ท่องอุบลแบบคนอุบล ๖
ถนนแห่งข้าว ในสายบุญจุลกฐิน วัดไชยมงคล
“เอื้อยนาง”
ข้าว Rice ธัญพืชที่เลี้ยงคนค่อนโลก เป็นพืชตระกูลหญ้าที่มีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ทั่วโลก เจริญเติบโตได้ง่ายในสภาพดินแทบทุกประเภท ตั้งแต่ทะเลทรายอันแห้งแล้งในออสเตรเลียไปจนกระทั่งเทือกเขาอันเย็นเยือกอย่างหิมาลัย แม้วัฒนธรรมการบริโภคข้าวจะแตกต่างกันออกไปโดยการแปรรูป ปรุงให้สุก เพื่อประกอบเป็นอาหาร ไม่ว่าจะในรูปแป้ง ทำเป็นแผ่น เป็นก้อน เป็นเส้น เป็นน้ำนม หรือรูปแบบอื่น ๆ หลากหลาย ก็ล้วนมาจากเมล็ดข้าว(ส่วนที่เป็นผลของต้นข้าว) จนกระบวนการผลิต การบริโภคข้าวเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณี
ข้าวที่บริโภคในประเทศไทยและแถบอุษาคเนย์แต่เดิมมาจนถึงปัจจุบัน คือ ข้าวในกลุ่ม Indica แบ่งเป็นข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นหลากหลายชนิดพันธุ์โดยกรมวิชาการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปัจจุบัน
สำหรับชาวอีสานเรา เดิมนิยมบริโภคข้าวเหนียวเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียวมีความสำคัญพอกัน
“มาบ้านได้กินข้าว ไปบ้านเจ้าได้กินปลา
มีสุรา มีพาข้าว ของหมู่เฮาเผ่าฟังแคน”
กวีสองฝั่งโขงท่านหนึ่งเคยรจนาไว้ นั่นหมายถึงน้ำใจไมตรีของผู้คนในมื้ออาหารที่เลี้ยงดู ต้อนรับกันในวง “พาข้าว”
“พาข้าว” ไม่ว่าจะเป็น “พาจังหัน” “พางาย” “พาเพล” หรือ “พาแลง” ล้วนหมายถึงวัฒนธรรมการบริโภคข้าวของชาวอีสาน(ลาวล้านนา ล้านช้างด้วย)ที่มีข้าวและกับข้าวจัดใส่ถาด(พา-ภาชนะ)รับประทานร่วมกัน
ในพาข้าวในอดีตนั้นนอกจากกับข้าวแล้วยังมีข้าวที่แปรรูปหลากหลายทั้งคาวและหวาน ทั้งข้าวต้ม ข้าวหนม ข้าวปุ้น ข้าวปาด โดยเฉพาะพาข้าวในยามโอกาสพิเศษเช่นงานบุญ งานวัด ลงแขก หรือรวมญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมยามกัน
ชื่ออาหารคาวหวานที่แปรรูปจากข้าว และแป้งข้าวในวัฒนธรรมเดิมหลายอย่างเริ่มเลือน ๆ ไปจากห้วงความทรงจำด้วยสภาพสังคม วัฒนธรรมที่แปรเปลี่ยนเป็นความสะดวกสบายในปัจจุบัน
ครั้นได้มาพบเจอถนนแห่งข้าวในสายบุญงานบุญประเพณีจุลกฐินวัดไชยมงคลประจำปี ๒๕๕๗ นี้ทำให้รู้สึกคล้ายคนนอนหลับฝันไปเพลิน ๆ... พลันก็สะดุ้งตื่นมาพบโลกอันสดใสและสวยงามที่คุ้นเคย
