ทริปชมรมคุณเหี่ยวชวนเที่ยวดอย
โดย จิวแป๊ะธง เรื่อง-ภาพ
ผู้อาวุโสชมรมคุณเหี่ยว
ในโลกใบเบี้ยวๆใบนี้ มีเรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นเสมอ ใครจะไปคิดเล่าว่าคนที่เคยรับราชการตำแหน่งสูงเกือบสุดในระบบราชการจะตัดสินใจรวมสมัครพรรคพวกเข้าด้วยกันแล้วตั้งชื่อชมรมของกลุ่มตนเองว่า ชมรมคุณเหี่ยว แต่กว่าจะได้ชื่อนี้มา ต้องถกเถียงกันหลายวาระกว่าจะตกลงกันได้ ชื่อนี้แหละเหมาะสมที่สุด ลองย้อนรอยกรรม เอ้ย ย้อนรอยอารยะการตั้งชื่อชมรมสักนิดแล้วจะได้สะกิดใจว่า การระดมสมองเกิดแต่สำนึกที่ดีของแต่ละคนนั้นช่างน่ารัก
ผู้อาวุโสสูงสุดเสนอให้ตั้งชื่อว่า ชมรมไอ้เหี่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้อาวุโสรองลงมาเถียงทันใด แล้วเมียกูจะเป็นไอ้เหี่ยวได้ยังไง เธอไม่มีจู๋
เฮ้อ ถ้าตั้งชื่อว่าไอ้ก็หมายความว่า ต้องมีจู๋จึงจะเข้าชมรมนี้ได้ งั้นเอางี้ก็แล้วกัน ชื่อชมรมอีเหี่ยวและไอ้เหี่ยว
เสียงร้องแปล้แปร๋นแล่นมาแต่ปลายโต๊ะ ได้ไง ฉันยังเฉ้งกะเด๊ะอยู่นะ จะมาให้ฉันเข้าชมรมอีเหี่ยว ไม่ย้อม ไม่ยอม
ดร.สาวใหญ่ใจถึงตะโกนเสียงดังฟังชัด ฉันเสนอให้ใช้ชื่อว่า ชมรมคุณเหี่ยวแห่งประเทศไทย ใครเห็นชอบ ยกมือ
มีสมาชิกชมรมที่ยังกำลังตั้งชื่อยกมือหรอมแหรม อ้าว ทำไมอีกละเนี่ย เกิดอะไรกันอีกล่ะถึงยังไม่ลงตัว
คุณสุภาพสตรีไม่มีจู่อนงค์หนึ่งยกมือก่อนจะลุกขึ้นพูดด้วยกริยาแสนสุภาพ ฉันเสนอให้ใช้ชื่อชมรมคุณเหี่ยวอย่างที่ดร.ว่านั่นแหละ แต่ขอตัดนะคะ แห่งประเทศไทย ฉันว่ามันกว้างใหญ่ไพศาลเกินพิกัด ขอแค่ชมรมคุณเหี่ยวก็พอ จะได้มีแต่สมาชิกกลุ่มของเราที่ตั้งใจสมัคร
เสียงปรบมือดังลั่นสนั่นห้อง เสียงเป่าปากจากผู้เฒ่าผมหงอกค่อนหัวแต่ยังทำตัวเป็นวัยรุ่น โอเช เป็นอันว่าได้ชื่อสถาพรเสียที ขอเสียงปรบมือรับรองการลงมติอีกครั้งคร๊าบ
สิ้นเสียงปรบมือและเสียงเป่าปาก เสียงหัวเราะครืนใหญ่ตามมา ป๊าด...โธ่ อะไรอีกหรือ
มึงเลยประธานนิรันดรกาล มึงเหี่ยวที่สุด อายุอานามก็เหนือชั้นกว่าใครๆในนี้ทั้งหมด
ท่านผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระดับ 10 เดินทำหน้าบิดๆ เหมือนไม่สบอารมณ์ แต่ด้วยฉันทามติเกิน 99.99 ของสมาชิก จึงจำยอมรับสภาพของประธานชมรมนิรันดรกาล ตราบวันนั้นจนบัดนี้ ยังไม่มีใครเสนอให้เปลี่ยนแปลง เพราะว่าท่านยังเดินหลังตรง คอตั้ง ไหล่ไม่มีทีท่าว่าจะเอียง แต่ตัวยังเตี้ยต่ำต้อยเหมือนเดิม เสียงพูดและเสียงหัวเราะยังร่วนระริกๆๆ ทั้งปฐพีหามีใครเหมาะสมเกินกว่าไม่
ทุกวันที่ 5 ของต้นเดือน สมาชิกชมรมคุณเหี่ยวยังเหนียวแน่น เฉลี่ยจ่ายกันทุกครั้งที่พบปะสังสรรค์และทุกครั้งที่ร่วมเดินทางใกล้และไกล ใช้มาตรฐานเดียว เฉลี่ยกันจ่าย ไม่แคร์ว่าใครจะมีทรัพย์สินกี่พันล้านหรือมีแค่เงินเดือนชนเดือน ขอเพียงเป็นสมาชิกก็เดินทางไปด้วยกันได้ ทุกคนมีสิทธิจะกิน นอน ถ่าย(รูป) และหัวเราะได้ในระดับเดียวกัน ไม่มีสองมาตรฐาน ฮา
ของกินสุกแกล้ม....
