อุปสมบททดแทนพระคุณและสืบทอดพระศาสนา
ลุงดำ/เรื่อง ธนเดช เปาอินทร์-ภาพ
"กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้เคยประมาทล่วงเกินท่านต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ทั้งตั้งใจก็ดี มิได้ตั้งใจก็ดี ขอให้ท่านจงอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนตราบเท่านิพพานเทอญ"
เมื่อกล่าวแล้วเสร็จ ผู้ขอบวชก็ก้มลงกราบบิดามารดาและผู้มีพระคุณอันเป็นญาติผู้ใหญ่ได้ปลาบปลื้ม ยามเมื่อบุตรชายสุดรักได้สละเส้นผมที่เคยหล่อเหลา คิ้วที่เคยดกดำและยาวโง้ง น้ำตาคลอเบ้าทั้งผู้ขอและผู้ให้
มันเป็นภาพประทับใจที่คิดถึงคราใด น้ำตาจะไหลออกตาทุกที โอ้ พระคุณแม่นี้(พ่อด้วยว่ะ)
วันที่ 3 เมษายน 2553 ฤกษ์งามยามดี วีระวัฒน์ เปาอินทร์ กราบขอลาอุปสมบทเมื่ออายุไขเกิน 20 ปี เพื่อทดแทนพระคุณญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก (นส.สิริ เปาอินทร์) และบิดามารดา ดต.เดชา-พรรักษ์ เปาอินทร์ (+แม่ยุพิน+แม่ธนิดา) หลังสำเร็จปริญญาตรีมีงานทำมั่นคง ว่ากันว่า เห็นท่าจะบวชก่อนเบียดเสียละมั้ง แต่อย่างไรก็ดี ลุงดำน่ะเบียดก่อนบวชโว๊ย ตามรอยพระสมณโคดมเป๊ะเลย
เมื่อป้าสิริจดกรรไกรตัดปลายผมให้กับหลานรักนั้น น้ำตาคลอเบ้า มันเป็นความปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจที่หลานชายบวชให้ได้เกาะผ้าเหลืองยามเมื่อเฒ่าชะแรแก่ชรา ก็แกไม่มีบุตรสักคน เมื่อได้หลานชายให้กุศล เป็นลุงดำก็ต้องน้ำตาคลอเหมือนกัน ทุกคนยืนมองด้วยความรู้สึกที่อาจแตกต่างกัน
นานทีปีหนจึงจะได้มีโอกาสไปงานบวชพระมันก็น่าประหลาดใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ทะยอยกันร่วมส่วนกุศลโกนผมให้นาค แต่งองค์นาคด้วยชุดขาวบริสุทธิ์ ถ้าเป็นสมัยก่อนๆจะต้องให้นาคคาดเข็มขัดนาคของแม่หรือของย่าหรือยาย แต่วันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อถึงคราวแห่นาคไปวัดและเวียนรอบโบสก์ สมัยก่อนนั้นใช้เดินโดยมีเพื่อนหนุ่มผู้แข้งแรงให้ขี่คอ หรือไกลมากก็ใช้ม้าย่องเหยาะไปตามจังหวะดนตรีมโหรีที่เป่านำขบวน ส่วนญาติโยมก็ฟ้อนกันระเนนไประเนนมา (เมาได้ที่) ลูกเศรษฐีหน่อยก็มีทั้งแห่ด้วยม้าและช้าง ใหญ่มากๆ
แต่เดียวนี้ก็เลยแห่นาคด้วยรถยนต์ไปวัด วนรอบโบสก์ก็เดินวนเอา แต่ขาดไม่ได้ก็คุณอาผู้เปี่ยมด้วยอารมณ์สุนทรี อาเฮ่าและทีมงาน ร่วมกันแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นที่ครึกครื้น เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากญาติมิตรถ้วนหน้า กับลีลาสะบัดช่อของพ่อเขาละ เมื่อเวียนรอบครบสามรอบก็ให้พ่อแม่จูงนาคเข้าโบสก์ โดยต้องก้าวข้ามธรณีประตูโบสก์ กราบพระประธานสามครา แล้วรับเครื่องอัฎฐบริขารไปนุ่งห่ม ญาติสนิทมิตรสหายแห่กันนั่งเบื้องหน้าพระพุทธในโบสก์ อารมณ์นิ่งสนิท เงียบจนวังเวง เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
เรื่องที่ผู้ขอบวชต้องทำเป็นสำคัญคือ คำขานนาคต้องท่องได้แม่น พระกรรมวาจาจารย์(พระพี่เลี้ยง) จะคอยช่วยหากติดขัด พระอุปัชฌาย์จะเริ่มการสั่งสอนนาค และทำการอุปสมบทให้จนแล้วเสร็จ ช่วงเวลาดังกล่าวใช้เวลานาน และต้องอยู่ในความสงบ
เมื่อกำลังเข้าพิธีบวชอยู่นั้น หากนาคมีปัญหาใดๆไม่ว่าเรื่องคดีความ ข้อติฉินนินทา ร่างกายไม่ครบสามสิบสอง หรือเคยไปทำผู้หญิงท้อง แล้วสาวมาร้องคัดค้านกันกลางโบสก์ก็อดบวชทันที
ครั้นผ่านพิธีกรรมราบรื่น พระใหม่ก็จะเดินออกจากโบสก์ ครั้งนี้แหละที่ญาติโยมจะรีบแย่งกันนำจตุปัจจัยใส่ในย่ามพระใหม่ ถือกันว่าได้บุญมากมายนัก ได้ร่วมแห่แหนไปสวรรค์ด้วย
ถ้าเป็นสมัยก่อน พระใหม่จะจำวัดโดดเดี่ยว แต่สมัยใหม่พระใหม่ได้นิมนต์ให้มาร่วมงานเฉลิมฉลองได้ ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยแต่อย่างใด
รุ่งเช้าทำบุญพระใหม่ ถวายภัตตาหารเช้า ญาติผู้ใหญ่ได้ปลาบปลื้มอีกรอบ เมื่อได้กล่าว "สาธุ" แล้วยกมือพนมแนบเหนือหน้าผาก
หลังงานบวชเก็บข้าวของเครื่องใช้เข้าที่ ถ้าสมัยก่อนนี้จะไปยืมของที่วัดมาใช้ก็ต้องส่งของคืนกันวุ่นวายเชียวละ แต่สมัยนี้อะไรๆก็สั่งโต๊ะจีนมาจัดเทียบให้เลย สบายไปอีกอย่างหนึ่ง
อยากรู้ข้อมูลละเอียดๆ ดูได้ที่ www.taladchai.igetweb.com
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ กล่าวยินดีปรีดาให้หลาน
นพ.เลี้ยง เปาอินทร์ ดีใจเหมือนกัน
พล.ต.เสนาะ เปาอินทร์ ยินดีด้วย
ครอบครัวดต.เดชา เปาอินทร์ ปลื้มสุดๆ
ขบวนแห่นาคสนุกสนานตามประสา