http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 08/05/2024
สถิติผู้เข้าชม14,041,598
Page Views16,351,808
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

เสือกลิ่นสาบ ตอน 14. จูงจมูกช้าง โดย อินทรี ดำ

เสือกลิ่นสาบ ตอน 14. จูงจมูกช้าง       โดย อินทรี ดำ

เสือกลิ่นสาบ

โดย อินทรี ดำ

ตอน 13. จูงจมูกช้าง

            ทุกวันที่ว่างเว้นจากการประชุมประจำเดือน  หรือประชุมฉุกเฉิน หรือกรณีที่มีผู้มาประเมินและติดตามงาน  มณีและคณะสายตรวจพิเศษที่ตั้งขึ้นเองแบบ  ใครว่างก็ไปด้วยกัน  เป็นเรื่องที่ทำกันจนรู้กันดีในหมู่สำนักพัฒนาป่าไม้ที่ นน.2

            “วันนี้ได้กำลังกี่คน  รถขาวว่างใช่ไหม?” มณีถามสมชาย เจ้าหน้าที่ธุรการเจ้าประจำที่ทำหน้าที่ออกตรวจตราการปราบปรามด้วยทุกครั้ง โดยงานในหน้าที่ที่ทำธุรกรรมผ่านหมดแล้ว

            “ถ้าจะได้พี่กับผมเป็นหลักครับ ส่วนลูกจ้างประจำก็ได้ ส่วน สวัสดิ์ แล้วก็ลูกจ้างตัวแสบไอ้ทวีกับไอ้สาครับ รวมเป็น 6 คนครับ”

            “ได้  พร้อมแล้วไปกันได้เลยนะ” มณีพูดจบก็เดินเข้าห้องไปหิ้วกระเป๋าถือที่บรรจุปืนสั้น กล้องถ่ายรูป  และที่ไม่ลืมก็กระดาษทิชชู 1 ม้วน ขวดน้ำสำหรับกินตลอดการลาดตระเวน มณีหันไปดูแผนที่ระวางที่ติดไว้ข้างฝาที่ทำการแล้วมองหาจุดพิกัดที่สนใจ 

            “พี่คร๊าบ  ทุกคนพร้อมแล้วครับ” สมชายกระโดดเข้าที่นั่งคนขับ  มณีก้าวขึ้นไปนั่งที่นั่งประจำ  ที่เหลือขึ้นกระบะท้ายรถที่ใช้ไม้กระดานหน้า 1.5 นิ้วกว้าง 8 นิ้ววางพาดขวางกระบะโดยมีตัวล็อคให้ไม้เกาะกระบะได้มั่นคง    ปืนลูกซองห้านัดสองกระบอกถูกวางไว้กับพื้นกระบะเพื่อไม่ให้เห็นอุดจาดตาจนเกินไป

                      

                                                                    ถนนลาดฝุ่นในป่า

            มณีแต่งตัวตามแบบฉบับสบายๆ เหมือนไปพักผ่อน เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยืดสีเข้ม ส่วนสมชายแต่งเครื่องแบบสีกากีเต็มยศซี 2 ขีดสองขีดแต่เล็ก  มีปืนในซองเหน็บเอวข้างขวา วิทยุสื่อสารเอวซ้าย  ท่าทางทะมัดทะแมงเช่นที่เคย  ที่แปลกและเป็นเอกลักษณ์ของสมชายคือ ต้องพกเบ็ดตกปลาพร้อมเอ็นอย่างใหญ่ยาวราวๆ 5 เมตรเป็นประจำ สายเอ็นม้วนเป็นวงกลมแล้วใส่ซองพลาสติกซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง  

           “พี่ๆ ขาดเบ็ดไม่ได้เลยนะพี่” ไอ้สาแซว

          “เผื่อไว้โวย” สมชายตอบ เสียงหัวเราะดังครืน

           “จะเอาเวลาที่ไหนไปตกปลาพี่” ส่วนแซวด้วยความสงสัย

          “เอาเหอะน่า  ขอพกติดตัวไว้ก่อน พ่อสอนไว้” สมชายเล่นลิ้นตามบุคลิกชอบสนุกสนานเหมือนเคยสองคนแต่งชุดสีกากีแขนยาว มีแหนบแถบติดหน้าอก และป้ายชื่อพร้อม แต่ไม่มีบั้ง อีกสองลูกจ้างแต่งตามสบายๆ           พอรถหันหน้าบึ่งออกที่ทำการ สมชายหันมาถามหัวหน้า

