บุญบั้งไฟ :ความยิ่งใหญ่ อมตะ ของพญานาค ในอีสาน
โดย “พอแพง”
๑๓ – ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เป็นงานประเพณีบุญบั้งไฟของจังหวัดยโสธร ซึ่งถือว่า เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัด ดัง คำขวัญที่ว่า “เมืองบั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ”
บุญบั้งไฟ เป็นพิธีกรรมดั้งเดิมมาแต่โบราณของชาวอีสานตามฮีต(จารีต) ๑๒ คือประเพณี ๑๒ เดือน บุญบั้งไฟถือเป็นประเพณีประจำเดือน ๖ ต้นฤดูฝนที่ต้องเตรียมลงทำไร่ทำนา เป็นประเพณีปฏิบัติยึดถือกันมาตั้งแต่โบราณในราชอาณาจักรล้านช้าง มีพิธีกรรมสืบเนื่องจากความเชื่อเรื่องพญาแถน(เทพ)ผู้เป็นใหญ่บนฟ้า และพญานาคผู้เป็นใหญ่ในพิภพบาดาล เพื่อขอให้พญาแถนจัดการให้ หรือรับสั่งให้พญานาคออกเล่นน้ำบันดาลฝนให้ลงมาตกในโลกมนุษย์
ตำนานบุญบั้งไฟ หรือ นิทานเรื่อง พญาคันคาก(คางคก) เล่าว่า ครั้งหนึ่งในดินแดนแห่งสัตว์โลกเกิดความแห้งแล้ง เพราะฝนไม่ตกมาหลายปี สัตว์โลกทั้งหลายเกิดความเดือดร้อนล้มตาย มนุษย์ไม่มีน้ำจะทำนา ปู ปลา กบ เขียดไม่มีที่จะออกไข่สืบเผ่าพันธุ์ แม้จะทำพิธีบูชาอ้อนวอนพญาแถนให้บันดาลฝนลงมาให้แต่ไม่เป็นผล ครั้งนั้นมีพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดเป็นพญาคันคาก ได้อาสายกพลขึ้นไปรบกับพญาแถน โดยมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลายที่มีพิษ เช่น งู มด ต่อ แตน และอื่น ๆ อีกมากมาย อาสาไปเป็นพลรบ ไปสร้างความรำคาญให้พญาแถนทั้งแสบทั้งคันจนต้องยอมแพ้
“พวกเจ้าต้องการอะไร”
พญาแถนตรัสถามเสียงดัง พญาคันคากจึงกราบทูลเรื่องความเดือดร้อนในโลกที่ไม่มีฝนตกมานาน เพราะนาคไม่เล่นน้ำ จึงต้องการให้ท่านพญาแถนสั่งให้นาคไปเล่นน้ำโดยด่วน และตลอดไปทุกปีในฤดูทำนา
“ตกลง ตกลง ข้ายอมแพ้พวกเจ้า แล้วจะสั่งให้นาคเล่นน้ำ แต่ว่าต่อไปข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะทำนาเมื่อไหร่ ” พญาแถนตรัสถาม
พญาคันคากจึงกราบทูลเป็นเงื่อนไขว่า “เหล่ามนุษย์ทั้งหลายจะทำบั้งไฟแล้วจุดขึ้นมาบอกเตือนท่านในช่วงก่อนฤดูทำนาของทุกปีก็แล้วกัน”
นั่นจึงเป็นจุดประสงค์ดั้งเดิมของพิธีกรรมในประเพณีบุญเดือน ๖ หรือบุญบั้งไฟของลาวและอีสาน เป็นการจุดบั้งไฟขึ้นไปถวายพญาแถนเพื่อขอฝนนั่นเอง เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตแบบชนบทที่เป็นชาวไร่ชาวนาอาศัยน้ำตามธรรมชาติ ตามฤดูกาล
บั้งไฟ เดิมทำจากลำไม้ไผ่ หรือ กระบอกไม้ไผ่(บั้ง-ในภาษาอีสาน)ทะลุปล้องออกแล้วบรรจุ ดินหมื่อ(ดินปืนสูตรทำเอง)อัดให้แน่นใส่ชนวนสำหรับจุดไว้ด้านหนึ่ง มีหลายขนาด หลายประเภท ใช้จุดในพิธีกรรม และโอกาสต่าง ๆ เช่นพิธีเผาศพเพื่อนำวิญญาณขึ้นสวรรค์
ตัวบั้งไฟจะมีอยู่ ๓ ส่วน คือ ส่วนลำตัวที่เป็นบั้งไม้ไผ่บรรจุดินหมื่อสำหรับจุดระเบิด ส่วนหัว และส่วนหาง เป็นส่วนที่ต่อออกไปทั้งสองด้านของบั้งไฟเพื่อความสมดุลและบังคับทิศทางขณะบั้งไฟถูกจุดให้ทะยานขึ้นสูง
บุญบั้งไฟเป็นประเพณีประเพณีประจำปีของทุกหมู่บ้าน หรือรวมกลุ่มหลายหมู่บ้านหมุนเวียนกันจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองสามหมู่บ้าน
