ไปร่วมงาน เชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน สืบสานวัฒนธรรมสัมพันธ์ ๒๕๕๙
สำนักวัฒนธรรม (ริมบึงสีฐาน) มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ตอนที่ ๑ มหกรรมการอ่านบทกวีอีสาน
โดย เอื้อยนาง
นับเป็นเกียรติสูงส่งสำหรับคนเขียนหนังสือลูกอีสานคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไร อย่าง เอื้อยนาง และแม้จะมีผลงานหลากหลายในหลาย ๆ นามปากกาก็ใช่ว่าจะเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากมายนัก จึงรู้สึกดีอกดีใจ ภูมิใจ และตื่นเต้นมากมายในวันได้รับโทรศัพท์จาก คุณสุมาลี สุวรรณกร ประธานสโมสรนักเขียนภาคอีสานสาวสวยแห่งเมืองขอนแก่น ให้ไปรับรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะศิลปินมรดกอีสาน สาขาวรรณศิลป์(วรรณกรรมเยาวชน) ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๙ ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันการศึกษาหลักของภาคอีสานบ้านเฮา
“ป้าเตรียมตัวมารับรางวัลนะ เดี๋ยวทางมหาวิทยาลัยเขาจะประสานมาอีกที”
เธอย้ำเตือนมาทางโทรศัพท์ ในเช้าวันที่ ๒ มีนาคม ก่อนกำหนดเวลาหนึ่งเดือนพอดี แต่แล้ว...ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนั้น ขณะอารมณ์ เปี่ยมด้วยความสุข ความภูมิอกภูมิใจจนหัวใจพองโต เดินออกจากบ้านแบบใจลอย ๆ นั้น ฉันก็ถูกหมาของบ้านฝั่งตรงข้ามกับบ้านพักช่วงอยู่กรุงเทพฯ(บ้านคุณสุภา สิริสิงห-โบตั๋น)กัดที่น่องเข้าอย่างจัง
รอยเขี้ยวที่ฝังลึกจนเลือดไหลซึมบวกเสียงคำรามโฮ่ง ๆ ของเจ้าหมาสร้างความเจ็บปวดและหวาดผวาขึ้นมาขับไล่ความสุขจากข่าวดีที่ผ่านมาจนกระเจิดกระเจิง
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้หนอ ความสุข ความทุกข์เป็นของคู่กันเสมอ
“ไปหาหมอเลย ...บอยพาอาจารย์ไปเลย...”
เสียงคุณโบตั๋นดังอยู่แจ้ว ๆ ขณะน้ำตาฉันไหลพราก ๆ อย่างสกัดกั้นไม่อยู่ และมันก็ไหลซึมอยู่ภายในอกอีกนานแม้เมื่อได้รับวัคซีนกันโรคพิษสุนัขบ้าเข้าไปเข็มแรกแล้ว ซึ่งมันกลับเป็นการดีเหมือนกัน มันได้ช่วยชะล้างอารมณ์กดดันอะไร ๆ ที่หมักหมมในหัวอกมานานให้ออกไป และเมื่อได้วัคซีนเข็มสุดท้ายจึงเหลือไว้แต่ความผ่องแผ้วพร้อมจะออกเดินทางไปดอนเมือง สู่เมืองขอนแก่น ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙
ต้องขอบคุณคุณสุมาลี ประธานสโมสรฯคนสวยและแสนดีคนนั้น เธอจัดการจองห้องพักไว้ให้ตามที่ตกลงกัน เป็นโรงแรมที่มีบรรยากาศคล้ายรีสอร์ตกลางเมืองขอนแก่น ชื่อโรงแรม พิมานการ์เดน
