ท่องอุบลแบบคนอุบล
๓.เที่ยวทุ่งศรีเมือง : รำลึกเรื่องเจ้านางเจียงคำ
“เอื้อยนาง”
ทุ่งศรีเมือง เป็นสนามกว้างใหญ่ใจกลางเมืองอุบลราชธานี รายรอบทั้งสี่ด้านเป็นสถานที่สำคัญในจังหวัด เช่น วัด โรงเรียน ศาลากลางจังหวัด ที่ทำการเทศบาลนครอุบลราชธานี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี ด้านทิศใต้ต่อเชื่อมกับพิพิธภัณฑ์ฯนั้นเป็นที่ตั้งศาลหลักเมือง
ปัจจุบันทุ่งศรีเมืองจัดเป็นสวนสาธารณะ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ที่ออกกำลังกายสำหรับชาวเมือง ภายในร่มรื่น สวยงาม ยังมีคูน้ำล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศมีสะพานเชื่อมข้ามคู ภายในเด่นเป็นสง่าสะดุดตาด้วยต้นเทียนปูนปั้นขนาดมโหฬารแสดงไว้เป็นสัญลักษณ์ของอุบลราชธานี
ทุ่งศรีเมืองแห่งนี้ ในโอกาสสำคัญ ๆ ใช้เป็นที่จัดงานของทางราชการ ตลอดงานออกร้าน งานแสดงต่าง ๆ
ในเนื้อที่ ๓๕ ไร่ที่ล้อมรอบด้วยคูน้ำนั้นจัดแบ่งโซนปลูกไม้ใหญ่ ไม้ประดับไว้อย่างสวยงาม มุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์แห่งความดีที่แสดงถึงประวัติศาสตร์อุบลเกี่ยวพันกับสงครามมหาเอเชียบูรพา ถัดมาคืออนุสาวรีย์ท่านท้าวคำผงพ่อเมืองคนแรกผู้นำพาลูกหลานจากล้านช้างอพยพหนีภัยและต่อสู้ข้าศึกศัตรูโชกโชนกว่าจะรอดมาตั้งอยู่ ณ ดงอู่ผึ้งแห่งนี้ และทุ่งศรีเมืองแห่งนี้ก็คือสถานที่จัดงานพิธีฌาปนกิจท่านตามแบบประเพณีดั้งเดิม แบบสร้างเมรุบนนกหัสดีลิงก์(คำพื้นเมืองเรียก-นกสักกะไดลิง)ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษจากเชียงรุ่งแสนหวีฟ้า(เซียงฮุ่ง)
ทุ่งศรีเมืองจึงถูกใช้งานสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ความบันเทิง หลากหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เคยเป็นสนามลงข่วง สนามมวย สนามม้า เป็นที่ประชันวงหมอลำ วงดนตรี หนังกลางแปลง เป็นที่จัดงานแสดงสินค้า ออกร้านงานกาชาด งานมหกรรมกีฬา เกษตรกรรม งานโอทอป งานเทศกาลวันสำคัญ ๆ ต่าง ๆ และประเพณีบวงสรวงท่านท้าวคำผง ถนนที่ล้อมรอบสี่ด้านคือเส้นทางขบวนแห่ที่บางครั้งคึกครื้นชวนรื่นเริง อย่างเช่นแห่เทียนพรรษาเป็นตัวอย่าง และก็เคยมีบางโอกาสที่มันเงียบสงัดด้วยบรรยากาศแห่งความกลัวเพราะเป็นที่ใช้ประหารนักโทษเสียบหัวประจาน(ยุคปราบกบฏผีบุญอีสาน)เป็นต้น
เคยมีกลอนลำเอื้อนเอ่ยถึงทุ่งศรีเมือง และอุบลราชธานีเป็นภาษาลาวอีสานว่า
“ไผหว่าเมืองอุบลล่ม ให้เชิญมันไปเบิ่ง
ท่งศรีเมืองยังอยู่โจ้โก้ สิไปล่มได้จั่งใด๋...เดน้อ...”
