กิ่งคำปายกับยายทวด ๔
“เอื้อยนาง”
๔.แม่
เสียงเคาะประตูดังขึ้น กรองทองแม่ของกิ่งคำปายโผล่เข้ามา ติดตามด้วยเพื่อนรัก มาลีผู้เป็นแม่ของโมบายเพื่อนรักของกิ่งคำปายนั่นเอง ทั้งสองมีสีหน้าเครียดจนเห็นได้ชัด ริมฝีปากของแม่ที่เคยแดงเรื่อสดสวยวันนี้กลับซีดเซียวไร้สีเคลือบทา และแต้มเติมให้สวยสะพรั่งดั่งเคย ดวงตาแห้งผากไร้น้ำหล่อเลี้ยง แม้เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวจะยังคงไว้ซึ่งรสนิยมอยู่เหมือนเดิม แต่บุคลิกท่าทางนั้นเต็มไปด้วยความวิตกทุกข์ร้อนทำให้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม่ลืมความเป็นคุณนายท่านนายอำเภอ ผู้แสนสวยคล่องแคล่ว เป็นที่พึ่งพาของคนทั้งเมือง และสำนักงานไปถนัดใจ
ผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยกันนั้นยิ่งดูแย่กว่า ทั้งสีหน้าท่าทางและการแต่งกาย ดูเหมือนว่ามาลีจะไม่ได้หลับนอน หรือแม้แต่กินข้าวกินปลามาหลายวัน
เหตุการณ์ที่เกิดกับลูกแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องเดือดร้อนเป็นธรรมดา
“กิ่งฟื้นแล้ว”
ยายสร้อยสายคำละล่ำละลักบอกก่อนที่ทั้งสองจะก้าวพ้นธรณีประตูห้องเข้ามาด้วยซ้ำ
“หรือคะ”
สีหน้าของแม่กรองทองสดชื่นขึ้นนิดหนึ่ง แล้วสลดลงอย่างเดิมเมื่อมองดูสภาพของลูกสาวคนโตถึงจะไม่ได้เลี้ยงดูใกล้ชิดแต่แม่ก็รักและห่วงใยกิ่งคำปายอยู่ทุกลมหายใจ ห่วงใยมากมายกว่าลูกชายสองคนเล็กเป็นหลายเท่า และรู้สึกผิดเสมอเมื่อคิดได้ว่า ลูกเป็นกำพร้าขาดพ่อมาแต่เล็กแล้วเธอยังปล่อยให้อยู่กับยายเพียงลำพังอีก
แต่ชีวิตบางครั้งมีหนทางให้เลือกมากกว่าหนึ่งทาง เมื่อเลือกทางหนึ่งก็ต้องทิ้งอีกทางเสมอ กรองทองคิดว่าเธอเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เธอเลือกแต่งงานใหม่กับปลัดอำเภอหนุ่มเพื่อกู้หน้าและชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล เพราะตัวเองเคยผิดพลาดในวัยสาว ได้กับผู้ชายไร้หัวนอนปลายเท้า ได้ลูกสาวติดมาหนึ่งคน ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องละทิ้งลูกน้อยให้อยู่กับแม่
“เธอจะหอบลูกไปเคียงข้างเขาได้อย่างไร เขาเป็นหนุ่มทั้งแท่ง มีตำแหน่งหน้าที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั้งอำเภอ กลับได้เมียแม่ลูกอ่อน” มาลีเพื่อนรักพูดอย่างหวังดี มองดูอนาคตของเพื่อนและครอบครัวใหม่ด้วยความห่วงใย และปรารถนาดี
และกรองทองก็รู้ว่ามาลีพูดถูก ชื่อเสียง หน้าตา เป็นสิ่งที่ค้ำชูผู้คนให้ก้าวหน้า หรือถอยยหลังได้ เมื่อปลัดหนุ่มยอมเสียสละมารักแม่ลูกอ่อนอย่างเธอโดยไม่รังเกียจ ไม่ต้องใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างนี้ เธอต้องหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขาด้วย
“แม่เลี้ยงเอง”
ยายสร้อยสายคำประกาศแล้วกอดหลานไว้แนบอกอย่างรักใคร่หวงแหน เหมือนจงอางหวงไข่ซึ่งเป็นภาพที่ทุกคนทั้งญาติมิตรเพื่อนฝูง และแม้แต่ลูกเขยคนใหม่ของยายสร้อยสายคำเองเห็นแล้วก็วางใจว่า คงจะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ทั้งยายและหลาน ทั้งเขาและครอบครัวใหม่
แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าความรักที่มากมายท่วมท้นก็เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะความรักที่มีแต่ให้ตามใจและหวงแหนแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แบบยอมทุกอย่างตามข้อเรียกร้องที่ออดอ้อนออกจากริมฝีปากน่ารักของหลานกำพร้า
ก็คงจะดีถ้ายายสร้อยสายคำกับกิ่งคำปาย เป็นยายหลานในยุคสมัยที่ไม่มีจอมอนิเตอร์ และดิจิตัลเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ของเด็กวัยใสๆ อย่างนี้ กิ่งคำปายก็คงได้เป็นไข่ในหินที่ไม่ต้องกลัวแตกวิ่นเพราะแรงกระทบจากสิ่งใดๆ
มาถึงวันนี้กรองทองจึงได้แต่โทษตัวเองเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่แปลกเปลี่ยนและเสี่ยงอันตราย แม้จะเคยโทษว่ายายสร้อยสายคำผู้เป็นแม่ตามใจหลานมากไป แต่กรองทองก็ไม่เคยขัดใจลูกสาวได้เช่นกันเมื่อเด็กสาวยื่นข้อเรียกร้อง มอเตอร์ไซค์คันใหม่ที่พาให้ลูกเจ็บอยู่นี่ก็เธอเองเป็นคนซื้อให้ เพราะไม่อยากให้ลูกน้อยหน้าเพื่อนฝูงมิใช่หรือ
“ลูกเจ็บไหม หิวไหม นอนหลับไปตั้งสามวัน...”
