เสือกลิ่นสาบ
โดย อินทรี ดำ
ตอน 13. จูงจมูกช้าง
ทุกวันที่ว่างเว้นจากการประชุมประจำเดือน หรือประชุมฉุกเฉิน หรือกรณีที่มีผู้มาประเมินและติดตามงาน มณีและคณะสายตรวจพิเศษที่ตั้งขึ้นเองแบบ ใครว่างก็ไปด้วยกัน เป็นเรื่องที่ทำกันจนรู้กันดีในหมู่สำนักพัฒนาป่าไม้ที่ นน.2
“วันนี้ได้กำลังกี่คน รถขาวว่างใช่ไหม?” มณีถามสมชาย เจ้าหน้าที่ธุรการเจ้าประจำที่ทำหน้าที่ออกตรวจตราการปราบปรามด้วยทุกครั้ง โดยงานในหน้าที่ที่ทำธุรกรรมผ่านหมดแล้ว
“ถ้าจะได้พี่กับผมเป็นหลักครับ ส่วนลูกจ้างประจำก็ได้ ส่วน สวัสดิ์ แล้วก็ลูกจ้างตัวแสบไอ้ทวีกับไอ้สาครับ รวมเป็น 6 คนครับ”
“ได้ พร้อมแล้วไปกันได้เลยนะ” มณีพูดจบก็เดินเข้าห้องไปหิ้วกระเป๋าถือที่บรรจุปืนสั้น กล้องถ่ายรูป และที่ไม่ลืมก็กระดาษทิชชู 1 ม้วน ขวดน้ำสำหรับกินตลอดการลาดตระเวน มณีหันไปดูแผนที่ระวางที่ติดไว้ข้างฝาที่ทำการแล้วมองหาจุดพิกัดที่สนใจ
“พี่คร๊าบ ทุกคนพร้อมแล้วครับ” สมชายกระโดดเข้าที่นั่งคนขับ มณีก้าวขึ้นไปนั่งที่นั่งประจำ ที่เหลือขึ้นกระบะท้ายรถที่ใช้ไม้กระดานหน้า 1.5 นิ้วกว้าง 8 นิ้ววางพาดขวางกระบะโดยมีตัวล็อคให้ไม้เกาะกระบะได้มั่นคง ปืนลูกซองห้านัดสองกระบอกถูกวางไว้กับพื้นกระบะเพื่อไม่ให้เห็นอุดจาดตาจนเกินไป
ถนนลาดฝุ่นในป่า
มณีแต่งตัวตามแบบฉบับสบายๆ เหมือนไปพักผ่อน เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยืดสีเข้ม ส่วนสมชายแต่งเครื่องแบบสีกากีเต็มยศซี 2 ขีดสองขีดแต่เล็ก มีปืนในซองเหน็บเอวข้างขวา วิทยุสื่อสารเอวซ้าย ท่าทางทะมัดทะแมงเช่นที่เคย ที่แปลกและเป็นเอกลักษณ์ของสมชายคือ ต้องพกเบ็ดตกปลาพร้อมเอ็นอย่างใหญ่ยาวราวๆ 5 เมตรเป็นประจำ สายเอ็นม้วนเป็นวงกลมแล้วใส่ซองพลาสติกซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง
“พี่ๆ ขาดเบ็ดไม่ได้เลยนะพี่” ไอ้สาแซว
“เผื่อไว้โวย” สมชายตอบ เสียงหัวเราะดังครืน
“จะเอาเวลาที่ไหนไปตกปลาพี่” ส่วนแซวด้วยความสงสัย
“เอาเหอะน่า ขอพกติดตัวไว้ก่อน พ่อสอนไว้” สมชายเล่นลิ้นตามบุคลิกชอบสนุกสนานเหมือนเคยสองคนแต่งชุดสีกากีแขนยาว มีแหนบแถบติดหน้าอก และป้ายชื่อพร้อม แต่ไม่มีบั้ง อีกสองลูกจ้างแต่งตามสบายๆ พอรถหันหน้าบึ่งออกที่ทำการ สมชายหันมาถามหัวหน้า