            “พี่ ซ้ายหรือขวาครับ” 

            “ซ้าย  ไปเข้าสาลีกทะลุไปสะพานข้ามแม่น้ำน่านแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปเรื่อยๆ  เส้นนี้เรายังไม่เคยไปไม่ใช่หรือ” มณีพูดพลางปรึกษาไปด้วยในตัว

            “ยังครับ  ทางไหนนะ ผมยังนึกไม่ออกเลยพี่” สมชายทำท่างงๆ

            “ไปเรื่อยๆ ข้ามสะพานแล้วจะบอกทางให้” มณีพูดจบก็หลับตาพิงเบาะอย่างเหนื่อยอ่อน  เมื่อคืนที่ผ่านมานอนดึกไปหน่อย  คืนอันแสนสุขกับสาวคู่เต้นรำคนเดิม

            “คืนนี้ค้างที่ในเมืองนะ” เพ็ญสาวกลางคืนกระซิบเบาๆ  พร้อมเอียงหัวมาซบไหล่

            “ได้  แต่พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า จะเข้าป่า”

            มองหน้าคนพูดแล้วก็อดถอนใจไม่ได้  เรื่องคาวๆ ของชอบ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเหมือนบ้าคลั่ง มันช่างน่าหลงใหล

           “อีกสองชั่วโมงก่อนบาร์เลิกซื้อชั่วโมงออกไปแล้วกันนะ”

           สาวเจ้ายิ้มด้วยความสาสมใจ และ      คืนนั้น แม้จะออกจากบาร์ไม่ดึกแต่กิจกรรมบนเตียงชวนให้เคลิบเคลิ้ม เวลาไม่ได้มานั่งเคาะกะโหลกที่ไหน เผลอเดี๋ยวเดียวก็ล่วงเลยไปถึงตีสองกว่าๆ มณีหลับด้วยความอ่อนเพลียแต่ดูช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน

            “พี่ ๆ ตื่นครับ”  สมชายเขย่าแขน มณีลืมตาตื่นก็รีบมองซ้ายมองขวา แต่เลยจุดที่คิดๆ ไว้แต่แรก 

            “เลยมาแล้วว่ะ  เลี้ยวกลับเลย เมื่อกี้เห็นทางขวามือที่เลาะเลียบแม่น้ำน่านไหม” มณีถามและมองหน้า สมชายๆ พยักหน้าแล้วเลี้ยวรถขวับฉับพลัน รถมุ่งเข้าเส้นทางลาดฝุ่นแคบๆ เลาะแม่น้ำน่านไปเรื่อยๆ

            “เฮ้ย  สวนส้มใครหว่า  อ้อ มีป้ายบอกชื่อสวนด้วย “ไร่น้ำค้างกลางหาว”  มณีชะโงกหน้าไปหลังรถแล้วตะโกนถามเสียงดัง

            “ใครรู้บ้างว่าสวนส้มเมื่อกี้ของใคร”

            “ไร่สวนส้ม สจ.เตียงครับ ส.จ.เมืองสานี่แหละครับ”  มณีฟังเป็นข้อมูลแล้วก็นั่งมองซ้ายขวาซึ่งเป็นไร่ร้างบ้าง ป่าผืนเล็กผืนน้อยที่เหลืออยู่บ้าง มีป่าไผ่ไร่หนาแน่นเป็นหย่อมๆ   แต่แล้วรถก็หยุดกึก สมชายดับเครื่องยนต์แล้วรีบบอก มณีนึกถึงสิ่งที่เคยได้รับรู้มาว่า ส.จ.เตียงเป็นลูกช่วงทำไม้ให้กับบริษัททำไม้จังหวัดจำกัด มีช้างกว่า 20 เชือก รวยจนมีสวนส้มขนาดใหญ่เลยหรือนี่

                