กรองทองรัวคำถามแบบไม่ต้องการรอคำตอบ กางแขนโอบกอดลูกไว้เหมือนเกรงว่าร่างน้อยที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงคนป่วย มันจะร่วงหล่นหายวับไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
ความรู้สึกห่วงหา เห็นคุณค่า ที่น่าหวงแหนในสิ่งใดสิ่งหนึ่งของคนเรามักเกิดขึ้นเมื่อสำนึกว่าของสิ่งนั้นกำลังหลุดหายไป มากกว่าตอนอยู่ในสภาวะปกติเสมอ
“หนูกิ่งยังดี แต่โมบายนั่นสิ...”
มาลีแม่ของโมบายพูดได้เพียงเท่านั้นเสียงก็ขาดหาย เหมือนมีก้อนแข็งมาจุที่ลำคอ ที่สุดก็สะอื้นฮักออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น กรองทองผละจากลูกไปปลอบใจเพื่อน ฝ่ายนั้นพยายามกลั้นสะอื้นจนตัวโยนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายน้ำ ดูเหมือนว่ายิ่งมองเห็น
กิ่งคำปาย หยดน้ำตาจากดวงตาของเธอยิ่งหลั่งรินไม่ขาดสายที่สุดเพื่อนทั้งสองต้องออกจากห้องไปอีก ทิ้งความสงสัยไว้ให้เด็กสาวผู้นอนแบบอยู่บนเตียง
“โมบายอยู่ไหนคะยาย เขาเจ็บมาไหม”
ถามอย่างห่วงใย ภาพและเสียงก่อนรถจะเหวี่ยงลงข้างถนนปรากฏขึ้นในความทรงจำ เพื่อนคงเจ็บมากกว่าเธอแน่ เพราะเพื่อนยืนคร่อมอยู่ข้างหลัง คงกระเด็นไปไกลไม่น้อย อีกอย่างโมบายไม่ได้สวมหมวกกันกระแทก โมบายมักบ่นว่ารำคาญและเหวี่ยงทิ้งทุกทีที่เพื่อนยื่นให้
“เขาอยู่ในห้อง ไอซียู ไม่มีใครเห็นเขาหรอก หมอห้ามเยี่ยม”
เสียงยายเบาหวิว เหมือนหวั่นเกรงว่าคำตอบนั้นจะตอกย้ำ ทำให้คนเจ็บกระทบกระเทือนใจ จนเจ็บหนักลงไปอีก
“อย่าห่วงโมบายเลย เขาสบายแล้วหละ”
สำเนียงลาวเหน่อๆ ของใครอีกคนดังแทรกขึ้น เด็กสาวมองหาที่มาของเสียงแต่ไม่พบ กิ่งคำปายจำได้ว่า น้ำเสียงแบบนี้นั้น เป็นเสียงของยายทวดคำปลิว ผู้ปรากฏในความฝัน ผู้พาเธอ
กลับมาจากดินแดนประหลาด ที่นั้นเธอได้พบโมบายและเพื่อนใหม่ใบหน้ายิ้มแย้ม สวยเย็น เปี่ยมสุขและเป็นมิตรมากมาย
“ใช่เราไม่ต้องห่วงโมบายหรอก เขาอยู่สบาย เขามีเพื่อนมากมาย”
เสียงพึมพำขมุบขมิบลอดออกมาจากไรฟันคนป่วยริมฝีปากแทบไม่ขยับ แต่ยายผู้นั่งเฝ้าและสังเกตอาการไม่วางตายังได้ยินจนได้แต่ไม่ชัดนัก เหมือนเสียงคนละเมอมากกว่า
“หนูพูดอะไร ฝันไปหรือเปล่า”
ยายก้มลงมาถามใกล้ๆ จนได้กลิ่นหมากพลูจากปาก
นั่นซีนะ กิ่งคำปายก็ตอบยายไม่ได้ว่า เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ แต่สิ่งที่จำได้รางเลือนคือผู้ที่เอ่ยอ้างว่าเป็นยายทวด
“หนูเห็นเขา..ทวดคำปลิวพาหนูไป”
“ทวดคำปลิว…”
