คิดฮอดเมืองลาว ๑๑
ลอดปล่องฟ้า มุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง
“เอื้อยนาง”
กลับจากทัศนศึกษากับคณะผู้บริหารจาก อ.สว่างวีระวงศ์ยังไม่ทันหายเหนื่อยด้วยซ้ำกระมัง ก็ได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนผู้แสนรัก สังกัดกระทรวงเลาะล่องด้วยกัน อ.วาสนา บันทุปา ชวนไปลาวอีกครั้งกับคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
นับเป็นครั้งพิเศษกว่าการเยือนลาวครั้งก่อนมา เพราะได้ร่วมเดินทางกับผู้รู้ที่มากด้วยประสบการณ์ มีทัศนะมุมมองที่น่าสนใจ และหลากหลายแนวคิด
กลุ่มคณะร่วมเดินทาง
จุดหมายปลายทางคือ เมืองหลวงพระบาง หรือเดิมชื่อเชียงทอง เมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองแห่งราชอาณาจักรล้านช้างฮ่มขาว และเป็นมรดกของโลกในปัจจุบัน เป็นการเดินทางโดยรถยนต์ ผ่านบ้านเมือง ทุ่งนา ดงหนา ป่าเปลี่ยว หุบห้วย และขุนเขา ในวันที่ฟ้าครึ้ม ๆ เต็มไปด้วยหมอกหม่นแห่งต้นเดือนธันวาคมที่ฝนกำลังเหือดหายเหลือไว้แต่สายหมอกหนาว
เริ่มออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งแต่เช้าตรู่ของวันแรก ถึงจังหวัดหนองคายเมื่อก่อนเที่ยงเล็กน้อย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถทัวร์ลาว
จิตประสงค์ ทัวร์ มีท้าวเดชอารุณ ลูกชายเจ้าของบริษัท หนุ่มหน้ายิ้มนัยน์ตาคมเป็นคนขับ มีท้าวแหล่ ท้าวเพชร อีกสองท้าวเป็นผู้ช่วยทั่วไป พาคณะสามสิบกว่าชีวิตมุ่งหน้าสู่เวียงจันทน์ ทานอาหารเที่ยงแล้วเดินทางต่อสู่หลวงพระบาง
ท้าวเดชอรุณ
เป็นอันว่านับแต่นี้ต่อไปเราฝากชีวิตไว้กับสามหนุ่มหน้ามนนี้ตลอดการเดินทาง หนุ่มเดชอารุณผู้ขับคนนี้ เรียนจบการแพทย์จากเมืองไทย จึงโอภาปราศรัย เข้ากันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเขามีความรู้ไม่น้อย เป็นไกด์นำเที่ยวได้สบาย ๆ แต่เขาก็ทำหน้าที่นี้ได้ไม่นาน เพราะชาวคณะที่เป็นลูกทัวร์เขาคราวนี้มีทั้งนักเขียน นักวิชาการผู้แตกฉานเรื่องเกี่ยวกับลาว ประวัติศาสตร์ สังคม แหล่งท่องเที่ยวอยู่แล้ว
แวะทานอาหารกลางวันในเวียงจันทน์ ทำให้เห็นว่าหน้าตาของเวียงจันทน์เปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็นครั้งแรกที่มากับสโมสรนักเขียนอีสานมากมาย นโยบายจินตนาการใหม่ทำให้ตัวเมืองใหญ่โตขยับขยายอีกเยอะ เริ่มจะเหมือนเมืองไทยด้วยความคึกคัก จอแจ และมีรถติด ที่ตามมาด้วยฝุ่นควันและไอร้อน ไม่แพ้ฝั่งขวาที่เพิ่งจากมา เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกออกจะเสียดาย และหวั่นใจอยู่ลึก ๆ โดยเฉพาะเมื่อแลเห็นขยะและพลาสติก