“พี่ ซ้ายหรือขวาครับ”
“ซ้าย ไปเข้าสาลีกทะลุไปสะพานข้ามแม่น้ำน่านแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปเรื่อยๆ เส้นนี้เรายังไม่เคยไปไม่ใช่หรือ” มณีพูดพลางปรึกษาไปด้วยในตัว
“ยังครับ ทางไหนนะ ผมยังนึกไม่ออกเลยพี่” สมชายทำท่างงๆ
“ไปเรื่อยๆ ข้ามสะพานแล้วจะบอกทางให้” มณีพูดจบก็หลับตาพิงเบาะอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อคืนที่ผ่านมานอนดึกไปหน่อย คืนอันแสนสุขกับสาวคู่เต้นรำคนเดิม
“คืนนี้ค้างที่ในเมืองนะ” เพ็ญสาวกลางคืนกระซิบเบาๆ พร้อมเอียงหัวมาซบไหล่
“ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า จะเข้าป่า”
มองหน้าคนพูดแล้วก็อดถอนใจไม่ได้ เรื่องคาวๆ ของชอบ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเหมือนบ้าคลั่ง มันช่างน่าหลงใหล
“อีกสองชั่วโมงก่อนบาร์เลิกซื้อชั่วโมงออกไปแล้วกันนะ”
สาวเจ้ายิ้มด้วยความสาสมใจ และ คืนนั้น แม้จะออกจากบาร์ไม่ดึกแต่กิจกรรมบนเตียงชวนให้เคลิบเคลิ้ม เวลาไม่ได้มานั่งเคาะกะโหลกที่ไหน เผลอเดี๋ยวเดียวก็ล่วงเลยไปถึงตีสองกว่าๆ มณีหลับด้วยความอ่อนเพลียแต่ดูช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน
“พี่ ๆ ตื่นครับ” สมชายเขย่าแขน มณีลืมตาตื่นก็รีบมองซ้ายมองขวา แต่เลยจุดที่คิดๆ ไว้แต่แรก
“เลยมาแล้วว่ะ เลี้ยวกลับเลย เมื่อกี้เห็นทางขวามือที่เลาะเลียบแม่น้ำน่านไหม” มณีถามและมองหน้า สมชายๆ พยักหน้าแล้วเลี้ยวรถขวับฉับพลัน รถมุ่งเข้าเส้นทางลาดฝุ่นแคบๆ เลาะแม่น้ำน่านไปเรื่อยๆ
“เฮ้ย สวนส้มใครหว่า อ้อ มีป้ายบอกชื่อสวนด้วย “ไร่น้ำค้างกลางหาว” มณีชะโงกหน้าไปหลังรถแล้วตะโกนถามเสียงดัง
“ใครรู้บ้างว่าสวนส้มเมื่อกี้ของใคร”
“ไร่สวนส้ม สจ.เตียงครับ ส.จ.เมืองสานี่แหละครับ” มณีฟังเป็นข้อมูลแล้วก็นั่งมองซ้ายขวาซึ่งเป็นไร่ร้างบ้าง ป่าผืนเล็กผืนน้อยที่เหลืออยู่บ้าง มีป่าไผ่ไร่หนาแน่นเป็นหย่อมๆ แต่แล้วรถก็หยุดกึก สมชายดับเครื่องยนต์แล้วรีบบอก มณีนึกถึงสิ่งที่เคยได้รับรู้มาว่า ส.จ.เตียงเป็นลูกช่วงทำไม้ให้กับบริษัททำไม้จังหวัดจำกัด มีช้างกว่า 20 เชือก รวยจนมีสวนส้มขนาดใหญ่เลยหรือนี่
