วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร
เที่ยวไป สบาย ๆ สไตล์เรา เอื้อยนาง กับ หอมหอม (๑)
“เอื้อยนาง”
ในฐานะเราสองคนเป็นลูกอุบลด้วยกัน ทำงานในกทม.เช่นกัน พบกัน รู้จักกันเมื่อคราไปท่องอินเดียในคณะท่านดร.พระมหาไพเราะ ฐิตสีโล ด้วยกัน คุยกันเรื่องเดียวกัน เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ยืนยาว ได้นัดกันในวันว่าง ๆ ชวนกันท่องวัดในกรุงเทพ และจังหวัดใกล้เคียง แบบสบาย ๆ สไตล์เรา ในที่สุด เอื้อยนาง กับ หอมหอม(พิมลพรรณ สาโสม) ก็กลายเป็นคู่หูท่องวัดในวันอาทิตย์แทบทุกอาทิตย์(ยกเว้นอาทิตย์ที่เอื้อยนางไปอยู่กับหลานทำหน้าที่ของย่า ยาย)
วัดหลายแห่งในกรุงเทพฯนอกจากความสวยงามอลังการ หลายแห่งยังมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ โดยเฉพาะที่มีเรื่องราวเกี่ยวโยงถึงคนลาวอีสาน ตั้งแต่ช่วงการสร้างบ้านสร้างกรุงใหม่ ๆ มีพระภิกษุ และผู้คนชาวลาว อีสาน โดยเฉพาะคนอุบลราชธานีเข้ามาเกี่ยวข้อง น่านำมาเล่าสู่กันฟัง สารคดีชุดนี้จึงเกิดขึ้น และวัดแรกที่จะเล่าถึงคือ
วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน
หากใครเคยนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ และได้สังเกตสองข้างทางรถไฟ ก็จะเห็นได้ว่าช่วงที่น่าอึดอัดที่สุดก็คือตั้งแต่ ผ่านสถานีจิตรลดา จากยมราชจนถึงหัวลำโพง เป็นย่านที่มีบ้านเรือน(บ้านช่องน่าจะถูกต้องกว่านะ)แออัดเบียดชิดติดกันจนรั้ว หลังคา ประตู ดูรุงรังดั่งดงหญ้าที่แห้งเฉาอยู่ท่ามกลางตึกสูงที่โผล่พ้นพุ่งขึ้นฟ้าเหมือนต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่านง้ำเหนือพงหญ้า ไม่นำพาสิ่งใดใต้โคนต้นของตนกระนั้น
ปฏิมากรรมเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(สิริจันโท จันทร์ ในบริเวณศาลหลักเมืองอุบลฯ
และท่ามกลางรั้ว หลังคาสังกะสีมอๆ บิ่นเบี้ยว เราจะเหลียวเห็นสีเหลืองทองของซุ้มประตูวัดขึ้นวับแวม เหมือนแสงเทียนผุดพรายในความสลัวราง
รถไฟวิ่งเร็วจนผ่านไปดูไม่ชัด แต่ก็มีบางครั้งที่อ่านป้ายชื่อได้ทัน นั่นคือ วัดบรมนิวาสที่กำลังจะพาไปไหว้พระภายในกันค่ะ
ทางเข้าวัดไม่ได้อยู่ตรงประตูที่มองเห็นแต่แรกหรอกนะคะ เราสองพี่น้องถูกแท็กซี่นำมาหย่อนลงที่อีกด้านหนึ่งของวัดแบบงง ๆ เพราะดูไม่ออกอันไหน เป็นประตูรั้วบ้านเรือนราษฎรหรืออันไหนเป็นประตูวัด
“เอื้อยมาดูซีที่นี่มีเครือยานางเลื้อยขึ้นรั้วสวยมาก”
“เธอก็เห็นต้นไม้ทุกต้น ทุกใบ สวยเสมอแหละ มาทางนี้เถอะทางนี้เป็นทางเข้าวัดนี่สวยกว่า”
ไม่ได้พูดเกินจริง ภาพวัดที่เคยวาดภาพไว้ในใจเมื่อมองเห็นซุ้มประตูด้านที่อยู่ติดรางรถไฟเปลี่ยนไปทันทีที่ก้าวย่างเข้าสู่ประตูวัด
ถนนซีเมนต์แคบ ๆ นำไปสู่วิหารหลังเล็กสีสดใสนั้นอ้อมโค้งไปกับขอบสระน้ำ สองข้างร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ สวยงามด้วยไม้ดอกไม้ประดับ และสวนหย่อม
ที่นี่แหละคือวัดที่ครั้งหนึ่งพระเถระผู้ใหญ่ที่สำคัญมากรูปหนึ่งของสยาม และในประวัติศาสตร์อุบลราชธานี-อีสาน ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสเป็นเวลาหลายพรรษา เผยแพร่ธรรมะ แก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป สนับสนุนอยู่เบื้องหลังและผลักดันแนวทางปฏิบัติธรรมกรรมฐานของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริภัตโต ชาวอุบลเช่นกัน