สดใสด้วยสีสันแห่งทุง(ธง)ทิวที่กวัดไกวประดับประดา ทั้งธงสัญลักษณ์ประจำงานแห่งประเพณีที่ติดยาวย้อย และธงประดับประดาร้อยเป็นทิวหลากสีปลิวไสว และสีสันจากการตกแต่งซุ้มของกลุ่มผู้ศรัทธาจากหน่วยงานราชการและชาวบ้านร้านตลาดทั้งใกล้และไกลจากวัด
สวยงามด้วยทุกสีหน้าและแววตาแห่งความสุขของผู้คน ทั้งผู้มาเที่ยวงานและผู้จัดบริการในซุ้มต่าง ๆ ที่ดูช่างล้วนแต่สุขสันต์ เต็มเปี่ยมด้วยมีน้ำใจไมตรีต่อกัน โดยเฉพาะผู้บริการและสาธิตการผลิตแต่ละกระบวนการในซุ้มต่าง ๆ ดูช่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้จะถูกรุมล้อมจากผู้ชม ผู้มาเที่ยวงานบุญ รวมถึงเด็ก ๆ ที่คุณครูพามาเป็นขบวนยกโขมงมาศึกษาหาความรู้และชิมอาหาร
สวยงามด้วยเสื้อผ้าการแต่งกายแบบพื้นเมืองอุบล ฝ้าย ไหมทอมือของไทอุบลนั้นยังครองความงามละมุนละไมในสายตาน่าภาคภูมิใจเสมอ
หากวิญญาณเจ้าปู่พระพรหมเทวานุเคราะห์ (เจ้าเมืองคนที่๔แห่งอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช)ผู้ก่อตั้งวัดได้พื้นตื่นขึ้นมาทอดตามองในวันนี้ท่านคงดีใจ สุขใจ ที่ได้เห็นเหล่าหลาน เหลน สืบทอดความงามนี้ แสดงความมั่นคงดำรงเรืองรุ่งแห่งวัดที่ท่านสร้างไว้เป็นแน่
เฉพาะถนนแห่งข้าวที่ถักทอทอดยาวหักเลี้ยวตามอาคาร โบสถ์ วิหาร กุฏิ ศาลา ภายในวัดอันเป็นที่ตั้งซุ้มต่าง ๆ นั้น ยิ่งสร้างคนหลับฝันอย่างเอื้อยนางให้ตื่นตะลึงเชียวหละ ก็อาหารจากข้าวชื่อข้าวปุ้น ข้าว ปาด ข้าวโป่ง และอื่น ๆ ที่ชวนชิมในถนนสายบุญนั่นแหละ
ถนนข้าวจี่ ทอดยาวจากประตูทางเข้าวัดทิศใต้สู่เหนือ มีหลายซุ้ม จากหลายชุมชนและหน่วยงาน มีการปั้นข้าว ตั้งเตาปิ้ง(จี่)หอมกรุ่น ให้ชิมกันจนอิ่มหนำ หัวถนนทิศเหนือคือที่ตั้งซุ้ม ถนนข้าวตอก ข้าวตอก หรือ ข้าวตอกแตก ซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นเครื่องบูชาในพิธีกรรมมาแต่โบราณ มักใช้คู่กับดอกไม้ เป็น ข้าวตอกดอกไม้ ทำจากเมล็ดข้าวแห้งนำไปคั่วจนร้อนส่วนที่เป็นแป้งจะพองตัวดันเปลือกข้าวแตกออก(เป็นที่มาแห่งชื่อ ตอกแตก ๆ นั่นแหละ)เผยส่วนที่เป็นแป้งที่กลายเป็นปุยสีขาวสะอ้านนำไปใช้ประโยชน์ปรุงแต่งเป็นอาหาร และนำมาร้อยเป็นพวงใช้ร่วมร่วมกับดอกไม้ หรือใช้โปรยในบางพิธีกรรม
นั่นก็เป็นที่เข้าใจ แต่มาลัยสายสร้อยจากข้าวตอกแตกที่ห้อยเป็นพวงระย้าระย้อยระยับที่ตาได้ประสบในวันนี้คนหลับฝันไม่พลันตื่นตาโตก็เกินไปละ
มาลัยข้าวตอก(แตก) ในซุ้มแสดงใช่จะมีเพียงมาลัยสายยาวระย้าย้อยดังกล่าว ยังมีที่ทำเป็นมาลัยวงเล็กสำหรับสวมมือ (หรือถือ) มาลัยสายสวยในเรือนแก้วใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอื่น ๆ ที่บอกไม่ถูกอีกแยะล้วนตระการตา