ทุ่งศรีเมืองจึงเป็นทุ่งคู่บ้านคู่เมืองอุบลราชธานีมาตั้งแต่ก่อนจะได้เป็นศรีวนาลัย ประเทศราช ตั้งแต่ครั้งยังเป็นบ้านห้วยแจระแม ดงอู่ผึ้ง จนถึงกลายมาเป็นที่ตั้งมณฑลลาวกาว และจวบจนปัจจุบันที่เป็นจังหวัดอุบลราชธานีเมืองแห่งเทียนคำเทียนหอม
เที่ยวทุ่งศรีเมือง ไหว้อนุสาวรีย์ท่านท้าวคำผง(พระประทุมวรราชสุริยวงษ์)แล้วทำให้รำลึกถึงเจ้านางเจียงคำ เชื้อสายโดยตรงของท่าน(รุ่นเหลน) ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของทุ่งแห่งนี้ที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมา และเป็นเจ้านายสตรีที่มีความสำคัญมากสำหรับความเป็นอุบลราชธานีสัมพันธ์กับสยามในช่วงยุคต้น ๆ แห่งรัตนโกสินทร์
เจ้านางเจียงคำ เป็นชื่อในสำเนียงภาษาพื้นเมืองอุบลที่ยินแล้วให้ความรู้สึกอ่อนโยน สงบ เย็น ยลแล้ว(ภาพถ่ายเก่า ๆ)ให้รู้สึกถึงความน่ารัก บริสุทธิ์ ใส ซื่อ รวม ๆ แล้วเป็นความเย็นชื่นน่าวางใจเสมอสำหรับชาวอุบลราชธานีผู้คุ้นเคยอยู่กับเรื่องราวเก่า ๆ ยุคสร้างบ้านแปงเมือง ไม่ว่าจากการฟังเรื่องเล่าขาน หรือ การอ่านเรื่องพื้นบ้านพื้นเมืองภาษาไทยน้อย(อักษรลาว) ที่กลายมาเป็นกลอนเทศน์ กลอนลำ คำผญา และบทเสวนาทางวิชาการในเวลาต่อมา(ยังประทับใจการเล่าเรื่องเหล่านี้จาก พ่อใหญ่บำเพ็ญ ณ อุบลไม่รู้ลืมแม้สิ้นท่านไปแล้ว)
ผู้เขียนสะดุดใจนาม “เจ้านางเจียงคำ” หรือ “หม่อมเจียงคำ” นี้เป็นครั้งแรกเมื่อย้ายจากสกลนครมาทำงานอยู่ที่สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตั้งอยู่หลังศาลากลางหลังเก่าที่ถูกเผาไปแล้วนั้น(ทิศตะวันตกของทุ่งศรีเมืองคั่นด้วยถนนอุปราช) และที่บริเวณนี้เองเป็นอีกแปลงหนึ่งที่เคยเป็นมรดกตกทอดของเจ้านางเช่นกับอีก ๕ แปลงรวมทั้งทุ่งศรีเมืองด้วย
นั่นเป็นช่วงเวลาที่ทางจังหวัดอุบลราชธานี กับหน่วยงานราชการ และ ห้างร้านเอกชนร่วมกันจัดงานใหญ่ฉลอง ๒๐๐ ปี ซึ่งแม้งานนี้จะมีผู้บ่นหงอดแหงดว่า ฝ่ายจัดงานนับวันเวลา อายุของเมืองไม่ถูกต้อง อุบลราชธานีน่ามีอายุมากกว่านี้ เพราะตั้งมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีแล้ว ก่อนกรุงเทพฯซะอีก บางคนชี้ว่าต้องเริ่มนับตั้งแต่สมัยอยู่หนองบัวลุ่มภู หรือจำปาศักดิ์ที่ร่วมยุคสมัยปลายกรุงศรีอยุธาโน่น ... แน๊ะ...
แต่อย่างไรก็ตามเสียงบ่นนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร งานก็ดำเนินต่อไปด้วยดี ได้รับผลสำเร็จในระดับหนึ่ง หลายคนที่ถูกยุคสมัยถูกความเจริญทุกด้านผลักดัน ผันแปรวิถีชีวิตไป ให้ลืมเลือนรากเหง้าเสียนาน ก็เหมือนถูกสะกิดเตือนให้หวนกลับมามองดูตัวเองได้ทีเดียว เช่นผู้เขียนเป็นต้น
ภาพและเรื่องราวที่จัดแสดงในทุ่งศรีเมืองส่วนหนึ่งงานนี้นี่เองทำให้เกิดความสนใจอยากรู้เรื่องราวของเจ้านางเจียงคำ
เพราะบังเอิญผู้เขียนได้ไปถ่ายรูปจากภาพของเธอที่ยืนอยู่กับพระโอรส ได้ภาพออกมาแบบสะดุดใจเพราะแสงที่สะท้อนกับกระจกและกรอบภาพนั้น กลายเป็นแสงเงาให้ภาพที่ดูแปลก และลึกลับ คล้ายเป็นสื่อที่เจ้านางต้องการสื่อสารออกมา บอกเล่าเรื่องราวบางอย่างให้รับรู้ และค้นหา
อาจเป็นความเชื่อส่วนตัว แต่ก็คือความฝังใจ โดยเฉพาะความรู้สึกที่ว่า สถานที่แห่งนี้ที่เรามาทำงานทุกเช้า คือผืนดินที่เคยเป็นของเจ้านางเจียงคำ
ต้น “มะฮอกกานี” ที่เรียงรายอยู่หน้าสำนักงานฯสูงใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาแผ่ร่มเงาให้เป็นที่จอดรถเย็นสบายของเจ้าหน้าที่ มันเป็นต้นไม้พันธุ์แปลกใหม่ที่แพร่เข้ามาแทนที่ไม้พื้นเมืองในช่วงกำลังเปลี่ยนผ่านยุคสมัย พร้อม ๆ กับในอินโดจีนของฝรั่งเศสโดยฝรั่งเศส (ในลาวเห็นต้นใหญ่มาก ๆ ที่ริมถนนเมืองท่าแขก) นำรถเข้าจอดใต้ต้นมะฮอกกานีนี้ทีไรให้นึกถึงเจ้านางเจียงคำเสมอ
