เมื่อหนุ่มใหญ่วัย 66 ปี
ท้าทายด้วยระยะทาง 1,760 กิโลเมตรบนถนนนับพันโค้ง ตอน 2.
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
บ้านเกิดพระยาพิชัยดาบหัก
ป้ายข้างทางถนนสาย 11 เขียนว่า บ้านเกิดพระยาพิชัยดาบหัก ผมตัดสินใจเลี้ยวเข้าไป 20 กม.ผ่านไปหลายหมู่บ้าน ดีว่าถนนลาดยางหมดแล้ว หน้าบ้านเกิดท่านมีรูปปั้นไก่ชน 2 ตัวตั้งอยู่ ผมจึงเลี้ยวรถเข้าไปตามถนนจนถึงอนุสาวรีย์ที่พระปรางค์จำลอง และเยี่ยมยามบ้านท่าน เรื่องราวของท่านกล่าวไว้ว่า
เดิมท่านชื่อจ้อยเกิดปีพ.ศ.2284 ปลายกรุงศรีอยุธยาที่บ้านห้วยคา เมืองพิชัย ใกล้เมืองทุ่งยั้ง(อุตรดิตถ์) อายุ 14 ปีพ่อพาไปฝากร่ำเรียนเขียนอ่านที่วัดใหญ่หรือวัดมหาธาตุ ชอบเชิงมวยจนปราบเด็กเกเรในวัดจนราบคาบ แต่เมื่อ เฉิด บุตรชายเจ้าเมืองพิชัยเข้ามาร่ำเรียนที่วัดใหญ่ ไม่ลงรอยกันนัก จึงหนีออกจากวัดไปตามลำน้ำน่าน มุ่งขึ้นเหนือ ถึงบ้านแก่งได้พบครูมวยชื่อดังชื่อเที่ยง จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ ครูเปลี่ยนชื่อเป็นทองดี ได้สมญาว่าฟันขาวเพราะว่าไม่กินหมาก
ช่วง 2 ปี ที่อยู่กับครูเที่ยง จ้อย-ทองดี ฟันขาว ฝึกฝนจนชำนาญเรื่องฟันดาบและเชิงมวยมากขึ้น ได้ขอออกไปผจญภัยโดยขึ้นไปทางบางโพ วัดวังเตาหม้อ(วัดท่าถนน) พบว่ามีงานแสดงงิ้วฉลอง 7 วัน 7 คืน ทองดีชอบลีลาการตีลังกาของงิ้วมาก จึงพยายามฝึกหัดจนเชี่ยวชาญ เดินทางต่อไปถึงท่าเสา ไปสมัครเป็นศิษย์ครูเมฆ –ท่าเสา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ขณะนั้นจ้อยมีอายุ 18 ปี แกร่ง บึกบึน สมชายชาตรี
ที่นี่เองได้มีโอกาสไปชกมวยในงานพระแท่นศิลาอาสน์ กับศิษย์ครูนิล จ้อยเตะจนสลบเหมือดคาตีน แล้วขึ้นชกกับครูนิลแทนครูเมฆ จนครูนิลฟันหักไป 4 ซี่ สลบคาตีนอีก ชื่อเสียงระบือลือเลื่องไปทั่ว ทุ่งยั้ง ลับแล พิชัย และเมืองฝาง แต่เขาไม่หยุด ด้วยความมุมานะจึงเดินทางต่อไปเมืองสวรรคโลกเพื่อฝึกการฟันดาบ
จากนั้นก็ไปจนถึงเมืองสุโขทัย และเมืองระแหง(ตาก)
บุญมาวาสนาส่ง ได้เป็นทหารพระยาตาก
จังหวะนั้นเอง พระยาตาก เจ้าเมืองตาก จัดพิธีดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดใหญ่ จังหวัดตาก(วัดมหาธาตุ) มีงานเฉลิมฉลองด้วยการชกมวย นายทองดีจึงขันสู้จนชนะถึง 2 ครั้งติดต่อกัน พระยาตากชวนให้รับราชการเป็นทหารได้ตำแหน่งเป็น หลวงพิชัยอาสา ครั้นพระยาตากได้ไปเป็นพระยาวชิรปราการครองเมืองกำแพงเพชร จึงตามไปรับราชการด้วย ซึ่งต่อมาได้เดินทัพไปช่วยกรุงศรีอยุธยา ปีพ.ศ.2309 ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2
เมื่อพระยาตากชวนสมัครพรรคพวก 500 คน ตีฝ่าวงล้อมพม่ามุ่งหน้าฝั่งตะวันออก เป้าหมายเมืองจันทบูรนั้น หลวงพิชัยอาสาเป็นมือขวาที่ออกเดินทางร่วมชีวิต
ต่อมา เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี หลวงพิชัยอาสาได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ พระยาสีหราชเดโช อยู่ในกรุงธนบุรี
สมญานาม พระยาพิชัยดาบหัก
หากพระยาพิชัยรับราชการในกรุงธนบุรี อาจได้ตำแหน่งใหญ่โต แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนซื่อสัตย์ และสมถะ จึงถวายบังคมลาขอกลับภูมิลำเนาเดิม ได้เป็นพระยาพิชัยครองเมืองพิชัยบ้านเกิด
