รักอ่านสู่บ้านเกิด
ที่ผับแล้งอุบลราชธานี
“ยายนาง”
จากการที่เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการร้านอาหารในทัสมาเนีย ออสเตรเลีย ได้กลับมาบ้าน และมีโอกาสตามแม่ไปไหว้ธาตุของตากับยายที่บ้านเก่าที่แม่เคยเติบโตมา และตาของเธอก็เป็นอดีตครูใหญ่ของที่นี่ด้วย(คุณตารำลึก พรหมทา)
“แม่ทำไมเราไม่ทำบุญให้ห้องสมุดของโรงเรียนบ้าง”
“หนูมิ้ม” คือเด็กสาวคนนั้นปรารภเมื่อได้เห็นสภาพของห้องสมุดโรงเรียนที่แม่และพี่น้องเคยร่ำเรียนมาแต่เล็กแต่น้อยจนเติบใหญ่ได้เป็นครูบาอาจารย์
วรัญญา ศรีพรหมทัต(มิ้ม)กับน้องชาย
“นั่นซีนะ” ยายน้อยแม่ของมิ้มพยักหน้าหงึกหงักและเลยโทรมาปรึกษายายนาง โครงการรักอ่านสู่บ้านเกิด ก็จึงเกิดขึ้นในกลุ่มเรา ยายนาง ยายน้อย ตาอาจลูกทั้ง๓ของตารำลึก และขยายแนวคิดสู่ลูกหลานเพื่อนพ้องญาติมิตร เลยได้ทั้งหนังสือ ชั้นวางหนังสือ และทุนการศึกษา พร้อมทำบุญเลี้ยงพระเพลมาจำนวนหนึ่ง เดินทางสู่บ้านเกิด คือบ้านผับแล้งแห่งนี้ ในช่วงวันหยุดเทศกาลเข้าพรรษา ๒๕๕๓ กัน
บ้านผับแล้ง อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี เป็นหมู่บ้านใหญ่ตั้งอยู่บนเนินดินที่เคยมีป่าไม้และสายน้ำอ้อมล้อมไว้ ในฤดูน้ำหลากสภาพของหมู่บ้านจะกลายเป็นเกาะสีเขียวครึ้ม ท่ามกลางสายน้ำขาวกระจ่างพร่างตาพราวเลยทีเดียว
บ่อกบของหนู
เราเดินทางไปตามเส้นทางสายกัณทรลักษณ์- อุบล ถึงบ้านแคนเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ตัวอำเภอสำโรง เลี้ยวซ้ายไปอีกทีสู่บ้านหนองสองห้อง ตามเส้นทางสายสำโรง-เดชอุดม ผ่านทุ่งนาเขียวขจีสู่บริเวณที่เป็นดงป่าช้าเข้าสู่หมู่บ้านผับแล้ง
ชาวคณะลูกหลานคุณตารำลึก พรหมทา
ยายนาง ยายน้อย ตาอาจ สามพี่น้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข และเติบใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้ แทบทุกซอกทุกมุมเราเคยซอกซอนเล่นซ่อนหาและป่ายปีนเก็บผักเก็บหญ้าประสาลูกชาวบ้านมาแล้ว ยายนางถึงขนาดนำเรื่องราวประสบการณ์วัยเยาว์ไปเรียงร้อยเป็นหนังสือ ชื่อ “เมื่อยายอายุเท่าหนู” จนได้รับรางวัลวรรณกรรมเยาวชน “แว่นแก้ว” ประจำปีพ.ศ.2551 มาแล้ว กลับมาทีไรก็นึกถึงแต่เรื่องทำบุญที่วัด มาคราวนี้จึงออกจะแปลกไปเพราะจุดมุ่งหมายอยู่ที่โรงเรียน
รูปอดีตครูใหญ่ รำลึก พรหมทา
สมัยเมื่อพ่อเป็นครูใหญ่ และสามพี่น้องเป็นนักเรียนนั้นอาศัยศาลาวัดเรียน แต่โรงเรียนแห่งใหม่นี้พ่อเป็นผู้บุกเบิกขอย้ายออกมาตั้งบริเวณที่เป็นป่าช้าเดิม ตรงที่ถนนสายใหม่ตัดผ่านพอดี ดงป่าช้าที่ถนนดำตัดผ่านทางเข้าหมู่บ้านนี้เคยเป็นดงหนาป่าใหญ่ เป็นแดนลึกลับ เป็นที่อยู่ของคนตายไม่มีใครอยากเฉียดกลายไปใกล้ หรือแม้แต่ไปเดินผ่าน ด้วยเกรงกลัว และเกรงใจ ทั้งสัตว์ร้าย งูเงี้ยวเขี้ยวขอ และเหล่าอมนุษย์ในตำนานเล่าขาน ปรากฏว่าตอนนี้มีเหลือป่าอยู่หย่อมเดียว เห็นแล้วใจหาย
ศาลาการเปรียญที่เคยเป็นโรงเรียนเก่า
แต่ก็นั่นคือความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะไม่มีใครหยุดโลกได้หรอก
ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือหน้าตา ผู้คน น้ำใจ รอยยิ้ม หลายคนเข้ามาทักว่า