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ท่านมีคุณูปการทั้งด้านการศาสนาและการศึกแก่ชาวอุบลราชธานีและอีสานตลอดช่วงหลายรัชกาลแห่งรัตนโกสินทร์ ชาวอุบลได้สร้างรูปเหมือนของท่านไว้เป็นที่สักการและระลึกถึง ณ หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ด้านข้างตะวันตกของศาลหลักเมืองใจกลางเมืองอุบลราชธานี
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์ สิริจันโท) เคยเป็นเจ้าอาวาส ณ ที่แห่งนี้ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร
เป็นลูกบ้านหนองไหล อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ สมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และอุบลราชธานียังปกครองแบบจารีตล้านช้าง มีฝ่ายปกครองสูงสุดสี่ตำแหน่ง คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร เรียกว่า อัญญาสี่ หรือ อาชญาสี่ เป็นเมืองประเทศราชที่ต้องส่งส่วย ส่งเครื่องบรรณาการ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองแก่กรุงเทพฯตามจำนวนหัวเลก(ชายฉกรรจ์ที่ถูกสักเครื่องหมายเข้าสังกัด หรือลงบัญชี) ในยามศึกสงครามต้องเกณฑ์เข้ากองทัพไปช่วยรบ ดังหลักฐานในประวัติของท่านขณะบวชเป็นเณรเรียนหนังสืออยู่ ที่วัดศรีทองในตัวเมืองอุบลก็ต้องสึกออกไปช่วยทางบ้านทำงานในนาในสวน เป็นแรงงานให้ครอบครัว เพราะเป็นช่วงที่สยามเกณฑ์กองทัพไปปราบฮ่อที่ยกทัพรุกรานมาทางล้านช้าง โยมพ่อของสามเณรจันทร์ก็ต้องไปทัพด้วย ทำให้ทางบ้านขาดแรงงาน จึงต้องสึกจากเณรดังกล่าว และท่านก็กลับมาบวชเรียนอีกครั้งที่วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม ในปัจจุบัน) ปี พ.ศ.๒๔๒๐ และเดินทางเข้าสู่กรุงเทพในปี พ.ศ.๒๔๒๓ พักอยู่กับพระภิกษุชาวอุบลชั่วคราวก่อนได้เข้าอยู่วัดเทพสิรินทรฯ เรียนหนังสือที่วัดมาตยารามจนได้ ๙ พรรษาสอบเปรียญได้ ๓ ประโยคเป็นพระมหาจันทร์จึงกลับอุบลสอนหนังสือ เผยแพร่ความรู้ให้พระเณร และชาวอุบลทั้งในเมือง และบ้านหนองไหลบ้านเกิด แล้วเดินทางสู่จำปาศักดิ์ ได้เป็นเจ้าคณะสังฆปาโมกข์เมืองนครจำปาศักดิ์ ต้องไปรับสัญญาบัตรที่กรุงเทพฯ คราวนี้พาลูกศิษย์ไปเรียนหนังสือด้วยหลายคน ซึ่งภายหลังท่านเหล่านั้นได้กลายเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พระศาสนาและการศึกษาสู่อีสาน
พ.ศ.๒๔๓๓ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระครูวิจิตรธรรมภาณี เจ้าคณะใหญ่นครจำปาศักดิ์ จนพ.ศ.๓๔๓๔ จึงกลับจำปาศักดิ์-อุบล มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งสองฝั่งโขง และต่อมาอีกสองปีเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบ จำปาศักดิ์ตกเป็นของฝรั่งเศสจึงมาอยู่วัดสุปัฏนาราม อุบลราชธานี และต่อมาจึงได้พาลูกศิษย์จำนวนหลายคนเดินทางไปเรียนที่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ในยุคนั้น อุบลราชธานีกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาทั้งบาลีและภาษาไทย นับเป็นคุณูปการยิ่งใหญ่ต่ออีสานสืบมา
กระทั่งพ.ศ.๒๔๔๖ ท่านต้องการปลีกวิเวก แต่ได้ไม่นานขณะออกธุดงค์แสวงหาวิเวกที่เขาใหญ่ก็เกิดป่วยหนักด้วยไข้ป่า ถูกหามออกจากป่าด่วน พอหายป่วยก็ได้รับพระบรมราชโองการให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ณ กรุงเทพโดยเร็ว
เล่ามาตั้งนานเพิ่งถึงวัดบรมนิวาสนะคะ
เอื้อยนาง
เราสองพี่น้อง เอื้อยนาง กับ หอมหอม เข้าไปกราบพระที่ศาลาด้านนอก ทำบุญหย่อนเงินลงในตู้ตามศรัทธาแล้วได้เวลาทัศนาวัด ไหว้พระประธานในโบสถ์ และเดินหาจนพบศาลาที่เคยเป็นที่พำนักของท่านเจ้าคุณผู้มีคุณูปการต่อลูกหลาน เหลน อุบลราชธานี สืบมา
ประวัติของวัดนี้ กับประวัติของท่านคงต้องเล่าคู่กันไปในคราวหน้าค่ะ