ยายสร้อยสายคำใช้มือทาบอกตัวเอง ปล่อยเสียงแผ่วเบาออกมาอย่างไม่แน่ใจ และตกใจระคนกัน จ้องมองหน้าซีดเซียวและริมฝีปากแห้งผากของหลานรักอย่างเพ่งพิศ ยื่นมือไปแตะผ้าพันแผลที่หัวเธอเบาๆ อย่างห่วงใย มีเลือดสีแดง เรื่อๆ ไหลซึมออกมาเล็กน้อย พอดีพยาบาลเข้ามาบอกว่าได้เวลาเปลี่ยนผ้าพันแผล ยายจึงต้องล่าถอยทั้งๆยังมีแววกังวลอยู่ในสีหน้าและแววตามากมาย
“คุณยายออกไปคอยข้างนอกก่อนก็ได้นะคะ”
พยาบาลอีกคนบอกพลางเข็นรถเครื่องมือเข้าในห้อง หญิงชราทำตามโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกยังกรุ่น ใจยังครุ่นคิดถึงสิ่งที่หลานสาวพูด
เจ้านางคำปลิวแห่งนครจำปาศักดิ์ ผู้เป็นแม่ของยายสร้อยสายคำ และเป็นยายทวดของกิ่งคำปายนั้นตายไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สร้อยสายคำยังเป็นเด็กทารก เกือบแปดสิบมาแล้วกระมั้ง แม้แต่สร้อยสายคำเองก็ยังจำหน้าแม่ไม่ได้ ไม่มีอะไรให้ระลึกถึงนอกจากตลับเงินลายพญานาคใบจิ๋วที่ป้าผู้เลี้ยงดูสร้อยสายคำนำมามอบให้เป็นมรดก
ตลับเงินลายพญานาคที่ป้าบอกให้เก็บรักษาไว้บนแท่นบูชา เก็บดอกไม้ จุดธูปเทียนบอกกล่าวบูชาทุกวันศีลวันพระ
“แม่ของเอ็งอยู่ในนี้ แม่จะช่วยปกปักรักษา”
หลายสิบปีเท่าอายุของสร้อยสายคำที่เจ้านางคำปลิวจากโลกนี้ไป ไม่มีใครจำได้ และไม่มีใครเอ่ยถึงมานานแล้ว เมื่อเด็ดสาวนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ผู้นอนป่วยปางตายเอ่ยชื่อนั้นออกมา จึงทำให้ยายสร้อยสายคำรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนักว่าแม่ของตนเองจะมารับวิญญาณของหลานรักไป
หญิงชรากระวนกระวายอยู่นอกห้องคนป่วย จนพยาบาลเข็นรถออกมาจากห้อง รีบถลาเข้าไปดูหลาน ปรากฏว่าคนป่วยหลับตานิ่ง ใบหน้าสวยซึ้งซีดขาวแต่ดูสงบนิ่งไร้ความเจ็บปวด เหมือนคนนอนหลับอย่างเป็นสุข มือที่ผ้าพันแผลหนาเตอะกุมจี้ห้อยคอตลับเงินลายพญานาคไว้แนบอก
“ ปล่อยให้หลับพักผ่อนอย่างนั้นดีแล้วหละ”
พยาบาลกระซิบก่อนปิดประตู เห็นอย่างนั้นสร้อยสายคำค่อยคลายใจ หันไปหาตะกร้าหมาก ค้นกุกกักหาหมากมาเคี้ยวผ่อนคลายความกังวล จนไม่ได้สังเกตว่าตลับเงินใบจิ๋วในมือหลานเปิดแง้ม กลิ่นหอมหุงกระดังงาผสมหว่านหอมและดอกจำปาลาวคลุกเคล้าการะเกดโชยกรุ่นออกมาอวลอบทั้งห้อง ทำให้ยายสร้อยสายคำรู้สึกสดชื่นขึ้น และเกิดความหิวขึ้นมาตะหงิดๆ เป็นความหิวครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องกับหลานสาว ยายของคนเจ็บจึงคว้าตะกร้าหมากเดินออกจากห้องไปบอกพยาบาลเวร
“ยายจะไปหาข้าวกินที่โรงอาหาร ฝากห้องเบอร์สิบสามด้วยนะจ๊ะ อีกหน่อยแม่เขาก็คงกลับมา”
พยาบาลพยักหน้ายิ้มให้อย่างใจดีก่อนเอ่ยว่า
“ยายไปเถอะนะคะอย่าห่วงมากนักเลย ให้คนป่วยได้พักมากๆ น่ะดีแล้ว”
*************************************************