http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 08/05/2024
สถิติผู้เข้าชม14,043,460
Page Views16,353,749
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

คึดฮอดเมืองลาว 11 ลอดปล่องฟ้า มุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ

คึดฮอดเมืองลาว 11 ลอดปล่องฟ้า มุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง  โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ

คิดฮอดเมืองลาว ๑๑

ลอดปล่องฟ้า มุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง

“เอื้อยนาง”

 

            กลับจากทัศนศึกษากับคณะผู้บริหารจาก อ.สว่างวีระวงศ์ยังไม่ทันหายเหนื่อยด้วยซ้ำกระมัง  ก็ได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนผู้แสนรัก   สังกัดกระทรวงเลาะล่องด้วยกัน อ.วาสนา  บันทุปา   ชวนไปลาวอีกครั้งกับคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

            นับเป็นครั้งพิเศษกว่าการเยือนลาวครั้งก่อนมา  เพราะได้ร่วมเดินทางกับผู้รู้ที่มากด้วยประสบการณ์  มีทัศนะมุมมองที่น่าสนใจ  และหลากหลายแนวคิด

                    

                                                                กลุ่มคณะร่วมเดินทาง

            จุดหมายปลายทางคือ  เมืองหลวงพระบาง หรือเดิมชื่อเชียงทอง  เมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองแห่งราชอาณาจักรล้านช้างฮ่มขาว  และเป็นมรดกของโลกในปัจจุบัน  เป็นการเดินทางโดยรถยนต์  ผ่านบ้านเมือง  ทุ่งนา  ดงหนา  ป่าเปลี่ยว  หุบห้วย  และขุนเขา  ในวันที่ฟ้าครึ้ม ๆ เต็มไปด้วยหมอกหม่นแห่งต้นเดือนธันวาคมที่ฝนกำลังเหือดหายเหลือไว้แต่สายหมอกหนาว

            เริ่มออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งแต่เช้าตรู่ของวันแรก    ถึงจังหวัดหนองคายเมื่อก่อนเที่ยงเล็กน้อย   ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว  แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถทัวร์ลาว 

จิตประสงค์ ทัวร์   มีท้าวเดชอารุณ ลูกชายเจ้าของบริษัท  หนุ่มหน้ายิ้มนัยน์ตาคมเป็นคนขับ   มีท้าวแหล่  ท้าวเพชร อีกสองท้าวเป็นผู้ช่วยทั่วไป  พาคณะสามสิบกว่าชีวิตมุ่งหน้าสู่เวียงจันทน์ ทานอาหารเที่ยงแล้วเดินทางต่อสู่หลวงพระบาง    

                                             

                                                              ท้าวเดชอรุณ

           เป็นอันว่านับแต่นี้ต่อไปเราฝากชีวิตไว้กับสามหนุ่มหน้ามนนี้ตลอดการเดินทาง  หนุ่มเดชอารุณผู้ขับคนนี้  เรียนจบการแพทย์จากเมืองไทย   จึงโอภาปราศรัย เข้ากันได้เป็นอย่างดี  อีกทั้งเขามีความรู้ไม่น้อย  เป็นไกด์นำเที่ยวได้สบาย ๆ   แต่เขาก็ทำหน้าที่นี้ได้ไม่นาน  เพราะชาวคณะที่เป็นลูกทัวร์เขาคราวนี้มีทั้งนักเขียน  นักวิชาการผู้แตกฉานเรื่องเกี่ยวกับลาว  ประวัติศาสตร์  สังคม  แหล่งท่องเที่ยวอยู่แล้ว

            แวะทานอาหารกลางวันในเวียงจันทน์  ทำให้เห็นว่าหน้าตาของเวียงจันทน์เปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็นครั้งแรกที่มากับสโมสรนักเขียนอีสานมากมาย  นโยบายจินตนาการใหม่ทำให้ตัวเมืองใหญ่โตขยับขยายอีกเยอะ  เริ่มจะเหมือนเมืองไทยด้วยความคึกคัก จอแจ และมีรถติด ที่ตามมาด้วยฝุ่นควันและไอร้อน  ไม่แพ้ฝั่งขวาที่เพิ่งจากมา  เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกออกจะเสียดาย  และหวั่นใจอยู่ลึก ๆ โดยเฉพาะเมื่อแลเห็นขยะและพลาสติก

