สะพานขอม ปราสาทหิน : ร่องรอยแห่งขอม แห่งเมือง เจ้าหญิงไอ่คำ
“สาวภูไท”เรื่อง-ภาพ
สะพานขอม (สะพานหิน) เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยหินแลง ทอดยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่ตรงแยกถนนสายสกล-อุดร (ทางหลวงหมายเลข ๒๒) บริเวณหน้าประตูเมืองสกลนครพอดี
พื้นที่บริเวณแถบนี้คือที่ลุ่มริมหนองหานอันกว้างใหญ่เป็นทะเลสาบ ซึ่งมีเกาะเล็กใหญ่ผุดโผล่อยู่กลางหนองมากมาย เป็นบ่อเกิดแห่งตำนาน ท้าวผาแดง นางไอ่คำธิดาพญาขอม และกระฮอกด่อน(กระรอกเผือก)ผู้เป็นโอรสของพญานาค คือ ท้าวภังคี ซึ่งแปลงร่างมาเพื่อยลโฉมสาวงามแห่งเมืองมนุษย์ ชื่อ นางไอ่คำ
สะพานขอม
นั่นเป็นตำนานซึ่งก็คือร่องรอยอย่างหนึ่งที่ปรากฏคำว่าขอม นอกเหนือจากสะพานดังกล่าว ยังมีร่องรอยที่เป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ อย่างปราสาทหิน เช่น พระธาตุภูเพ็ก พระธาตุนารายณ์เจงเวง ปราสาทบ้านพันนา และปราสาทดูม เป็นต้น
เมื่อครั้งเมืองสกลนครยังไม่เจริญด้วยวัตถุสถาน จนถนนหนทาง ตึกราม บ้านช่องแน่นหนาอย่างทุกวันนี้นั้น เมืองสกลนครเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ สวยงาม สงบเงียบ อยู่ริมฝั่งหนองหาน มีทิวเขาภูพานทอดเป็นแนวเขียวครึ้มอยู่ทางด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นต้นน้ำ ลำธาร เล็กใหญ่ หลายสายไหลรวมสู่หนองหาน สะพานขอมทอดยาวเป็นทางข้ามลำธารสายเล็กไม่ไกลจากที่เห็นในปัจจุบันนัก ครั้นบ้านเมืองเจริญขึ้นถนนหนทางขยายกว้างใหญ่และสูงขึ้นจนหลายสิ่งจมหายลงใต้ดินเป็นที่น่าเสียดาย มรดกทาง ประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ก็ไม่แตกต่าง ต่อมาจึงได้รับการรื้อฟื้นสร้างขึ้นมาใหม่ที่เห็นในปัจจุบัน เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของเมืองบอกให้รู้ว่า ครั้งหนึ่งเราคือขอม หรืออยู่ใต้อิทธิพลของขอมที่มีศูนย์กลางอยู่เมืองพระนคร หรืออาจก่อนหน้านั้น เช่น เจนละ ที่มีศูนย์กลางอยู่แถบวัดพูจำปาศักดิ์
เป็นที่ยอมรับกันว่าดินแดนแห่งอุษาคเนย์นี้เคยมีอาณาจักรยิ่งใหญ่แผ่อิทธิพลครอบไทย ลาว เขมร เวียดนามบางส่วนที่ชื่อ อาณาจักรเมืองพระนคร หรือขอมโบราณ ซึ่งมีศูนย์กลางที่นครวัด อาณาจักรนี้ก่อตั้งขึ้นและเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้กว่า ๖๐๐ ปี ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๙ ศิลปวัตถุ และโบราณสถานอันเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรส่วนใหญ่สร้างด้วยหิน ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพ อาคาร สิ่งปลูกสร้าง องค์ประกอบประดับประดาที่สลักจากหินทราย ตลอดซุ้มประตู สะพาน ทางเดิน ลาน และกำแพงแก้ว แม้หลายแห่งจะปรักหักพังไปตามกาลเวลา แต่หลายแห่งยังคงยืนตระหง่าน สง่างาม ได้รับการบูรณะให้กลายเป็นมรดกล้ำค่ารันเอานักท่องเที่ยวสู่ท้องถิ่นปีละไม่น้อย
อิทธิของขอมในดินแดนแถบนี้ใช่จะมีเพียงโบราณวัตถุ โบราณสถาน กำแพงหิน บาราย เท่านั้น ยังมีร่องรอยแห่งความมีอยู่แทรกซอนในแนวคิด ความเชื่อ และศรัทธา ในตำนานพื้นบ้าน ผสมผสานในเรื่องใหม่ ความเชื่อใหม่ บางตำนานเกิดจากความพิศวงสงสัย ความไม่เข้าใจ และถูกปรับแต่งให้กลืนกลาย แต่ร่องรอยยังคงมีให้เห็นแทรกอยู่ในเนื้อหา ในตัวละคร ขอม นางพญาขอม นาค พระฤาษี พระอินทร์ พระพรหม ฯลฯ