ประตูชัย
แต่ภาพและความรู้สึกนั้นก็เลือนหายไปทันที เมื่อรถแล่นออกจากเขตกำแพงนครเวียงจันทน์ ออกสู่ทุ่งมุ่งหน้าไปตามเส้นทางหมายเลข ๑๓ ที่ทอดยาวคู่ลำน้ำโขงตั้งแต่ลาวใต้ สู่ลาวเหนือ สองข้างทางเป็นทุ่งโล่ง ๆ ป่าโปร่ง ๆ มีบ้านเมืองอยู่ประปราย ทำให้ทัศนียภาพต่างออกไปจากเวียงจันทน์โดยสิ้นเชิง ยิ่งห่างออกไปเป็นเขตภูเขาและป่าไม้ ภาพสองข้างทางก็ยิ่งสวยประทับใจ ลาวยังมีเนื้อที่ที่ปลกคลุมไปด้วยป่าไม้ถึง ๑๑ ล้านเฮกเตอร์ คิดเป็น ๔๗ เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติมากมายยังไม่ได้นำออกมาใช้ นับเป็นประเทศหนึ่งของเอเชียที่มีทรัพยากรร่ำรวย ในขณะประชากรทั้งประเทศยังไม่เท่าในเมืองหลวงของประเทศไทยเพียงเมืองเดียวเสียด้วยซ้ำ
เมืองโพนฮงเมืองหนึ่งของแขวงเวียงจันทน์ เป็นช่วงเวลาบ่ายคล้อยที่โรงเรียนเลิกพอดี นักเรียนขี่จักรยานสวนไปเป็นกลุ่ม ๆ วัยรุ่นชายนุ่งเครื่องแบบกางเกงขายาวสีดำ สวมเสื้อสีขาว ส่วนแม่หญิงนั้นนุ่งผ้าถุงกรอมเท้าสีกรมท่า ดูบริสุทธิ์เป็นเสน่ห์น่ารัก มองสบายตาสบายอารมณ์
เสียงเพลงในรถท้าวเดชอารุณดังขึ้นเหมือนเป็นคำถามล้อ ๆ ว่า
“อ้ายเป็นลาว เป็นลาวแท้ลาวเดิม น้องเป็นไทล่ะ
เป็นไทแท้หรือว่าไทชั่วคราว...”
ทำให้คนในรถที่คุยจ้อย ๆ อยู่ตลอดมาออกจะเงียบไป เป็นเพราะความไพเราะเพราะพริ้งของเสียงเพลง ความกินใจของเนื้อร้อง หรือไปสะกิดต่อมคนลาวอีสานเข้าก็สุดจะเดาได้
รถวิ่งเข้าสู่เขตภูเขา จะเป็นเพราะดงหนาป่าทึบ หรือเมฆหมอกก็ไม่รู้ทำให้ฟ้าครึ้มลง จนดูหม่นมัวทั้ง ๆ ยังวันอยู่เลย เพียง ๑๕ นาฬิกากว่า ๆ เองเมื่อผ่านเมืองโพนฮง ออกมา ถนนข้างหน้ามองเป็นช่องทางเล็ก ๆ ดูดั่งพญางูเลื้อยคดเคี้ยว แหวกว่ายในดงดอน ราวกับว่าฟ้าจะ
จงใจเปิดปล่องฟ้า เฉพาะช่องให้เรามุ่งเข้าไป
ฟ้าเปิดปล่องเป็นช่องทะลุฟ้า เบิกพนาพงไพรเลียบสายของ
เหมือนงูเงี้ยวเลี้ยวลดสู่เชียงทอง เป็นทางท่องลอดปล่องฟ้าผ่าลำเนา
วิบวับไหวอยู่แสนไกลใช่นั่นนก บินโผผกโบกปีกหลีกเหลี่ยมเขา
แล้วลับหายกลายกลืนผืนสีเทา หว่างภูเขาจูบกับฟ้าลับตามอง
สถาปัตยกรรมที่หลวงพระบาง