                     

                                                             ประตูชัย

           แต่ภาพและความรู้สึกนั้นก็เลือนหายไปทันที  เมื่อรถแล่นออกจากเขตกำแพงนครเวียงจันทน์  ออกสู่ทุ่งมุ่งหน้าไปตามเส้นทางหมายเลข ๑๓ ที่ทอดยาวคู่ลำน้ำโขงตั้งแต่ลาวใต้ สู่ลาวเหนือ  สองข้างทางเป็นทุ่งโล่ง ๆ ป่าโปร่ง ๆ มีบ้านเมืองอยู่ประปราย  ทำให้ทัศนียภาพต่างออกไปจากเวียงจันทน์โดยสิ้นเชิง  ยิ่งห่างออกไปเป็นเขตภูเขาและป่าไม้  ภาพสองข้างทางก็ยิ่งสวยประทับใจ  ลาวยังมีเนื้อที่ที่ปลกคลุมไปด้วยป่าไม้ถึง  ๑๑ ล้านเฮกเตอร์  คิดเป็น ๔๗ เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ  ทรัพยากรธรรมชาติมากมายยังไม่ได้นำออกมาใช้  นับเป็นประเทศหนึ่งของเอเชียที่มีทรัพยากรร่ำรวย  ในขณะประชากรทั้งประเทศยังไม่เท่าในเมืองหลวงของประเทศไทยเพียงเมืองเดียวเสียด้วยซ้ำ       

                 เมืองโพนฮงเมืองหนึ่งของแขวงเวียงจันทน์  เป็นช่วงเวลาบ่ายคล้อยที่โรงเรียนเลิกพอดี  นักเรียนขี่จักรยานสวนไปเป็นกลุ่ม ๆ วัยรุ่นชายนุ่งเครื่องแบบกางเกงขายาวสีดำ  สวมเสื้อสีขาว  ส่วนแม่หญิงนั้นนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีกรมท่า  ดูบริสุทธิ์เป็นเสน่ห์น่ารัก มองสบายตาสบายอารมณ์ 

            เสียงเพลงในรถท้าวเดชอารุณดังขึ้นเหมือนเป็นคำถามล้อ ๆ ว่า 

            “อ้ายเป็นลาว  เป็นลาวแท้ลาวเดิม    น้องเป็นไทล่ะ

            เป็นไทแท้หรือว่าไทชั่วคราว...”

                                                                                              

            ทำให้คนในรถที่คุยจ้อย ๆ อยู่ตลอดมาออกจะเงียบไป  เป็นเพราะความไพเราะเพราะพริ้งของเสียงเพลง  ความกินใจของเนื้อร้อง  หรือไปสะกิดต่อมคนลาวอีสานเข้าก็สุดจะเดาได้

            รถวิ่งเข้าสู่เขตภูเขา  จะเป็นเพราะดงหนาป่าทึบ  หรือเมฆหมอกก็ไม่รู้ทำให้ฟ้าครึ้มลง  จนดูหม่นมัวทั้ง ๆ ยังวันอยู่เลย   เพียง  ๑๕  นาฬิกากว่า ๆ เองเมื่อผ่านเมืองโพนฮง ออกมา   ถนนข้างหน้ามองเป็นช่องทางเล็ก ๆ ดูดั่งพญางูเลื้อยคดเคี้ยว   แหวกว่ายในดงดอน   ราวกับว่าฟ้าจะ

จงใจเปิดปล่องฟ้า  เฉพาะช่องให้เรามุ่งเข้าไป

                        ฟ้าเปิดปล่องเป็นช่องทะลุฟ้า  เบิกพนาพงไพรเลียบสายของ

                   เหมือนงูเงี้ยวเลี้ยวลดสู่เชียงทอง       เป็นทางท่องลอดปล่องฟ้าผ่าลำเนา

                   วิบวับไหวอยู่แสนไกลใช่นั่นนก          บินโผผกโบกปีกหลีกเหลี่ยมเขา

                   แล้วลับหายกลายกลืนผืนสีเทา         หว่างภูเขาจูบกับฟ้าลับตามอง

                     