            “พี่ ช้างลากไม้ ฝั่งแม่น้ำน่านฝั่งขวาครับ โน่น” พลางชี้มือไปที่ฝั่งตรงข้าม  มณีเห็นจะจะสายตาเลยว่า ช้างเชือกหนึ่งกำลังลากไม้แปรรูปขนาดหน้า 6 นิ้วหนาน่าจะ 1นิ้วครึ่ง ไม้คานขนาดยาว ช้างกำลังลากไม้ลงท่าน้ำที่มีรอยครูดขึ้นลง เพื่อรอเรือมารับไปส่งขาย ทุกคนรีบหลบเข้าพงไม้แล้วแอบดูพฤติกรรมการลากไม้เถื่อน

            “ช้าง ส.จ.เตียงอีกละมั่งวะ” มณีนึกในใจ 

            “ถ้าเรายิงปืนขึ้นฟ้าก็จะได้แต่ไม้ของกลาง  ทำไงดีกันละนี่ ส่วนมีทางเข้าถึงจุดทำไม้นั่นได้ไหม” มณีหันไปถามส่วน ลูกจ้างประจำคนพื้นที่

            “ไม่ได้หรอกครับ เป็นดอยทึบด้วยป่าไม้และไม่มีทางรถยนต์เลยครับ”

            “มีทางเดียวแล้ว  ว่ายน้ำข้ามไปตรงจุดเหนือเป้าหมายกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งว่ายข้ามใต้จุดลงไป” มณีสั่งการ สมชายล็อครถแล้วพาสากับส่วนไปเหนือน้ำ มณีกับสวัสดิ์และทวีย่องไปใต้น้ำ ทุกคนแก้ผ้าเหลือแต่กางเกงใน  ส่วนปืนลูกซองและวิทยุสื่อสารถูกปิดและซ่อนไว้ในรถ

                        

            โชคดีที่กระแสน้ำไม่แรงเพราะว่าเป็นฤดูแล้ง  น้ำเย็นเฉียบ ใสสะอาด น่าลงอาบเล่นจริงๆ แต่วันนี้ภารกิจเฉพาะหน้า ไม่มีอารมณ์สุนทรีนัก  พอหย่อนตัวลงน้ำได้ก็ลอยตัวพยุงปืนสั้นในมัดเสื้อและตนเองข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม  การคืบคลานเข้าหาเป้าหมายที่มีเพียงช้างเชือกเดียวกับคนทำไม้ 3 คนพอสูสี 

            มณีชูนิ้วสี่นิ้วแล้วโบกให้บุกจู่โจม    เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนสั่งให้ผู้ร้ายขโมยตัดไม้ยอมจำนน แต่โทษที มอดไม้เหล่านั้นไม่เคยกลัว  พลันที่เสียงปืนสงบก็มองไม่เห็นมอดไม้ทั้งสามคนแล้ว  เหลือแต่ช้างที่ลากโซ่ผูกกองไม้ตับใหญ่และยาวคาตาอยู่

            สมชายควักเบ็ดออกมาคลี่อย่างเร่งด่วน  แล้วรี่เข้าหาช้าง เกี่ยวเบ็ดตัวโตเข้าที่ ”จงอยงวงช้าง” ที่กำลังพยายามจะลากกองไม้แปรรูป  เสียงร้องแปล๊นดังแสบหูแต่แล้วก็นิ่งสงบอย่างง่ายดาย เมื่อสมชายดึงสายเบ็ดพอตึงมือ  ไอ้สาวิ่งไปแก้โซ่ที่ผูกกองไม้แปรรูปแล้วเก็บโซ่มัดติดกับไม้  ส่วนเดินไปตามรอยมอดไม้ที่หนีสุดชีวิต  สวัสดิ์นับจำนวนไม้และจดบันทึก  มณีนั่งลงมองด้วยแรงที่เหลือน้อย นึกในใจ เมื่อคืนนี้ไม่น่าเบิ้ลเล้..ย

            “มีไม้แปรรูปเท่าไร  ไม้อะไรบ้าง” มณีถามแล้วหอบ  สมชายผูกเอ็นเบ็ดกับต้นไม้ขนาดใหญ่พอควร     ช้างยืนสงบนิ่งอย่างกับลูกแหง่ 

                         