ที่นี่เอง ได้เกิดวีรกรรมของพระยาพิชัย เมื่อพม่าส่งกองกำลังมาตีเมืองพิชัย ถึง 2 ครั้ง ครั้งที่1 พม่าพ่ายแพ้กลับไป ครั้งที่ 2 โปสุพลาพม่านำทัพมารบที่ทุ่งวัดเอกา เมื่อปีพ.ศ.2316 พระยาพิชัยถือดาบ 2 มือนำทัพออกสู้รบ ท่านสู้จนดาบหักไปหนึ่งเล่ม ด้วยเหตุนี้จึงได้สมญานามว่า พระยาพิชัยดาบหัก ตราบเท่าทุกวันนี้
การเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายมิดี
ปีพ.ศ.2525 พระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช)ถูกประหารชีวิตโดย สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก แต่เห็นว่าพระยาพิชัยเป็นคนเก่งและซื่อสัตย์ จึงชวนให้รับราชการต่อไป
แต่พระยาพิชัยดาบหักได้ยืนยันว่า การเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายมิดี จึงขอให้ประหารชีวิตตายตามพระเจ้าตากสินไปด้วยประการฉะนี้ นี่คือเรื่องราวของคนกล้าแม้ต้องตาย
ด้วยความเคารพในความซื่อสัตย์และกล้าหาญ อัฐิของพระยาพิชัยดาบหักจึงได้รับการนำไปบรรจุไว้ที่พระปรางค์วัดราชคฤห์วรวิหารตราบทุกวันนี้
ตะวันส่องหัว เมื่อเที่ยงวัน ต้องไต่ภูเขาไปให้ถึง
ผมบ่ายหน้าออกจากบ้านห้วยคา บ้านเกิดของวีรบุรุษผู้ร่วมกู้ชาติให้กับกรุงศรีอยุธยาและร่วมก่อตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี นึกในใจ หากคนไทยไม่มีวีรบุรุษชุดพระยาตากและพระยาพิชัยดาบหัก แผ่นดินทองแห่งนี้จะเป็นของพม่ารามัญ คนไทในแผ่นดินนี้จะต้องตกเป็นข้าทาสในเรือนเบี้ยอีกนานแค่ไหน พระคุณที่ไม่ควรปกปิดสถิตอยู่ในหัวใจคนไทยวันนี้
ถนนสองช่องจราจร เรียบ ผมเร่งความเร็วไปได้เพียงครู่เดียวก็ต้องเบรก เพื่อลงไปถ่ายรูปของคนสอยลูกมะกอกป่าเลี้ยงชีพ ชายคนหนึ่งสวมเพียงกางเกง เสื้อหนังขนานแท้ สูบบุหรี่ไปพลางก็ใช้ไม้สอยลูกมะกอกป่าที่เห็นระนาวไปทั้งต้น ต้นมะกอกป่านี่เป็นต้นไม้ที่ใบแก่จะมีสีเหลืองทั้งต้นก่อนปลิดลงจนเกลี้ยง
ต้นมะกอกป่า คนใต้เรียกว่า กอก กะเหรี่ยงเมืองกาญจนบุรีเรียกว่า กราไพ้ย แต่คนเหนือแถวเชียงรายเรียกว่า กอกกุก หรือ กูก ต้นไม้หรือสัว์ทุกชนิดมีชื่อพื้นเมืองเรียกแตกต่างกันไป ในทางวิชาการจึงยึดชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spodias pinnata (L.f.) Kurz อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE ชื่อสามัญฝรั่งเรียก Hog Pkum เป็นหลัก มะกอกป่าขึ้นทั่วไปในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าแดง แถวๆลาว พม่า เวียดนาม จีนตอนใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซียก็มี
เป็นต้นไม้ที่เติบโตเร็ว แต่เนื้อไม้อ่อน มีความทนทานตามธรรมชาติระหว่าง 0.5-1 ปี ใช้ทำหีบห่อไม่แข็งแรงนัก แต่คนอีสาน คนเหนือ นิยมใช้เปลือกมาทำสีย้อมผ้าให้สีเขียวมะกอก และใช้ผลสุกเป็นส่วนผสมในอาหารจำพวก น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกตาแดง ทั่วไปผลมีรสเปรี้ยว หอมแรง ชวนกิน เมื่อมะกอกป่าทิ้งผลลงดิน พรานล่าสัตว์ป่าจะย่องมานั่งบังไพรซุ่มยิ่งเก้ง กวาง หมูป่า ไม่มีพลาด
ยอดอ่อนและใบอ่อน เป็นผักสดที่ออกรสเปรี้ยวอมฝาด ผมเคยเห็นชาวบ้านถากเปลือกต้นมะกอกป่าใส่ลาบคั่ว ตัดคาว ก็ได้อีกแหละ ส่วน ราก เปลือก ใบ ผล เมล็ด เป็นสมุนไพรในระบบแพทย์แผนไทยทั่วไป คร้านจะเล่าแล้ว
บนต้นมะกอกริมทาง ชายคนนั้นใช้ไม้สอยผลมะกอกใส่ตะกร้า มีรถปิ๊กอัพเปลือยกระบะจอดอยู่ น่าจะเป็นอาชีพเก็บผลมะกอกป่าส่งขายตลาดทั่วไป นี่คือวิถีชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ต้นไม้ป่าให้คุณอีกแล้ว อ่านต่อตอน 3.