“พี่ ช้างลากไม้ ฝั่งแม่น้ำน่านฝั่งขวาครับ โน่น” พลางชี้มือไปที่ฝั่งตรงข้าม มณีเห็นจะจะสายตาเลยว่า ช้างเชือกหนึ่งกำลังลากไม้แปรรูปขนาดหน้า 6 นิ้วหนาน่าจะ 1นิ้วครึ่ง ไม้คานขนาดยาว ช้างกำลังลากไม้ลงท่าน้ำที่มีรอยครูดขึ้นลง เพื่อรอเรือมารับไปส่งขาย ทุกคนรีบหลบเข้าพงไม้แล้วแอบดูพฤติกรรมการลากไม้เถื่อน
“ช้าง ส.จ.เตียงอีกละมั่งวะ” มณีนึกในใจ
“ถ้าเรายิงปืนขึ้นฟ้าก็จะได้แต่ไม้ของกลาง ทำไงดีกันละนี่ ส่วนมีทางเข้าถึงจุดทำไม้นั่นได้ไหม” มณีหันไปถามส่วน ลูกจ้างประจำคนพื้นที่
“ไม่ได้หรอกครับ เป็นดอยทึบด้วยป่าไม้และไม่มีทางรถยนต์เลยครับ”
“มีทางเดียวแล้ว ว่ายน้ำข้ามไปตรงจุดเหนือเป้าหมายกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งว่ายข้ามใต้จุดลงไป” มณีสั่งการ สมชายล็อครถแล้วพาสากับส่วนไปเหนือน้ำ มณีกับสวัสดิ์และทวีย่องไปใต้น้ำ ทุกคนแก้ผ้าเหลือแต่กางเกงใน ส่วนปืนลูกซองและวิทยุสื่อสารถูกปิดและซ่อนไว้ในรถ
โชคดีที่กระแสน้ำไม่แรงเพราะว่าเป็นฤดูแล้ง น้ำเย็นเฉียบ ใสสะอาด น่าลงอาบเล่นจริงๆ แต่วันนี้ภารกิจเฉพาะหน้า ไม่มีอารมณ์สุนทรีนัก พอหย่อนตัวลงน้ำได้ก็ลอยตัวพยุงปืนสั้นในมัดเสื้อและตนเองข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม การคืบคลานเข้าหาเป้าหมายที่มีเพียงช้างเชือกเดียวกับคนทำไม้ 3 คนพอสูสี
มณีชูนิ้วสี่นิ้วแล้วโบกให้บุกจู่โจม เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนสั่งให้ผู้ร้ายขโมยตัดไม้ยอมจำนน แต่โทษที มอดไม้เหล่านั้นไม่เคยกลัว พลันที่เสียงปืนสงบก็มองไม่เห็นมอดไม้ทั้งสามคนแล้ว เหลือแต่ช้างที่ลากโซ่ผูกกองไม้ตับใหญ่และยาวคาตาอยู่
สมชายควักเบ็ดออกมาคลี่อย่างเร่งด่วน แล้วรี่เข้าหาช้าง เกี่ยวเบ็ดตัวโตเข้าที่ ”จงอยงวงช้าง” ที่กำลังพยายามจะลากกองไม้แปรรูป เสียงร้องแปล๊นดังแสบหูแต่แล้วก็นิ่งสงบอย่างง่ายดาย เมื่อสมชายดึงสายเบ็ดพอตึงมือ ไอ้สาวิ่งไปแก้โซ่ที่ผูกกองไม้แปรรูปแล้วเก็บโซ่มัดติดกับไม้ ส่วนเดินไปตามรอยมอดไม้ที่หนีสุดชีวิต สวัสดิ์นับจำนวนไม้และจดบันทึก มณีนั่งลงมองด้วยแรงที่เหลือน้อย นึกในใจ เมื่อคืนนี้ไม่น่าเบิ้ลเล้..ย