ปราสาทหินที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเมืองพระนครส่วนใหญ่สร้างขึ้นเนื่องด้วยลัทธิเทวะราชา ยืนยงรุ่งเรืองอยู่กว่า ๖๐๐ ปีกลับถูกลืมเลือนแทบสูญสิ้นไปในช่วงหนึ่งด้วยแนวคิดใหม่ทางพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่มุ่งสอนให้คนเห็นอนิจจังความไม่แน่นอนแห่งสรรพสิ่งความเท่าเทียมแห่งชีวิตที่ดำรงอยู่ในความเป็นคนรุกล้ำเข้ามาแทน
แน่นอนเรามิอาจรู้รายละเอียดได้ว่าการสร้างความยิ่งใหญ่ที่ปรากฏมาเท่าทุกวันนี้นั้น ความเป็นอยู่และการดำเนินชีวิตของผู้คนผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ และสนับสนุนเป็นเช่นไร ความยิ่งใหญ่อลังการของงานสร้างแห่งศิลปะปราสาทสร้างความตลึงตะลานให้ทุกสายตาที่ได้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามอ่อนช้อยกลึงเกลาเสลาสลักเหล่านางอัปสรา หรือพรรณบุปผาที่ประดับประดาตามส่วนที่เป็นผนัง เสากรอบประตู ทับหลัง หน้าบัน และส่วนอื่น ๆ ความถมึงทึงน่าเกรงขามของอสูรย์ นายทวารบาล ที่ยืนตระหง่านดูน่าพรั่นพรึง หรือความนุ่มนวลน่าศรัทธาแห่งองค์พระศิวะที่แวดล้อมด้วยเหล่าเทพ ที่รังสรรค์ขึ้นจากแท่งหินใหญ่โตมโหฬารต้องใช้กำลังช้างสารจึงจะขยับเขยื้อนไหว
สิ่งเหล่านั้นประดิษฐ์คิดสร้างขึ้นมาได้ง่าย ๆ นักหรือในยุคแห่งเครื่องไม้เครื่องมือ เครื่องผ่อนแรง อันล้าสมัยอย่างเมื่อหนึ่งพันปีล่วงมาแล้ว
นี่อะไรหากมิใช่แรงศรัทธา
แรงศรัทธาชักนำให้จิตกล้าแกร่ง และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ได้เสมอ
แน่นอน จากหลักฐานที่ปรากฏ และร่องรอยที่เหลืออยู่เป็นที่รับรู้กันแล้วว่าสิ่งมหัศจรรย์นี้เกิดจากแรงศรัทธาที่มีต่อเทวะ เทวะผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ๓ โลก อันได้แก่ โลกมนุษย์ บาดาล และสวรรค์
เมื่อเทวะในอุดมคติเป็นหนึ่งเดียวราชาผู้มีชีวิตจริง ยิ่งใหญ่ เก่งกล้า นำพาจิตวิญญาณของผู้คนให้กล้าแกร่ง สิ่งใด ๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกมนุษย์
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพลังศรัทธาเสื่อมสูญ จิตวิญญาณเดิมถูกปรับเปลี่ยนทำลายไป ใส่ความคิดใหม่ทำลายความเชื่อเดิม พลังแห่งการทำลายก็กล้าแกร่ง อาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองพระนครก็ล่มสลาย
เมื่อจิตวิญญาณที่ถูกขังในความเชื่อแห่งเทวะถูกปลดปล่อย และปรับเปลี่ยน ด้วยความศรัทธาแห่งความเป็นตัวตนของทุกผู้คน ผู้คนต้องพัฒนาจิตแห่งตนเพื่อประโยชน์แห่งปวงชน คนย่อมสำคัญกว่าวัตถุ สิ่งของรูปเคารพที่ย่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ผู้คน เผ่าพันธุ์ต้องคงอยู่ เพื่อสืบทอดเชื้อสายแห่งเผ่าพันธุ์สืบไป
สะพานขอมที่เคยยิ่งใหญ่แห่งเมืองผาแดง นางไอ่คำ ครั้งหนึ่งก็จึงถูกถนนสมัยใหม่ถมทับให้จมหายลงใต้ดิน ต้องมีการรื้อฟื้นขึ้นมาเพื่อจารึกร่องรอยแห่งขอมก่อนจะลบเลือนไปจนหมด
ร่องรอยขอมแห่งเมืองหนองหานหลวงที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือ พระธาตุนารายณ์เจงเวง และพระธาตุภูเพ็ก
พระธาตุนารายณ์เจงเวง