                                                                 สถาปัตยกรรมที่หลวงพระบาง

          รถเริ่มคลานขึ้นสู่เขตภูเขา  เอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ดุจดั่งงูใหญ่ที่กินอิ่มแล้วเลื้อยเล่น ไม่รีบร้อน  นานครั้งจะมีรถสวนมาสักครั้งหนึ่ง  ทำให้ถนนที่คดโค้งตามซอกเขาดูว่างโล่ง  และทอดยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด  นานๆทีจะเห็นมีบ้านชาวลาวเทิง  ลาวสูงที่เป็นกระท่อมไม้ไผ่ลายสวย ตั้งเรียงรายอิงแอบแนบชิดพื้นถนนจนบางครั้งนึกกลัวว่ารถจะเฉี่ยวฉิวให้ปลิวติดไปด้วย  สังเกตเห็นหลายดูบ้านแล้วแปลกใจว่าพวกเขาเหล่านั้นทำไมพิสมัยอยากใกล้ชิดถนนกันป่านนั้นหนอ  ต่างแข่งกันปลูกที่พักอาศัยอิงแอบแบบใช้ถนนเป็นรั้วบ้านเลยทีเดียว

            ผ่านเมืองวังเวียงเมื่อคล้อยค่ำ  เห็นภูเขาเป็นเงา ๆ รูปร่างแปลกตา  ยอดภูดูหยัก ๆ โค้ง ๆ งอกงอนเป็นง่ามเป็นกิ่งมองสวยมาก 

                    

                                                             บ้านหลังคามุงแฝกและนาข้าว

            ก่อนมืดนิดหน่อย  รถก็มาจอดให้ทานอาหารค่ำที่เมืองกาสี  ได้ยินชื่อเมืองแล้วคิดถึงท้าว

ขูลูกับนางอั้ว  ในตำนานรักอมตะของลาว

            เมืองกาสีเป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในหุบเขาท่ามกลางป่าดงพงกว้าง  แต่กลับมีร้านอาหารอยู่รายเรียงสองข้างถนน  แถมมีเกสเฮาส์ บ้านพักราคากันเองอยู่หลายแห่ง  แสดงว่ามีแขกนักท่องเที่ยวนิยมมาพักไม่น้อย

            เจ้าของร้านอาหารที่เดชอารุณพาเข้าไปนั่งเป็นสาวใหญ่หน้าตาดี  พูดภาษาได้คล่องแคล่ว  คุยไปคุยมาได้รู้ว่าเธอเคยไปอยู่เมืองไทยหลายปี  ถึงตอนนี้ญาติพี่น้องของเธอหลายคนก็มีครอบครัวอยู่เมืองไทย 

            รถคลานออกจากที่อีกครั้งเมื่อความมืดเข้ามาเยือน  ท้าวเดชอารุณพารถไต่คลานซอกซอนลดเลี้ยวตามภูเขาและหุบห้วยอย่างใจเย็น

                    

                                                    สะพานมิตรภาพไทย-ลาว

            ฟ้าเบื้องนอกมืดมิดมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่ดวงดาวสักดวง  ใครที่คิดถึงบ้านอยากเอ่ยคำกลอนผญาที่ว่า  “คึดฮอดอ้ายให้แนมเบิ่งเดือนดาว  สายตาเฮาสิจอดกันอยู่เทิงฟ้า”  ก็หมดสิทธิ์  เพราะไม่มีทั้งฟ้า และเดือนดาวพอจะส่งสายตาขึ้นไปให้จรดกับคนที่คิดถึงได้  สิ่งที่มองเห็นได้คือถนนข้างหน้าที่แสงไฟหน้ารถส่องไปกระทบเท่านั้น  ผู้โดยสารส่วนมากจึงหลับกันเป็นแถว

            ระยะทางจากเวียงจันทน์ประมาณไม่เกิน ๔๐๐ กิโลเมตร  ท้าวเดชอารุณใช้เวลาเดินทางกว่า ๑๒  ชั่วโมงแบบสบาย ๆ หนึ่งนาฬิกาของวันใหม่เธอก็ปลุกพวกเราให้เข้าเฮือนพัก  (เกสเฮาส์)ชื่อ

             “แก้วประทุม”  ในเมืองหลวงพระบาง

            เฮ้อ... ต่อตอนหน้าค่อยเที่ยวหลวงพระบางตามสไตล์เอื้อยนางกันนะคะ

๐๐๐๐๐

         

Tags : คึดฮอดเมืองลาว เอื้อยนาง เรื่องสั้น หลวงพระบาง ลาว

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view