หลับแค่เพียงข้ามคืน ตื่นมารับแสงตะวัน (1)
โดย มณี บันลือ เรื่อง-ภาพ ธงชัย เปาอินทร์
ทุกปีที่ออกเดินทางตามทริปทำบุญไปเที่ยวไปกับมูลนิธิสมเพิ่มกิตตินันท์ รถตู้ทีมเดิม นักท่องเที่ยวหน้าเดิมๆ กติกาค่าใช้จ่ายแบบเดิมๆ เป้าหมายก็ทีเดิมในคืนแรก แต่เปลี่ยนไปเมื่อย่างเข้าคืนที่สองสามสี เปลี่ยนเป้าหมายไปตามสันดอยและหุบห้วยแปลกใหม่ไม่ซ้ำหรือหลายๆปีซ้ำสักครั้ง 32 ปีที่เดินทางเยี่ยงนี้แทบหาที่จะไปพักพิงอิงอาศัยแทบไม่ได้ แต่ก็ยังไปๆๆๆ
ค่ำรำไร แสงตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้วไม่นาน แสงสีทองยังทาบทาท้องฟ้าหลังพระอาทิตย์อัสดง บ้านพักแรมหรือที่ทำการมูลนิธิสมเพิ่มกิตตินันท์ ในหุบเขาห้วยสามสบ บ้านกิตตินันท์ อ.นาน้อย จ.น่าน สะอาดตาปราศจากดงหญ้าที่รกเรื้อจากการพัฒนาของชาวบ้านกิตตินันท์ เพื่อต้อนรับคณะกรรมการมูลนิธิสมเพิ่มกิตตินันท์ และแขกแก้วผู้มาเยือนด้วยใจเมตตา
กลุ่มรถเก๋งของท่านประธานกรรมการ ท่านอุดม หิรัญพฤกษ์ วัย 92 ปีและศรีภริยา วัย 81 ปี ยังคล่องแคล่วและทระนงองอาจ ก้าวเดินไปยังบ้านพักของชมรมคุณเหี่ยว วน.15 เพื่อเป็นที่พักแรมคืน บ้านหลังเล็กๆที่มีระเบียงให้นั่งเล่นได้ และมองออกไปเบื้องหน้ามีร่มเงาต้นเสลา(ดอกสีม่วง) บานบุรีแคระ และต้นชบาดอกสีชมพู ใต้ร่มแนวต้นปาล์มขวดสูงตระหง่าน
กลุ่มรถตู้คณะกรรมการและผู้มีจิตเมตตา กรมป่าไม้เก่า หิ้ว-ยก-เหวี่ยงกระเป๋า-เป้ ขึ้นบ้านที่ทำการมูลนิธิ 2 ชั้น ทรงยุโรป นอนชั้นบน 3 เตียง 3 ที่นอนปูกับพื้นหน้าห้อง ห้องสุขาต้องลงมาใช้ข้างล่าง มี 3 ห้อง น้ำอุ่นมีเพียง 1 ห้อง ส่วนที่เหลือสมัครใจนอนแบบปูที่นอนกับพื้นเพื่อเข้าห้องสุขาสะดวก กาน้ำร้อน แก้วและช้อน เพื่อชงกาแฟ โอวัลติน เสียบปลั๊กรอการใช้ประโยชน์ พร้อมน้ำดื่มเป็นแพคๆ ส่วนสบู่และยาสระผม แขกหามาเอง
กลุ่มรถตู้อดีตท่านรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี 9 คน รถตู้แล่นผ่านเขาไปอีกหุบเขาที่เรียกว่า ดงเปื๋อย พักแรมบ้านหลังเขาของครูแหวว อันเป็นบ้านพักสไตล์แต่งแต้มตามความพอใจ 2 ชั้น ที่นอนปูกับพื้นเช่นทุกปี ห้องสุขา น้ำดื่ม พร้อมรอรับแขก บรรยากาศบ้านป่าใกล้ชิดชาวบ้าน เสียงไก่ขันหมาเห่าเป็นองค์ประกอบทางเสียง
กลุ่มกระเด็นที่เหลืออยู่ พักแรมบ้านริมน้ำ ชั้นเดียว ปูที่นอนกับพื้นยกสูง เรียงเป้นตับได้ถึง 10 คน แต่ไปนอนกันแค่ 3 คน เหงาไปเลย ปีนี้โชคดี ลูกมะกอกป่ายังไม่แก่จัด จึงไม่ต้องตกใจทุกครั้งที่ลูกมะกอกตกใส่หลังคาสังกะสี ห้องสุขาแยกส่วนยังไม่สะดวกเหมือนเดิม ระเบียงหน้าบ้านยังไม่ได้สร้าง จึงยังไม่มีที่นั่งพักผ่อนสำหรับแขกผู้มาเยือน
พร้อมสรรพก็เดินไปรวมกันที่หน้าที่ทำการมูลนิธิหลังหลัก ระเบียงไม้ริมน้ำถูกจัดตั้งเป็นโต๊ะอาหาร 4 ตะตามจำนวนแขก อาหารพื้นๆถูกส่งมาเรียงรอการรับประทาน ข้าวสวยร้อนๆในหม้อตักใส่ทันทีที่ลูกค้านั่งประจำที่ เด็กๆนักเรียนทุนในหมู่บ้านและผู้ปกครองช่วยกันเวียนมาดูแลระหว่างการรับประทานอาหาร แต่ค่ำคืนนี้ มีพระจันทร์ส่องสว่างอยู่บนเวิ้งฟ้าสีดำทะมึน