จดหมายชมรมเวียนไปทั่ว 1-4 พย.57 จะไปทอดกฐินสามัคคีที่วัดมะเขือแจ้ (อร่อยกว่ามะเขือขื่น) อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน สมาชิกที่จะร่วมเดินทางแจ้งทั้งทางไลน์ เฟสบุ๊กและโทรศัพท์เป็นอันดับสุดท้าย ให้รู้ซะมั่ง เหี่ยวไม่ใช่แก่หงำเหงือก
สถานีรวมพลชมรมคุณเหี่ยวต้องสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถนนพหลโยธิน ที่เก่าเวลาเดิม 1 คันรถตู้
ติดตามด้วยรถคามิโอสีน้ำเงินอีก 1 คัน 5 ที่นั่ง แต่ของประเภทขบเคี้ยว หนุนนอน เต็มรถ รถคันนี้ใช้พนักงานหญิงแกร่ง มือเดี่ยวตลอดเส้นทาง ไปไหนไปกัน
ส่วนอีกกลุ่มเป็นสมาชิกสมทบจากเชียงใหม่ มากันเป็นทีมทั้งคันรถมีผมดำแปลกปลอมมาเพียงคนเดียว พนักงานขับรถหนุ่ม นอกนั้นอรชรอ้อนแอ้นตามวัยแสนสวยของแต่ละคน พร้อมไม้ท้าวคนละหนึ่งเล่ม 5555
สมาชิกสมทบสุดท้าย มาจากอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ปันเจนไฮด์อะเวย์ เป็นรถ 7 ที่นั่งคันเดิม แหม่มนิ้งยังแกร่งและทรหดแต่เดี๋ยวนี้ปล่อยให้มือรองขับแทน อิอิ เกษม ผมบาง
พูดก็พูดเถอะ ผมไม่อยากรวมอายุแล้วคูณด้วยจำนวนคน มันจะได้ตัวเลขที่น่าพิศวงเกินไปไหม ทำเป็นลืมๆซะบ้างก็ได้น่ะ ไม่ว่าจะเท่าไรก็เป็นสมาชิกถาวรและสมาชิกสมทบชมรมคุณเหี่ยวแน่นอน ของจริง
หายไข้เป็นปลิดทิ้ง
รถยนต์ทุกคันมุ่งหน้าสู่บ้านมะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน 689 กม.ถนนราบเรียบแล่นฉิว ถึงตลาดบ้านทาดอยแก้ว ถลาเข้าเทียบสถานีจอด ลงไปส่ายเอวประสานสายตาหาใส้หมูย่างหอมๆ ลูกวัวน้อยนึ่งกลิ่นฉุนข่าคลุก ตันแกล้มโอเลี้ยง เอ้ย แกล้ม วีเอสโอพี สีกำมะหยี่ แคบหมูติดมันเสริมด้วยน้ำพริกหนุ่มปิ้งพริกก่อนโขลก ผักขี้หูดต้มจิ้มแสนอร่อย
ค่ำนั้น นั่งจิ้มน้ำพริกหนุ่มกับแคบหมูติดมัน ตามด้วยข้าวเหนียวปั้นใหญ่ ซดน้ำแกงแคไก่บ้านโฮกฮือ อิ่มจนเอียงไปข้างหนึ่งจึงลุกขึ้นไปล้างมือเตรียมทำงาน บันทึกภาพวัฒนธรรมการฟังเทศคืนก่อนทอดกฐินสามัคคี ซึ่งเพิ่งได้เห็นเช่นนี้ก็ที่ชนเผ่ายองพี่น้องบ้านมะเขือแจ้ แต่หลังจากฟังธรรมเทศนาแล้ว ต้องฟังเสียงเพลงที่ขับขานจากแม่บ้าน แม่ครัว ครึ่งคืน จึงปิดเสียง
เป็นคืนฉลององค์กฐินที่แปลกแตกต่างไปจากวัฒนธรรมไทยพุทธภาคกลางอย่างอ่างทอง สิงห์บุรี อยุธยา ปทุมธานี สระบุรี ชัยนาท ฯลฯ ล้วนเฉลิมฉลองด้วยมหรสพครบเครื่อง บางแห่งจ้างลิเกมาเล่นให้ชม บางแห่งมันกว่าจ้างลำตัดลำตวยมาแสดง บางแห่งจ้างหนังเร่มาฉาย 3 เรื่องรวด สว่างคาตา
พระประธานทองสำริดวัดมะเขือแจ้อายุกว่าพันปี