ออกจากสนามบินขอนแก่นยามบ่าย รถวิ่งตรงเข้าเมืองจนผ่านบริเวณสวนสาธารณะที่มีอนุสาวรีย์จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ดอกคูนสีเหลืองกำลังบานพราวสว่างไสว ถึงสี่แยกหอนาฬิกา รถก็เลี้ยวขวาไปอีกนิดแล้วเลี้ยวขวาเข้าโรงแรมที่มีสวนร่มรื่นกลางเมืองขอนแก่น
ชาวคณะผู้จะมาร่วมแสดงความยินดีกับฉันยังมาไม่ถึง ซึ่งจะมีทั้งน้องสาว ลูกหลาน ญาติ มิตรที่เดินทางมาสมทบทั้งจากกรุงเทพฯ นครพนม สกลนคร และอุบลราชธานี ฉันต้องจองห้องพัก ๘ ห้อง ส่วนห้องที่ ๙ ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้นั้นเราตกลงกันให้คนขับรถตู้ที่มาจากอุบลไปพัก
บ่ายคล้อยของวันที่ ๑ เมษายน ชาวคณะยังมาไม่ถึงเพราะวันรับรางวัลศิลปินมรดกอีสานจริง คือวันพรุ่งนี้ แต่ตอนเย็นวันนี้ฉันได้รับทราบจากทางน้อง ๆ นักเขียน นักกิจกรรมขอนแก่นว่าจะมีงาน “มหกรรมการอ่านบทกวีอีสาน” จึงให้ทางโรงแรมเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่มหาวิทยาลัย ณ ลานสนามหญ้าหน้าหอศิลปวัฒนธรรม
ฝนเดือนเมษายนตกลงมาปรอย ๆ เมื่อฉันมาถึง บนเวทีกลางแจ้งมีการแสดงพื้นบ้านท่ามกลางสายฝนที่ชุ่มฉ่ำ เหล่าผู้มาชมเริ่มทยอยหลบฝน ผู้ที่มีร่มเท่านั้นยังคงอยู่ โชคดีฝนซาไปในเวลาไม่นานนัก ผู้คนจึงทยอยกลับมาอีกที
ฉันมาสาย และฝนก็ตกลงมาพอดี กระนั้นยังทันได้ชื่นชม ได้ยินยล ความเป็นอีสานของคนกลุ่มที่รักอีสานอย่างแท้จริงที่ร่วมกันสร้างสรรค์กิจกรรมนี้ โดยความร่วมมือของเครือข่ายศิลป์สร้างสรรค์ จังหวัดขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่น และมหาวิทยาลัยขอนแก่น
กวีที่มีชิ่อเสียงมาร่วมงาน เช่น ไพวรินทร์ ขาวงาม กวีซีไรต์และศิลปินแห่งชาติหมาด ๆ อ.เจริญ กุลสุวรรณ โขงรัก คำไพโรจน์ สมคิด สิงสง ฯลฯ และตัวแทนนักประพันธ์จากสมาคมนักประพันธ์ สปป.ลาว นำโดยคุณทองใบ โพธิสาน กวี ซีไรต์และประธานสมาคมนักประพันธ์ลาว ยังมีศิลปินหมอลำชื่อดังของอีสาน ราตรี ศรีวิไล กลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ครู-อาจารย์ศิลปินพื้นบ้านอีกหลายคน พร้อมศิลปินนักวาด ครูเบิ้ม เติมศิลป์(นายไพบูลย์ ธรรมเรืองฤทธิ์)ที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติผู้มีผลงานดีเด่นวัฒนธรรมสัมพันธ์ สาขาศิลปกรรม(กิจกรรมร่วมสมัย)ในวันพรุ่งนี้ด้วย
เม็ดฝนหายไปพร้อมกับแสงอาทิตย์ก็ลับลามีดวงไฟฟ้าส่องแสงสว่างขึ้นมาแทน ส่งให้บนเวทีมีชีวิตชีวา นักกวีทั้งสองฝั่งโขงทยอยขึ้นร่ายบทกลอน ซึ่งมีทั้งอ่านจริงและขับเป็นบทเพลง กลอนลำ มีการแสดงประกอบ สลับ ศิลปินนักวาดขึ้นวาดลวดลายด้วยสีน้ำไปพร้อม ๆ กัน เสียงแคนดังว่อนฟ้า นักฟ้อนวาดลีลา นักขับกลอนออดอ้อนร่อนลำคอ ส่งเสียงเพลงบ่งบอกความเป็นลาว-อีสาน ที่ยังแผ่ซ่านโอบล้อมทุกอณูอากาศ
......