รถเริ่มคลานขึ้นสู่เขตภูเขา เอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ดุจดั่งงูใหญ่ที่กินอิ่มแล้วเลื้อยเล่น ไม่รีบร้อน นานครั้งจะมีรถสวนมาสักครั้งหนึ่ง ทำให้ถนนที่คดโค้งตามซอกเขาดูว่างโล่ง และทอดยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด นานๆทีจะเห็นมีบ้านชาวลาวเทิง ลาวสูงที่เป็นกระท่อมไม้ไผ่ลายสวย ตั้งเรียงรายอิงแอบแนบชิดพื้นถนนจนบางครั้งนึกกลัวว่ารถจะเฉี่ยวฉิวให้ปลิวติดไปด้วย สังเกตเห็นหลายดูบ้านแล้วแปลกใจว่าพวกเขาเหล่านั้นทำไมพิสมัยอยากใกล้ชิดถนนกันป่านนั้นหนอ ต่างแข่งกันปลูกที่พักอาศัยอิงแอบแบบใช้ถนนเป็นรั้วบ้านเลยทีเดียว
ผ่านเมืองวังเวียงเมื่อคล้อยค่ำ เห็นภูเขาเป็นเงา ๆ รูปร่างแปลกตา ยอดภูดูหยัก ๆ โค้ง ๆ งอกงอนเป็นง่ามเป็นกิ่งมองสวยมาก
บ้านหลังคามุงแฝกและนาข้าว
ก่อนมืดนิดหน่อย รถก็มาจอดให้ทานอาหารค่ำที่เมืองกาสี ได้ยินชื่อเมืองแล้วคิดถึงท้าว
ขูลูกับนางอั้ว ในตำนานรักอมตะของลาว
เมืองกาสีเป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในหุบเขาท่ามกลางป่าดงพงกว้าง แต่กลับมีร้านอาหารอยู่รายเรียงสองข้างถนน แถมมีเกสเฮาส์ บ้านพักราคากันเองอยู่หลายแห่ง แสดงว่ามีแขกนักท่องเที่ยวนิยมมาพักไม่น้อย
เจ้าของร้านอาหารที่เดชอารุณพาเข้าไปนั่งเป็นสาวใหญ่หน้าตาดี พูดภาษาได้คล่องแคล่ว คุยไปคุยมาได้รู้ว่าเธอเคยไปอยู่เมืองไทยหลายปี ถึงตอนนี้ญาติพี่น้องของเธอหลายคนก็มีครอบครัวอยู่เมืองไทย
รถคลานออกจากที่อีกครั้งเมื่อความมืดเข้ามาเยือน ท้าวเดชอารุณพารถไต่คลานซอกซอนลดเลี้ยวตามภูเขาและหุบห้วยอย่างใจเย็น
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว
ฟ้าเบื้องนอกมืดมิดมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่ดวงดาวสักดวง ใครที่คิดถึงบ้านอยากเอ่ยคำกลอนผญาที่ว่า “คึดฮอดอ้ายให้แนมเบิ่งเดือนดาว สายตาเฮาสิจอดกันอยู่เทิงฟ้า” ก็หมดสิทธิ์ เพราะไม่มีทั้งฟ้า และเดือนดาวพอจะส่งสายตาขึ้นไปให้จรดกับคนที่คิดถึงได้ สิ่งที่มองเห็นได้คือถนนข้างหน้าที่แสงไฟหน้ารถส่องไปกระทบเท่านั้น ผู้โดยสารส่วนมากจึงหลับกันเป็นแถว
ระยะทางจากเวียงจันทน์ประมาณไม่เกิน ๔๐๐ กิโลเมตร ท้าวเดชอารุณใช้เวลาเดินทางกว่า ๑๒ ชั่วโมงแบบสบาย ๆ หนึ่งนาฬิกาของวันใหม่เธอก็ปลุกพวกเราให้เข้าเฮือนพัก (เกสเฮาส์)ชื่อ
“แก้วประทุม” ในเมืองหลวงพระบาง
เฮ้อ... ต่อตอนหน้าค่อยเที่ยวหลวงพระบางตามสไตล์เอื้อยนางกันนะคะ
๐๐๐๐๐