บุญบั้งไฟเป็นบุญใหญ่รวมพี่รวมน้องมีกระบวนการจัดที่ซับซ้อน ใช้เวลาหลายวันสำหรับเตรียมงาน เฉพาะการจัดทำบั้งไฟจะต้องใช้ช่างผู้ชำนาญและมีประสบการณ์ตั้งแต่การจัดหาลำไม้ไผ่ที่เหมาะสม การจัดทำดินหมื่อ การบรรจุแล้วตำหรืออัดให้แน่น สุดท้ายการการประดับตกแต่ง หรือ เอ้บั้งไฟ ก็ต้องใช้ช่างศิลป์เข้ามาช่วย ต้องใช้เวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือนในการจัดการ
ถึงช่วงงานบุญก็จะแบ่งเป็น ช่วงตุ้มโฮม คือ การนำบั้งไฟจากแต่ละหมู่บ้าน หรือแต่ละคุ้มบ้าน คุ้มวัดนำมารวมกัน ก่อนถึงวันพิธีการจุดบั้งไฟจริง ช่วงเคลื่อนย้ายบั้งไฟมารวมกันนี้จะมีขบวนแห่ฟ้อน เซิ้ง สนุกสนาน การเล่นพิลึกกึกกือ ถือเป็นหัวใจของบุญบั้งไฟ ก่อนถึงช่วงจุดจริง และยังมีช่วงเก็บตกเรียกว่า ตามฮอยไฟ ให้สนุกสนานกันไปอีกหลายวัน
ผ่านมาถึงยุคที่ประเพณีและวัฒนธรรมถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่เพื่อการท่องเที่ยวและงบประมาณ หลายประเพณีถูกผูกขาดว่าเป็นเฉพาะของจังหวัด เพื่อจัดการให้ยิ่งใหญ่อวดนักท่องเที่ยว และชื่อเสียงให้ขจรกระจาย กิจกรรมหลายอย่างถูกเพิ่มเข้ามาตามยุคสมัย และโดยมากเน้นการแสดง หรือ โชว์มากกว่าพิธีกรรมดั้งเดิม บั้งไฟที่ใช้ในขบวนแห่ กับบั้งไฟที่จุดจริงจึงไม่ใช่บั้งเดียวกัน
บั้งไฟในขบวนแห่คือความอลังการตะลึงตะลานในสายตามอง ด้วยการประดับตกแต่ง(เอ้บั้งไฟ)ประกวดประชัน จนมองไม่ออกว่าตัวบั้งไฟจริงนั้นเป็นเช่นไร
บุญบั้งไฟ ยโสธร ๒๕๕๙
กว่าสิบปีแล้วที่ผู้เขียนเคยไปชมครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ลูกยังเล็กจนตอนนี้หลาน(ลูกของเขา)โตแล้ว เลยชวนกันเที่ยวทั้งสามเจเนอเรชั่น
เฉพาะขบวนแห่ที่ได้ประจักษ์ในวันนั้นก็สรุปได้ว่าบุญบั้งไฟยโสธรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ตัวละครประกอบและสัญลักษณ์ที่ผุดพรายขึ้นมามากมายจนแม้แต่ผู้เคยเข้าใจตำนาน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการก่อเกิดพิธีกรรมในบุญบั้งไฟเดิม ๆ ยังไม่เข้าใจ เพราะในแต่ละขบวนก็ไม่ได้มีเอกสาร การประชาสัมพันธ์ ประกอบเพื่ออธิบาย ทำให้ตอบคำถามหลานน้อยไม่ได้ แม้หลายขบวนแสดงวิถีชีวิตดั้งเดิมของอีสานนั้นพอเข้าใจได้ และเป็นขบวนที่น่าสนใจมากกว่าเสียอีก
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ยังยิ่งใหญ่ เป็นอมตะในขบวนแห่งบั้งไฟ คือ พญานาค ซึ่งเป็นความเชื่อร่วมอุษาคเนย์ และยังรุ่งเรืองในคติความเชื่อของชาวอีสานและลาวสองฝั่งแม่น้ำโขงและสาขา แม้ไม่นับเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคแล้ว นาคยังมีอยู่ในจิต ยังสิงสถิตในแผ่นดิน ดังที่เห็นปรากฏในงานศิลปะแทบทุกแขนง ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม หรือสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนา
เศียรพญานาคที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในบั้งไฟนั้นดูช่างสง่างาม วิจิตร และอลังการ ด้วยจิตศรัทธาที่ไม่เสื่อมคลายของผู้บรรจงสร้าง
.....
ขอบคุณ ดร.นวลน้อย วิจิตรกุล และคุณนิภัทรเดช ไชยช่วย อดีตผอ.โรงเรียน และเป็นประธาน อกคศ. สพม.๒๘ ศรีสะเกษ ยโสธร เอื้อเฟื้อข้อมูลและภาพถ่ายค่ะ