“มีไม้แปรรูปเท่าไร ไม้อะไรบ้าง” มณีถามแล้วหอบ สมชายผูกเอ็นเบ็ดกับต้นไม้ขนาดใหญ่พอควร ช้างยืนสงบนิ่งอย่างกับลูกแหง่
“ไม้แปรรูปขนาด 1 นิ้วครึ่งหน้า 6 นิ้วยาว
“นี่มันซวยจริงๆ นะนี่ เรามาช้าอีกครึ่งขั่วโมงก็คงลงเรือไปขึ้นเวียงสาหมดแล้ว” สวัสดิ์พูดพลางก็มองไปรอบๆ ป่ายังมีไม้สักมากพอสมควร แต่ก็มีต้นใหญ่เหลือน้อยต้นเต็มที
“ส่วน ว่ายน้ำข้ามไป ว.เรียกรถบรรทุกมาขนไม้ ให้ชาวบ้านออกมาทำงานอีก 4 คน ที่เหลือแยกไม้ออกจากกองแบ่งเป็นกองละ 14 เล่ม ที่เหลือรวมไปกองหนึ่ง มัดหัวท้ายและตรงกลางให้แน่นๆ มีเชือกและตอกใช้ได้ทั้งนั้น” มณีแจกแจงงานแล้วมองทุกคนทำงานด้วยความสมใจ
“พี่ ตกลงจะลากไม้ข้ามฟากยังไง” สมชายหันมาถาม
“เอาไม้ลงน้ำแล้วนอนคว่ำใช้มือหรือหาไม้ไผ่ทำพายๆ ข้ามฟากไป ทางเลือกอื่นมีไหม” มณีบอกแล้วถามไปด้วย ทุกคนไม่ตอบแต่ยิ้มแล้วเสียงพูดคุยก็ดังระงม
“กางเกงในบุก” ไอ้สาแหกปาก
“ยังงี้ก็มีด้วย” สมชายโพล่งแล้วหัวเราะด้วยความชอบใจ
“ประสบการณ์ที่หายากนะพวกเรา ตอนข้ามมาจับก็แก้ผ้านุ่งกางเกงลิงมาลุย ตอนขนไม้กลับก็นุ่งกางเกงลิงละเลง ครั้งเดียวในชีวิตโว๊ย” มณีพูดเสร็จอดหัวเราะตามเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เป็นความทรงจำที่ลืมไม่ลง
ไม้แปรรูป
รถบรรทุกมาถึงพร้อมชาวบ้าน ทุกคนต้องนุ่งกางเกงลิงว่ายน้ำข้ามมาช่วยขนย้ายของกลาง ได้คนเพิ่มก็ได้คนช่วยพายหัวท้าย การขนส่งยากแต่ก็เป็นไปได้เรียบร้อย ของกลางไม่ได้หลุดไปไหน ช้างยังยืนนิ่งด้วยกริยาสำรวม หลังบันทึกการจับกุม รถบรรทุกและคณะก็เดินทางไปส่งมอบคดีที่โรงพักตำรวจเวียงสา สมชายทำหน้าที่ใหม่กลายเป็นคนจูงจมูกช้างที่เดินตามต้อยๆ ลัดเลาะไปตามขอบเขาจนถึงถนนลาดยางสายเวียงสา-นาน้อยเพื่อมุ่งไปโรงพักด้วย แต่ในที่สุด ออป.ใช้รถยนต์มารับทั้งไม้และช้างอันเป็นของกลางไปเก็บรักษาตามระเบียบ
เรื่องนุ่งกางเกงลิงจับไม้ยังเล่าขานกันในวงเหล้าไม่เลิกรา การจูงจมูกช้างก็เป็นประสบการณ์ที่พิสดารหรรษา ภาพที่มณีถ่ายเก็บไว้อัดออกมาดูเมื่อไรได้ฮากันตรึม คืนนั้น เรื่องเล่ากลายเป็นกับแกล้มเหล้าที่สนุกที่สุด พวกที่ไม่ได้ร่วมวงไพบูลย์รู้สึกเสียดายโอกาสมันๆ