            “ไม้แปรรูปขนาด 1 นิ้วครึ่งหน้า 6 นิ้วยาว 8.20 เมตร จำนวน 45 เล่ม  ไม้พื้นหน้า 8 นิ้ว ยาว 4 เมตร 60 เล่ม  เป็นไม้สักทั้งหมดครับ” สวัสดิ์ตอบแล้วเดินวนรอบกองไม้ 

            “นี่มันซวยจริงๆ นะนี่  เรามาช้าอีกครึ่งขั่วโมงก็คงลงเรือไปขึ้นเวียงสาหมดแล้ว” สวัสดิ์พูดพลางก็มองไปรอบๆ ป่ายังมีไม้สักมากพอสมควร  แต่ก็มีต้นใหญ่เหลือน้อยต้นเต็มที 

            “ส่วน ว่ายน้ำข้ามไป ว.เรียกรถบรรทุกมาขนไม้  ให้ชาวบ้านออกมาทำงานอีก 4 คน ที่เหลือแยกไม้ออกจากกองแบ่งเป็นกองละ 14 เล่ม ที่เหลือรวมไปกองหนึ่ง มัดหัวท้ายและตรงกลางให้แน่นๆ มีเชือกและตอกใช้ได้ทั้งนั้น” มณีแจกแจงงานแล้วมองทุกคนทำงานด้วยความสมใจ 

            “พี่  ตกลงจะลากไม้ข้ามฟากยังไง” สมชายหันมาถาม

            “เอาไม้ลงน้ำแล้วนอนคว่ำใช้มือหรือหาไม้ไผ่ทำพายๆ ข้ามฟากไป ทางเลือกอื่นมีไหม” มณีบอกแล้วถามไปด้วย ทุกคนไม่ตอบแต่ยิ้มแล้วเสียงพูดคุยก็ดังระงม

            “กางเกงในบุก” ไอ้สาแหกปาก

            “ยังงี้ก็มีด้วย” สมชายโพล่งแล้วหัวเราะด้วยความชอบใจ

            “ประสบการณ์ที่หายากนะพวกเรา  ตอนข้ามมาจับก็แก้ผ้านุ่งกางเกงลิงมาลุย  ตอนขนไม้กลับก็นุ่งกางเกงลิงละเลง   ครั้งเดียวในชีวิตโว๊ย” มณีพูดเสร็จอดหัวเราะตามเพื่อนร่วมงานไม่ได้  เป็นความทรงจำที่ลืมไม่ลง

                        

                                                            ไม้แปรรูป

            รถบรรทุกมาถึงพร้อมชาวบ้าน ทุกคนต้องนุ่งกางเกงลิงว่ายน้ำข้ามมาช่วยขนย้ายของกลาง  ได้คนเพิ่มก็ได้คนช่วยพายหัวท้าย  การขนส่งยากแต่ก็เป็นไปได้เรียบร้อย ของกลางไม่ได้หลุดไปไหน ช้างยังยืนนิ่งด้วยกริยาสำรวม หลังบันทึกการจับกุม  รถบรรทุกและคณะก็เดินทางไปส่งมอบคดีที่โรงพักตำรวจเวียงสา  สมชายทำหน้าที่ใหม่กลายเป็นคนจูงจมูกช้างที่เดินตามต้อยๆ ลัดเลาะไปตามขอบเขาจนถึงถนนลาดยางสายเวียงสา-นาน้อยเพื่อมุ่งไปโรงพักด้วย  แต่ในที่สุด ออป.ใช้รถยนต์มารับทั้งไม้และช้างอันเป็นของกลางไปเก็บรักษาตามระเบียบ 

            เรื่องนุ่งกางเกงลิงจับไม้ยังเล่าขานกันในวงเหล้าไม่เลิกรา  การจูงจมูกช้างก็เป็นประสบการณ์ที่พิสดารหรรษา  ภาพที่มณีถ่ายเก็บไว้อัดออกมาดูเมื่อไรได้ฮากันตรึม คืนนั้น เรื่องเล่ากลายเป็นกับแกล้มเหล้าที่สนุกที่สุด  พวกที่ไม่ได้ร่วมวงไพบูลย์รู้สึกเสียดายโอกาสมันๆ

Tags : ช้าง ไม้แปรรูป เสือกลิ่นสาบ อินทรี ดำ Tiger line จูงจมูกช้าง

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view