย

วันที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 15:10:42 น.


สมลักษณ์ จัดกระบวนพล 





คำวินิจฉัยของศาลที่สั่นสะเทือนสังคมไทย


โดย สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการป.ป.ช. อาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชาระบบศาลและหลักการพิจารณาคดี (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 เวลาประมาณ 09.30 น. ศาลอาญาได้อ่านคำวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการ กปปส.) อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนายการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฐานผู้ร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำการหรือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 ทันทีที่คำวินิจฉัยถูกอ่านจบลงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหว 


ผู้เขียนขอยืนยันในเรื่องนี้เพราะหลังเกิดการปฏิรูปประเทศไทยไม่มีนักข่าวโทรศัพท์มาขอสัมภาษณ์ผู้เขียนเหมือนก่อนมีการปฏิรูป แต่จากการที่ผู้เขียนต้องรับโทรศัพท์จากนักข่าวหลายสำนักเพื่อสอบถามปัญหาของคำวินิจฉัยคดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าผลของคำวินิจฉัยนี้ก่อให้เกิดความสะเทือนต่อสังคมไทยโดยทั่วไปหลายๆ วงการ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้เขียนต้องเขียนบทความนี้เพื่อตอบสังคมแทนการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ นี่คือคำสัญญา

ก่อนเขียนบทความนี้ต้องขอยืนยันด้วยความเคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลอาญา ซึ่งเป็นสถาบันศาลยุติธรรมที่ผู้เขียนใช้ชีวิตอยู่ถึง 36 ปี และขอถอดจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรมและกรรมการป.ป.ช.ออกไป คงเหลือแต่จิตวิญญาณของอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายและประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ไม่เคยมีอคติต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดในหัวใจ

สาระสำคัญของคำวินิจฉัยนี้โดยสรุปก็คือศาลเห็นว่า"การที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุมเพื่อการผลักดันการชุมนุม หรือสลายการชุมนุมหรือกระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่ตามที่โจทก์ฟ้องมานั้นล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีรวมทั้ง ผอ.ศอฉ. ..................... หลังจากที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติหน้าที่หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ได้คัดค้าน............"

เพื่อความเข้าใจง่ายของคนทั่วไปขออธิบายว่าศาลยกฟ้องคดีนี้โดยอ้างเรื่องเขตอำนาจของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เรื่องเขตอำนาจศาลนั้นนับเป็นเรื่องสำคัญในการฟ้องคดี ซึ่งมีบัญญัติไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 17 ถึงมาตรา 23ยกตัวอย่างเช่น ศาลแพ่ง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ส่วนศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา การยกฟ้องหรือคำร้องเมื่อมีการนำคดีมาฟ้องหรือร้องผิดศาลเป็นอำนาจของศาลย่อมกระทำได้ แต่คำวินิจฉัยของศาลในคดีนี้น่าจะมีปัญหาดังต่อไปนี้

1.การกระทำของจำเลยทั้งสองในคดีนี้แม้จะเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ก็เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายบท เรื่องการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทนั้นขอยกตัวอย่างเช่น จำเลยเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องนอน จำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และฐานบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276และมาตรา 362 ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งมาตรา 276 และมาตรา 362 แม้จะเป็นการกระทำในครั้งเดียวกัน และหากฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องศาลก็จะลงโทษจำเลยโดยบทหนักที่สุดคือตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 ฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งเป็นไปตามหลักของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 เช่นเดียวกับความผิดของจำเลยทั้งสองในคดีนี้ โจกท์ฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 และมาตรา 157 เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยแม้จะเป็นกรรมเดียวแต่ก็ผิดกฎหมายหลายบท โดยสามารถแยกฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 ต่อศาลอาญาซึ่งมีเขตอำนาจ ส่วนความผิดตามมาตรา 157 โจทก์ (อัยการ) ก็มีอำนาจที่จะฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจอีกศาลหนึ่งและอยู่ในอำนาจไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช.

2.ที่ศาลอาญาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นถูกต้อง แต่คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยตามมาตรา 157 ตามที่ศาลยกฟ้องในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ฟ้องตามมาตรา 288, 83, 84 ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลอาญา เพียงแต่โจทก์อ้างในฟ้องถึงมูลเหตที่จำเลยทั้งสองมีคำสั่งดังกล่าวว่าเนื่องจากขณะนั้นจำเลยทั้งสองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ศาลได้ทราบถึงที่มาที่ไปของคำสั่งเท่านั้น

3.หากศาลอาญาจะยกฟ้องในเรื่องคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอาญาก็ควรจะอ้างเฉพาะข้อกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 4 ประกอบมาตรา9(1) ซึ่งบัญญัติถึงเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นต้น แต่ศาลอาญากลับไปวินิจฉัยในเนื้อหาของคดีว่า "ล้วนแต่เกิดจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี... โดยอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัวหรือไม่ได้กระทำที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง..." 