“ปีนี้โชคดี มีพระจันทร์ส่องสว่างกลางฟ้า แม้ไร้หมู่ดาว แต่แวดล้อมด้วยเหล่านักเรียนทุนและชาวบ้านของเราครับ” เลขานุการอ้วนๆชวนกล่าวเร้าอารมณ์
หลายคนก้มหน้ากิน แต่หลายคนหลงคารมก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ดวงเดือนไม่เต็มดวงยังงามขนาดนั้น บรรยากาศชวนดื่ม แต่เนื่องจากประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ไปนวดแล้วเอวเดี้ยง ไม่มาร่วมกิจกรรมเหมือนทุกปี ทำให้ท่านประธานกรรมการตลอดชีวิตนั่งเหงา
“ขาดคู่ดริงค์” อันเป็นความเศร้าอย่างมหันต์ ซึ่งปกติทุกปี สองหนุ่มเพื่อนซี้ผู้มีวัยแตกต่างกัน 2 ปี 92-90 จะต้องต่อกรกันด้วย ร่ำสุราเจ็ดสิบปีมิขาดมิเกิน ตั้งแต่ยังเรียนวิทยาลัยวนศาสตร์ที่จังหวัดแพร่ มันคือหนึ่งในสายใยที่เชื่อมโยงคำว่า “เพื่อน” ระหว่างอาหารมื้อค่ำปีนี้เงียบเหงา ขาดเสียงเพลงคาราโอเกะ ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาไปหน่อย ปีหน้าห้ามพลาด
หลังมื้อค่ำและนั่งชมจันทร์ยามราตรี พอว่าอาหารถูกย่อยไปแล้ว ก็แยกย้ายกันกลับไปยังที่พักแรมคืน
“พรุ่งนี้เช้ามือ 05.00 น.ใครจะไปชมทะเลหมอกดอยเสมอดาว โปรดตื่นมารอรถตู้ที่หน้าที่ทำการนี้นะคะ” เสียงใสๆของอดีตท่านรองผู้อำนวยการนัดหมาย
ค่ำคืนเงียบสงัดท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง บ้านพักแต่ละหลังเงียบสงบลงเมื่อถึงเวลาหลับใหล นกกลางคืนยังเปล่งเสียงเหมือนทุกคืน แมลงกลางคืนยังส่งเสียงเพรียกไปทั้งหุบเขา และเมื่อถึงเวลาเที่ยวคืน ไก่ตัวผู้ใต้ถุนบ้านขับขานตามเวลาที่ธรรมชาติบันดาล ยามสอง แต่เมื่อเวลาหนาวแบบ 16องศาเซลเซียสในหุบเขาใกล้ถึงยามสาม ตีสี่กว่าๆเจ้าไก่ตัวผู้ผู้รู้หน้าที่ก็ขันขานอีกครั้ง
ตีห้า คนพร้อม รถตู้พร้อม ล้อหมุน มุ่งหน้าฝ่าสายหมอกจางๆไปยังดอยเสมอดาวบนอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ระยะทาง 30 กม.ระยะเวลา 30 นาที ผ่านป่าเขาและชุมชน แล้วก็ไต่ตามถนนลาดยางไปยังยอดดอยเสมอดาว ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 850 เมตร เต็นท์กางเต็มพรืดไปทั้งสันดอย เงารางๆจากแสงจันทร์ยังส่องสว่าง
ได้เวลาที่ทะเลหมอกจะออกมาอวด แต่กลับขี้อายไม่ยอมปรากฏให้เห็นเหมือนบางวัน แขกชมจนได้รูปเป็นที่ระลึกพอแล้วก็เดินทางไปยังเสาดินนาน้อย ชมความอัศจรรย์ของธรรมชาติแล้วก็นั่งหลับกลับมายังระเบียงริมน้ำหน้าที่ทำการมูลนิธิ ดื่มกาแฟร้อนกับไข่ลวกบ้าง แต่บ้างก็นั่งลงที่โต๊ะอาหาร กินข้าวต้มเครื่องร้อนๆ ท่ามกลางไอเย็นๆยามเช้า
อิ่มกันจนได้เวลา 09.00 น. องค์ผ้าป่าสามัคคีก็ถูกอุ้มไปยังสำนักสงฆ์บ้านกิตตินันท์ ศาลาการเปรียญได้ใช้ประโยชน์อีกครั้ง รับศีลรับพรแล้วก็รับเหรียญหลวงพ่อสดวัดปากน้ำมาบูชา อิ่มตามอิ่มใจกับการชมธรรมชาติบนดอยเสมอดาว อิ่มข้าวต้มร้อนๆแล้วก็อิ่มบุญจากพระสงฆ์ในพุทธศาสนา กลุ่มสมาชิกผู้บูชาความดีก็เดินทางกลับที่ทำการมูลนิธิเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญการประชุมเพื่อพิจารณาผลงานของมูลนิธิในปีที่ผ่านมา
โปรดติดตามตอนต่อไป