คืนเดือนพฤศจิกายนปีนี้ยังไม่หนาวนำ แต่เย็นตอนดึกจึงต้องลุกมาห่มผ้านอนจนแจ้ง เสียงปลุกดังมาแต่ใต้ถุนร้านบ้านช่อง ไก่ขัน ส่วนนกเขาสงบเงียบเรียบร้อยหงอยไปถนัด ด้วยว่าวัยและกาลเวลาพิสูจน์ม้า เอ้ย คนเป็นเบาหวาน ก็เป็นฉะนั้นแล แต่งตัวเรี่ยมเร้เรไรแล้วลงไปปั้นข้าวนึ่งกินตามวัฒนธรรมเรื่องอาหารของพื้นบ้านคนยอง ง่ายๆ งวดนี้ไม่มีอ่องออนึ่ง ไม่มีแอบอึ่งเพราะเข้าหนาวรำไร ก่อนจะร่วมขบวนแห่กฐินสามัคคีไปวัดมะเขือแจ้
มันเธอแหละ
มันต้องโห่และต้องฟ้อนกันอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่คนไทยพื้นบ้านของเราซิ นางฟ้อนวาดวงแขนแล้วเหยาะย่างต่างทีท่า มาเถอะนะพ่อมา มาฟ้อนต้อนรำกันเอย
วนซ้ายไปจนครบ 3 รอบพระอุโบสถก็แห่กองกฐินสามัคคีขึ้นไปตั้งหน้าพระสงฆ์ 9 รูป พระประธานทองสำริดที่งดงามจนต้องล้อมด้วยกรงเหล็กแน่นหนาเปิดประตูให้ท่านโปรดสัตว์ทั้งหลาย เป็นพระประธานทองสำริดที่งดงาม อายุกว่าพันปี มีมูลค่าหานับได้ไม่ เป็นที่เคารพกราบไหว้และหวงแหนของพี่น้องชาวมะเขือแจ้ยิ่งนัก
“ท่านครับ เคยจดจารไว้บ้างไหมครับว่าตั้งแต่หนุ่มจนถึงวันนี้ ทอดกฐินได้เงินเข้าวัดไปเท่าไร ทุกสัปดาห์ที่เดินทางเคยรวมไหมครับว่าได้กี่แสนกิโลเมตร” ผมสงสัยใคร่ถาม
“ไม่เคยเลย ทำบุญก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้จุดจบ ยิ่งระยะทางที่เดินทางไปทั่วนี้ยิ่งแย่เลยไม่เคยจำ”
“บางสิ่งที่อยากจำเรากลับลืม บางสิ่งที่อยากลืมเรากลับจำ คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำเรากลับลืม อยากลืมเรากลับจำ” โน่นเลย คล้ายๆกับเสียงเพลงที่เคยได้ยลยิน
เหยี่ยวถลาลมบนดอยสูง
บ่ายแก่ๆ แดดแรงร้อนขึ้นเมื่อเดินกลับหมู่บ้าน แล้วเตรียมตัวออกเดินทางไปอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนที่ โป่งเดือดป่าแป๋ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ท้องที่อำเภอแม่แตง ตะวันบ่ายไปไม่น้อย แสงแดดจัดจ้าหลบไปหลังเขา แมกไม้ต้นสูงใหญ่ห่มคลุม เป็นสระน้ำร้อนที่อยู่กลางแจ้ง สาวเหลือน้อยแต่ละอนงค์นางเปลี่ยนผ้าผลัดออกจากชุดเดิม เป็นชุดว่ายน้ำจำแลง ผ้าถุง ผ้านุ่ง ผ้าซิ่น ดูๆไปนึกว่านางไม้ลงสรงสนาน
“ลงมาอาบน้ำร้อนนี่ซะ ขึ้นไปยอดดอยห้วยน้ำดังจะได้ไม่ต้องไปอาบ หนาว”ลากเสียงยาว ผมเดินส่ายไปส่ายมา แต่ก็ไม่อาบ อาย ไม่ได้นุ่งกุงเกงในมาด้วย ฮา