มีความหมายว่าจำเลยออกคำสั่งตามหน้าที่ มิได้ปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่แต่อย่างใด ดังนี้ นอกจากศาลอาญาจะวินิจฉัยเรื่องอำนาจศาลแล้วยังก้าวล่วงไปวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยว่าไม่ผิดตามมาตรา 288 และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในขอบอำนาจหน้าที่ไม่ผิดตามมาตรา 157 ด้วย (ก้าวล่วงเข้าไปในอำนาจของ ป.ป.ช. รวมทั้งอำนาจในการวินิจฉัยคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย)

4.การที่ศาลใช้อำนาจวินิจฉัยคดีเกินคำฟ้องโจทก์ (โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 288, 83, 84) เป็นกรณีที่ไม่ปฏิบัติไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า"ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง" (อัยการโจทก์ไม่ได้ขอให้ศาลลงโทษตามมาตรา 157 เพราะอัยการย่อมทราบดีว่ามาตรา 157 อยู่ในอำนาจไต่สวนของ ป.ป.ช.)

5.ศาลอาญายกฟ้องในเรื่องงอำนาจศาลอันเป็นข้อกฎหมาย แต่กลับก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในข้อเท็จจริงคดีทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ จำเลยให้สิ้นกระแสความจึงอาจมีข้อผิดพลาดได้มากและผิดหลักการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาล

6.องค์ประกอบความผิดของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 84 กับองค์ประกอบความผิดของมาตรา 157 นั้นต่างกัน ผลคำวินิจฉัยของศาลอาญาฉบับนี้ทำให้ความผิดของจำเลยทั้งสองซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลอาญาไม่ได้รับคำวินิจฉัยอย่างรอบคอบถี่ถ้วน จากคำพยานโจทก์จำเลย แต่กลับไปวินิจฉัยข้อกฎหมายแล้วพิพากษายกฟ้อง ทั้งนี้ ขณะนี้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ก็ยังอยู่ในกระบวนการไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช. หากไต่สวนแล้วกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่าการะกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองไม่เป็นความผิด ก็จะต้องมีมติให้คดีนี้ตกไป ความผิดตามมาตรา 157 ที่ศาลอาญาอ้างว่าอยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ไม่มีโอกาสได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด

7.หากเกิดกรณีตามข้อ 6 สังคมไทยคงต้องกังขาและสั่นสะเทือนโดยเฉพาะความหนาวสะท้านในหัวใจของพ่อแม่พี่น้องคนที่เสียชีวิต 99 ศพ เพราะคนตายเกือบร้อยคน จะพึ่งฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่ได้ ฝ่ายบริหารก็ไม่มีทางคงเหลือแต่ฝ่ายตุลาการคือศาล แต่ศาลอาญาท่านก็ว่าท่านก็ไม่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ครั้นจะไปขอความเป็นธรรมจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีเขตอำนาจคดีก็อาจจะไปไม่ถึงศาลหากคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ไต่สวนแล้วมีมติให้คดีตกไป คดีนี้ก็จะปิดฉากลง


ทั้งๆที่คนตายก็คือคนไทยด้วยกันและเขาเหล่านั้นก็หาใช่อาชญากรของแผ่นดินแต่อย่างใดและผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เขาตายก็ใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งประหารพวกเขาทั้งๆที่ไม่ใช่ศาลซึ่งเป็นสถาบันที่ใช้อำนาจตุลาการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ความผิดที่อาจพอจะมองเห็นได้ก็คือเขาเหล่านั้นมีความคิดเห็นในทางการเมืองตรงกันข้ามกับความคิดเห็นของผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศในขณะนั้นเท่านั้น ความผิดเพียงเท่านี้สมควรแล้วหรือที่เขาจะถูกพิพากษาประหารชีวิต โดยมิได้ผ่านกระบวนการยุติธรรม แต่พอครอบครัวของผู้ตายเดินเข้ามาขอความเป็นธรรมตามสิทธิที่พวกเขาพึงมีพึงได้


แต่ก็กลับถูกปฏิเสธ จึงเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากนอกจากคนตายซึ่งเป็นคนไทยแล้วยังมีชาวต่างประเทศถูกสังหารด้วย หากเรื่องนี้มิได้ถูกดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมด้วยหลักนิติธรรมแล้วผลเสียหายก็จะบังเกิดแก่ประเทศชาตินี้อย่างใหญ่หลวง แต่ในความมืดมิดก็ได้ปรากฏการณ์มีแสงสว่างเกิดขึ้นเมื่อท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ใช้อำนาจของท่านตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 11 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรับผิดชอบในราชการของศาลให้เป็นไปโดยเรียบร้อย และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย

(1) นั่งพิจารณาและพิพากษาคดีใดๆ ของศาลนั้น หรือเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีใดแล้วมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้......"

ความเห็นแย้งของท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาจึงน่าจะมีน้ำหนักที่ใช้ในการประกอบดุลพินิจของศาลสูงเมื่อมีการอุทธรณ์ฎีกาโดยพนักงานอัยการโจทก์ต่อไป


(มติชนรายวัน3กันยายน2557)

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view