พระธาตุนารายณ์เจงเวง เป็นสถาปัตยกรรมศิลปะขอมแบบปาปวน อายุราวพุทธศักราชที่ ๑๕๕๐-๑๖๕๐ ยกเว้นบางส่วนที่มีการเสริมเพิ่มภายหลัง ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุนารายณ์เจงเวง บนถนนสายเดียวกับที่ตั้งของสะพานขอม ห่างกันประมาณ ๕ กิโลเมตร เป็นปราสาทหินทรายขนาดกลางตั้งอยู่บนฐานแลงมีบันไดสูง ๗ ชั้นทางด้านทิศตะวันออก ตามหน้าบน ทับหลัง และเสาประตูมีภาพสลักสวยงาม ได้รับการซ่อมแซมปรับปรุงขึ้นในปี ๒๕๒๑-๒๕๒๕ ปัจจุบันมีสิ่งปลูกสร้างใหม่ของทางวัดขึ้นเทียบเคียง แทรกซอนทำให้เป็นปัญหาทางด้านภูมิทัศน์ทางสถาปัตยกรรม แต่นั่นก็คือศรัทธาบนพื้นฐานแนวคิดแห่งความเจริญที่มิอาจขวางกั้น
ตำนาน ของพระธาตุนารายณ์เจงเวงกล่าวถึงในสมัยพระยาสุวรรณภิงคารผู้ครองเมืองหนองหานหลวง บริเวณที่ตั้งพระธาตุนี้เป็นเขตอุทยานหลวงห่างจากพระราชวังสามพันวา เมื่อพระยาภิงคารได้ทราบข่าวว่า หลังจากการเสด็จสู่ปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ พระองค์จะเชิญเสด็จพระอุรังคธาตุมาประกิษฐาน ณ ภูกำพร้า (พระธาตุพนม) พระยาสุวรรณภิงคารจึงได้จัดให้มีการสร้างพระธาตุปราสาทขึ้นเพื่อประดิษฐานพระอังคาร
โดยมีการสร้างปราสาทพร้อมกันสององค์ คือพระธาตุนารายณ์เจงเวง กับพระธาตุภูเพ็ก เป็นการสร้างแข่งกันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง มีกติกาว่าสร้างให้เสร็จก่อนรุ่งเช้าของวันใหม่ หมายเอาดาวเพ็ก(ดาวประกายพรึก)ที่ส่องแสงขึ้นสูงถึงปลายตาลในตอนหัวรุ่งเป็นสัญญาณการจบงาน
ทั้งสองฝ่ายจึงลงมือสร้างอย่างรีบด่วน ฝ่ายหญิงนั้นสร้างปราสาทในราชอุทยานโดยมีพระนางเจงเวงมเหสีห์ของพระยาภิงคารเป็นผู้กำกับงาน ฝ่ายผู้ชายนั้นปีภูเขาขึ้นไปสร้างปราสาทบนยอดเขาลูกหนึ่งในเทือกภูพานห่างกันประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
เมื่อถึงกลางดึกฝ่ายหญิงเล่นฉลาดอยากให้ฝ่ายชายแพ้จึงได้เอาโคมไปขึ้นไปแขวนบนปลายตาลส่องแสงราวกับดาวเพ็กขึ้นแล้ว ฝ่ายชายซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกสร้างปราสาทไปได้ครึ่งหลังก็มองเห็นแสงรุ่งที่ปลายตาลจึงตกหลุมมายาของฝ่ายหญิงพากันหยุดสร้างปราสาทไปก่อน ฝ่ายหญิงที่สร้างไปเรื่อย ๆ ตลอดคืนจึงเป็นฝ่ายชนะด้วยมารยาหญิง อย่างไรก็ตามนั่นคือตำนาน
พระธาตุภูเพก
พระธาตุภูเพ็ก ได้ชื่อตามชื่อดาวที่มองเห็นบนปลายตาลนั่นเอง ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุภูเพ็ก ต.นาหัวบ่อ อ.เมือง จ.สกลนคร ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๒๒ กิโลเมตร ถึงตัววัดแล้วต้องปีนบันไดชัน ๆ ขึ้นไปอีก ๔๙๑ ขั้น เป็นการประลองกำลังของผู้อยากขึ้นไปชมไปในตัว
เป็นปราสาทที่ไม่มีส่วนยอด และส่วนประกอบหลายส่วนไม่เสร็จสมบูรณ์ และปรักหักพัง หรือถูกเคลื่อนย้ายไปก็ไม่ทราบได้
ปราสาทภูเพ็ก สร้างด้วยหินทรายบนฐานแลง ๒ ชั้น ชั้นแรกสูง ๑.๕๘ เมตร ชั้นที่ ๒ สูง๐.๗๐ เมตร ตัวปราสาทสูง ๗.๖๗ เมตร สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที ๑๕ บริเวณที่ตั้งปราสาทเป็นยอดเขาที่มีลานกว้างเต็มไปด้วยต้นไม้ป่าไม้ มีศาสนสถานของวัดพระธาตุภูเพ็ก เช่น กุฏิที่พำนักสงฆ์ แต่ด้วยความสูงขึ้นลงลำบาก ทำให้มีพระประจำอยู่น้อย ส่วนใหญ่ท่านอยู่ด้านล่างตรงเชิงเขาซึ่งเป็นที่ตั้งวัดและมีญาติโยมเดินทางไปนมัสการมิได้ขาด แม้บางคนมุ่งหน้ามาชมปราสาทภูเพ็กแต่แหงนมองดูบันไดที่หายลิบ ๆ ขึ้นไปเบื้องบแล้วก็หยุดทำใจ และยังมีหลายคนขึ้นไปได้ครึ่งหนึ่งก็ยอมแพ้กลับลงมา
ร่องรอยแห่งขอมที่อยู่เบื้องบนนั้นช่างอยู่ไกลเกินฝันจริง ๆ
๐๐๐๐๐๐