คืนอันหนาวเย็นมาเยือนหลังอาหารค่ำแบบชมรมคุณเหี่ยวสัญจร ผู้อาวุโสสูงสุดขอสละห้องอันแสนอุดอู้ โดยออกไปนอนเต็นท์กลางสนามหญ้าแทน มีกลุ่มหนึ่งที่ติดตามไปร่วมชะตากรรม แต่ผมชอบนอนในที่คับแคบแต่เข้าห้องสุขาสะดวกๆ คืนนี้แม้มีเสียงกรน ก็ไม่รู้สึกว่าถูกรบกวน เพราะว่าผมกรนดังกว่าเสมอ
รุ่งอรุโณทัยที่ปลายดอยมาถึง ฟ้าหม่นหมองด้วยเมฆฝน ตะวันไม่อาดสาดแสงส่อง ทะเลหมอกที่วาดหวังอันตรทานไปสิ้น เหลือเพียงละอองไอน้ำลอยผ่าน ตากล้องหมองใจยิ่งกว่า สู้อุตสาห์ตามมาด้วยนับพันกิโลเมตร แต่เหลือเพียงน้ำค้างหยดดังแหมะๆๆ น้ำตาจิไหล โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มอบของขวัญวันเกิดปีที่ 8...5555
เครื่องวัดการเต้นหัวใจ
ได้ภาพหมู่กันตามสไตล์ ได้สูดไอกลิ่นดินภูเขา ได้ย้อนรำลึกถึงวันวานที่เคยย่ำบนสันดอยยาวไกล ได้ฟังเรื่องเล่าของผู้อาวุโส ได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อหน่วยจัดการต้นน้ำที่เคยทำหน้าที่ปลูกป่าฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำกลายมาเป็น อุทยานแห่งชาติเพื่อการพักผ่อนและนันทนาการ เวลาเปลี่ยน สถานกาลเปลี่ยน บทบาทหน้าที่จึงต้องแปรเปลี่ยนไปตามกรรม
สาวน้อยเริงร่าดุจวิหคเหินลม
กระชากวัยให้รู้สึกดี...
เป้าหมายวันนี้คือ มุ่งหน้าลงจากยอดดอยกว่า 2000 เมตรไปสู่หุบเขาลำเนาไพรไกลถึงเมืองลี้ เพื่อแวะเวียนไปกราบไหว้ วัดบ้านปาง วัดที่ครูบาศรีวิชัยบวชและมรณภาพ พระเกจิอาจารย์ นักพรตแห่งล้านนา ครูบาเจ้าที่ทำให้วงการพระสงฆ์ดำรงอยู่ได้ด้วยธรรมะบูชา อบรมบ่มเพาะพระเกจิอาจารย์อีกหลายองค์ให้คงแก่เรียนและพัฒนาพระศาสนา
เหนือคำบรรยาย
สถูปครอบสถานที่มรณภาพครูบาศรีวิชัย
จบวัดสุดท้ายที่วัดพระธาตุห้าดวง ก่อนเดินทางล่องไปจนถึงเถิน ตาก และแม่สอด อันเป็นที่พักแห่งสุดท้ายในทริปนี้ บ้านของคุณเทพินทร์ จันทนุปาน หัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำดอยมูเซอร์ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองล่วงหน้าวันลอยกระทง ด้วยการปล่อยโคมลอย หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารทะเลกลางดอย ปูทะเลเผาและกุ้งทะเลเผาจากตลาดแม่สอด
กราบไหว้ครูบาศรีวิชัยองค์จำลอง
หน้าพระธาตุ ที่ระลึกวัดบ้านปาง
เป็นทริปยาวที่เปี่ยมได้ด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และอิ่มเอมในรสพระธรรมคำสอน สืบทอดพระศาสนาและอายุของสมาชิกชมรมคุณเหี่ยวได้อีกนับสิบๆปี 120 ปีคือเป้าหมายสุดท้าย
มณฑปครอบที่มรณภาพครูบาศรีวิชัย
กุ้งแม่สอด อร่อย
ลอยโคมบูชาเทวดาบนสรวงสวรรค์
คู่ท่องโลก
คู่เที่ยว
รูปหล่อเลยถูกแกล้งให้อยู่ท้ายสุด
ก่อแป้น อร่อย