ถนนข้าวปุ้น ข้าวปุ้น หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า ขนมจีน เป็นอาหารประจำในงานบุญใหญ่บุญเล็กของชาวบ้านอีสานมาแต่เนิ่นนาน ด้วยกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อนใช้เวลาหลายวันหลายคืนกว่าแป้งจะกลายเป็นเส้นสาย เป็นข้าวปุ้นนี้เองทำให้การบริโภคข้าวปุ้นเป็นเรื่องต้องรอคอย และมักจัดทำกันในช่วงเวลาพิเศษ มีบุญ มีงานมีการรวมกลุ่ม จึงถือเป็นอาหารพิเศษเลยทีเดียว
เนื่องจากข้าวปุ้นมักกินคู่กับส้มตำอาหารขึ้นชื่อของชาวอีสาน ซุ้มนี้จึงมีส้มตำบริการคู่กับข้าวปุ้นไปด้วย เรียกว่าผู้ชมได้เรียนรู้ในกระบวนการผลิตแล้วยังได้แซบนัวตามอัธยาศัยด้วย
ถนนข้าวปาด ข้าวปาด เป็นขนมคู่กับข้าวปุ้นที่เป็นอาหารคาว แต่ข้าวปาดเป็นเครื่องหวาน หลายวัฒนธรรมอาจเรียกชื่อต่างออกไป หรือเรียกตามส่วนผสมในเนื้อแป้งให้เป็นสีสัน รสชาติ เพื่อเพิ่มคุณค่า หรือเรียกชื่อไปตามภาชนะแพ็กกิ้งก็มี แต่ข้าวปาดที่จำได้สมัยเป็นเด็กคือการกวนแป้งกับน้ำอ้อย สุกแล้วใช้ไม้พายปาดออกใส่ลงในถาดปล่อยให้เย็นจึงโรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกที่ขูดเป็นเส้นสาย
ซุ้มข้าวปาด วันนี้นอกจากสาธิตกานกวนข้าวปาดแล้ว ยังมีการสาธิตวิธีพันใบเตยหอมให้เป็นดอกกุหลาบเรียกความสนใจจากเด็ก ๆ และเยาวชนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจนใบเตยหลายหอบที่นำมาหมดไปนั่นแหละจึงได้หยุดกัน
ถนนข้าวโป่ง ข้าวโป่ง หรือ ไทยกลางเรียกข้าวเกรียบว่าว เป็นคล้ายขนมกรุบกรอบของชาวอีสานโบราณ มีกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อน ทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ เช่นครกตำ บด ก็เป็นสิ่งขนย้ายไม่ง่าย ซุ้มข้าวโป่งวันนี้จึงสาธิตเพียงการปิ้งหรือย่างแผ่นข้าวโป่ง ซึ่งเด็ก ๆ คงสนใจตรงนี้มากกว่าจึงปรากฏยืนกันแออัดรอคอยแผ่นข้าวที่โป่งพองกันสนุก ได้อร่อยด้วย
ถนนข้าวหลาม ข้าวหลามเป็นการหุงข้าวในกระบอกไม่ไผ่ เป็นภูมิปัญญาการแก้ปัญหาของคนโบราณที่หาหม้อหุงข้าวได้ยาก จึงใช้หุง(เผา)ในกระบอกกลวง ๆ ของไม้ไผ่แทน มิคาด...กลับได้ข้าวสุกหอมกรุ่นออกมากินกัน ที่สำคัญเยื่อไม่ไผ่ที่ห่อหุ้มอยู่ทำให้ได้ข้าวสุกแท่งยาวสะดวกในการกินและได้รสชาติของเยื่อไม้ไปด้วย เด็กหลายคนเพิ่งเคยเห็นการเผาข้าวหลามมาตั้งตารออยู่แต่เช้า หลายคนยื่นมือจะคว้ากระบอกข้าวจากกองไฟไปทดลองปอก