เจ้านางเจียงคำ
บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของดงอู่ผึ้ง ซึ่งบรรพบุรุษของอุบลราชธานีเข้าจับจองสร้างบ้านแปลงเมือง มีคำบรรยายในหนังสือประวัติเมืองอุบลเป็นภาษาไทยน้อย(ลาว)ไว้ว่า(ถ่ายเป็นตัวไทยโดย ปรีชา พิณทอง) “เผิ้งแลมิ้มมีแท้สู่หง่ายาง” (มีผึ้ง มีมิ้มอยู่ทั่วทุกกิ่งของต้นยาง) เข้าบุกเบิกถากถางกันแล้วที่ตรงนี้คงเคยเป็นสวน หรือไร่นา ต้นยางพร้อมรวงผึ้งหายไปช่วงไหนเราไม่รู้ได้ ระหว่างที่เจ้านางเป็นเจ้าของ หรือไร ก่อนมะฮอกกานีที่นี่มีต้นอะไรอยู่ก่อน
ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา สิ่งเก่าหายไป สิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ เช่นเจ้าของที่ตรงนี้ และป่าดง เช่นมะฮอกกานีมาแทนป่ายางป่ายูง(ยางนา และพะยูง) สำนักงานของรัฐมาแทนเจ้านาง เพื่อประโยชน์ของปวงชนรุ่นหลัง
เจ้านางเจียงคำ (หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา)ถือเป็นลูกหลานสายตรงจากเจ้าพระตา เจ้าคำผง บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี เป็นธิดาหล้า(คนสุดท้อง)ของท้าวสุรินทร์ชมพู(หมั้น บุตโรบล)กับ ญาแม่ดวงจันทร์ ถือกำเนิดเมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๔๒๒ เป็นช่วงที่ประเทศราชชายขอบอย่างอุบลราชธานี(รวมเมืองใกล้เคียงเป็นหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ)เริ่มสั่นคลอนด้วยการเข้ามาของการล่าอาณานิคมชาติตะวันตก รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองหัวเมืองมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เข้มแข็งรับมือกับอำนาจนักล่าผู้กระหายทรัพยากรจากตะวันออกทั้งหลายได้
อุบลราชธานีนับเป็นศูนย์กลางการศาสนา การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม ความเจริญที่รับมาจากกรุงเทพฯสำหรับภูมิภาคนี้อยู่แล้วในช่วงนั้น ด้วยความสัมพันธ์แนบแน่นช่วยเหลือ อุ้มชู กันมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมืองแล้ว ช่วงยุคสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีกุลบุตรชาวอุบลลงไปบวชเรียนจนสำเร็จได้รับยศตำแหน่งทางพุทธศาสนา และกลับขึ้นมาช่วยพัฒนาด้านนี้ เป็นพระภิกษุผู้มีตำแหน่งครูบาอาจารย์ มาตั้งสำนักสั่งสอนถ่ายทอดทั้งอักษรสมัย(เดิมมีแต่อักษรขอม อักษรไทยน้อย) และศิลปะวิทยาการที่ผสมสานความเป็นรากเหง้าจากล้านช้างกับสยามจนเกิดช่างฝีมือ สร้างสรรค์รูปแบบเฉพาะตน อันโดดเด่น เรียกว่าตระกูลช่างเมืองอุบลขึ้นในหลายแขนงทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และหัตถกรรม
เจ้านางเจียงคำของเรา ยังเป็นเจ้านางน้อยอายุ เพียง ๑๒ ขวบเองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองหัวเมืองลาว โดยรวมหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ(อุบลราชธานี และจำปาศักดิ์)เป็นหัวเมืองลาวกาว เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๔ มีกรมหลวงพิชิตปรีชากร(ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอของรัชกาลที่ ๕)เสด็จมาเป็นข้าหลวงใหญ่ประจำ ณ จำปาศักดิ์แต่ทรงประทับว่าการอยู่ที่อุบลราชธานี
ครั้นปี พ.ศ.๒๔๓๖ กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงย้ายจากไป บุคคลสำคัญยิ่งสำหรับเจ้านางเจียงคำกับอุบลราชธานี รวมถึงอีสานจึงมาปรากฏที่อุบลราชธานี นั่นคือพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระเจ้าน้องยาเธออีกพระองค์หนึ่ง เสด็จมาพร้อมข้าราชบริพาร ทหาร ตำรวจ จำนวนกว่า ๒๐๐ นาย สร้างความตื่นเต้นให้ชาวอุบลราชธานีซึ่งมีทั้งหวาดหวั่น และชื่นชมยินดีในระยะแรก ๆ ที่มา(ชาวอุบลขานนามพระองค์ท่านว่า เสด็จในกรม)
๐๐๐
(ยังมีต่อ)