“อันนั้นยังไม่สุกนะ มาทางนี้” คุณพี่คนหนึ่งร้องบอกด้วยสีหน้าเอ็นดู พลางปาดเหงื่อที่ไหลย้อยเพราะความร้อนที่อยู่ใกล้ไฟ แต่แววตานั้นยังเปี่ยมเมตตาต่อน้องผู้ไม่รู้จักข้าวดิบข้าวสุก
ถนนข้าวต้มมัด ข้าวต้มมัด ข้าวต้มผัด เป็นการทำข้าวให้สุกในห่อใบตอง(กล้วย) กระบวนการทำคล้ายข้าวหลามแต่ใช้การต้มแทนการเผา
ซุ้มนี้ให้ความประทับใจกระบวนการห่อข้าวต้มที่มีผู้เฒ่าผู้สาวจำนวนมากตั้งวงล้อมอุปกรณ์การทำข้าวต้ม ช่วยกัน เป็นสิ่งที่เห็นทั่วไปในวัดบ้านอีสานสมัยก่อน ที่นอกจากจะได้ข้าวต้มสักปี๊บสองปี๊บแล้วยังเป็นการรวมใจของผู้คน สมัยเป็นเด็กที่บ้านผับแล้งจะได้ฟังนิทาน เรื่องเล่าปากเปล่าจากวงแบบนี้จนประทับในส่วนลึกของห้วงสมองเป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน ตัวละครจากนิทาน ท้าวการะเกด สินไซ และ เซี่ยงเมี่ยง ... ออกมาเต้นยิบ ๆ ในความรู้สึกเชียวเมื่อผ่านซุ้มนี้
ถนนข้าวเม่า ข้าวเม่า ข้าวเหม้า เป็นข้าวพิเศษกว่าข้าวทั้งหลายที่กล่าวมา เพราะข้าวเม่านั้นผลิตจากเมล็ดข้าวที่ไม่แก่ไม่อ่อนซึ่งเป็นช่วงหนึ่งของฤดูทำนาแต่ละปีเท่านั้น นำเมล็ดข้าจากรวงมาคั่วให้สุกแล้วตำฝัดเอาเปลือกออกทิ้งไป จึงได้เมล็ดข้าวสีเขียว นุ่ม หวาน มากินกัน
มีเวลาเพียงสั้น ๆ จะได้ข้าวที่ไม่แก่ไม่อ่อนมาทำข้าวเม่าในแต่ละปี นี่จึงเป็นความพิเศษของข้าวเม่า เป็นของหวานที่ใช้ทำทานแล้วได้บุญหลายเชียว(ในความรู้สึกของผู้เขียนเองนะ)
ซุ้มข้าวเม่าก็ทำให้ประทับใจที่เห็นกลุ่มคุณยายช่วยกันทำข้าวเม่าด้วยใจเมตตาทั้งที่ต้องฝัด ตำ ฝัด ตำ ... อยู่หลายเที่ยวกว่าเปลือกข้าวจะยอมแยกออกจากเนื้อแป้งที่หวงแหนของมัน สงสารคุณยาย ...
ถนนข้าวมธุปายาส ข้าวมธุปายาสเป็นข้าวในตำนานพุทธศาสนาที่นางสุชาดาธิดาเศรษฐีเมื่อครั้งพุทธกาลทำถวายเจ้าชายสิทธถะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในวันก่อนตรัสรู้ นับเป็นข้าวแห่งการกุศล เมื่อก่อนการจะกวนข้าวนี้จึงต้องมีข้อจำกัด ข้อปฏิบัติ ปัจจุบันถือเป็นข้าวทรงคุณค่าทางสารอาหาร เป็นของหวานทานอร่อย เมื่อครั้งไปอินเดียมีข้าวนี้เสิร์ฟในโรงแรมที่ไปพักด้วย
ซุ้มข้าวมธุปายาสดูน่ารักด้วยผู้กวนข้าวล้วนเป็นหนุ่มน้อยแต่งชุดขาว และชุดโสร่งแบบอีสาน มีอาจารย์สาวเป็นผู้กำกับดูแล เป็นซุ้มสุดท้ายก่อนไปชมแก่นหลักของงาน คือการปั่นฝ้ายเป็นสายเส้น และถักทอผ้าเป็นผ้ากฐินตามความมุ่งหมายของงาน
คงต้องเล่าถึงในตอนต่อไปค่ะ
๐๐๐