“จำเฮาได้เบาะ”
“จำข้อยได้เบาะ”
แล ๆ ดูแล้วได้แต่ตอบว่า จำได้อยู่หรอกจ้า จำได้แต่หน้า ชื่อนั้นฉันขอโทษ...ชื่อหยังเกาะ...(ฮา)
จำข่อยได้เบาะ
แต่ที่จำได้ไม่ลืม คือ ผอ.ปรีชา สิงห์คง และ อ.สุทัศน์ ทองไศล เพราะผู้หนึ่งนั้นเป็นเสี่ยวกับตาอาจเรียนหนังสือมาด้วยกัน ผู้หนึ่งนั้นเป็นรุ่นน้องลูกบ้านเดียวกัน พบกันแล้วก็ดีใจ
ทั้งดีใจที่ได้พบ และดีใจได้ทำสิ่งดี ๆ ร่วมกัน อ.สุทัศน์นั้นเป็นผู้ประสานงานจัดการให้ทั้งฝ่ายบ้าน ฝ่ายวัดตลอดงาน
ใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“เด็ก ๆ สมัยนี้นั้นมีสิ่งอื่น ๆ มากมายชักดึงเขาไปออกนอกลู่นอกทาง หากเราทำให้เขาหันมารักอ่านรักเขียน ดึงเขามาสู่หนังสือได้บ้างนับเป็นการช่วยชาติช่วยสังคมได้ทางหนึ่ง”
ใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นคือปณิธานที่เราจะสานร่วมกันต่อไป และในวันนี้นอกจากมอบหนังสือ ชั้นวางหนังสือให้ห้องสมุดแล้ว ในฐานยายนาง ยายน้อย ตาอาจเคยเป็นครูอยู่กับเด็กรู้ใจเด็กมาก่อน จึงได้หอบอุปกรณ์และของเล่นมาแจกอีกมากมาย แต่ไม่ได้แจกเปล่า ๆ ต้องเว้าต้องตอบปัญหา ต้องแสดงออกกันนิดหน่อย พอเป็นที่ยั่วยุให้กำลังใจ บรรยากาศจึงออกจะครื้นเครง และกันเองจนเป็นปลื้มทั้งผู้ให้และผู้รับ
อ.สุทัศน์ ทองไศล รับมอบหนังสือบางส่วน
ต้องขอขอบคุณเพื่อนสนิท มิตรสหายทั้งที่ไปร่วมด้วยช่วยกัน และได้แบ่งปันฝากทุนการศึกษา ฝากหนังสือไปด้วย เช่น คุณพี่สุภา สิริสิงห(โบตั๋น) เจ้าของผู้จัดการบริษัท สำนักพิมพ์สุวีริยาสาส์น จำกัด(ชมรมเด็ก) ผู้ผลิตหนังสือคุณภาพเพื่อเด็ก ได้มอบหนังสือหลายกล่อง และลดราคาเป็นพิเศษช่วยทำบุญ และ เว็บไซต์คุณภาพเพื่อสังคมwww.Thongthailand.com โดยคุณธงชัย เปาอินทร์ ที่ช่วยสนับสนุนทุนการศึกษา และเพื่อนพ้องน้องพี่อีกหลายคนที่เอ่ยนามไม่หมดทั้งในไทยและในออสเตรเลีย
ตอบปัญหานี้มีรางวัล
ณ ที่แห่งนี้ เคยมีประวัติศาสตร์จารึกไว้
บ้านผับแล้ง เมื่อก่อน ชื่อ บ้านผับคำดินดำน้ำชุ่ม เป็นหมู่บ้านเก่าแก่สืบทอดวัฒนธรรมดั้งเดิมมาแสนนาน จนดูผิดแผกแปลกต่างจากหมู่บ้านอื่นในละแวกใกล้เคียง แต่จะตั้งมานานแค่ไหนไม่สามารถบอกได้ ร่องรอยที่เป็นวัตถุโบราณบอกว่าครั้งก่อนหมู่บ้านนี้เป็นเขตแดนในปกครองของจำปาศักดิ์ก็คือการขุดพบพระว่านที่บรรจุในหม้อดินเผาฝังไว้สี่มุมของวัด (พระว่านจำปาศักดิ์) นอกนั้นที่ทุ่งนาหนองผักแว่นยังมีผู้ขุดพบพระพุทธรูปสำริดมากมายบรรจุในไหแบบเขมร(นำมาไว้ในสิมหลังเก่า ปรากฏว่าถูกขโมยไปหมด)
คุณทวดขอตอบอยากได้รางวัลไปให้หลาน รอรับรางวัลจากนักเขียน
ร่องรอยวัฒนธรรมเดิมอีกอย่างหนึ่งก็คือ ที่ใต้ต้นโพใหญ่เก่าแก่หลังวัดเคยเป็นทีฝังกระดูกคนตาย เป็นการทำศพครั้งที่สอง คือเมื่อเผาศพที่ป่าช้าแล้วจะมีพิธีเก็บกระดูกมาฝังไว้ในวัด แล้วปักหลักเขไว้เป็นสัญลักษณ์ ณ ใต้ต้นโพใหญ่ต้นนี้จึงเต็มไปด้วยหลักเข(บางทีออกเสียงเป็นหลักเสซึ่งมีผู้เข้าใจผิดนำไปโยงกับเสมา) พร้อมด้วยเครื่องบูชาดอกไม้ ธูปเทียน และเครื่องใช้ของคนตายจำพวกถ้วยโถโอชามแตก ๆ หลักเขบางหลักตกแต่งสวยงามตาน่ากลัว(สมัยผู้เขียนเป็นเด็กกลัวมากไม่กล้าย่างกรายไปใกล้ต้นโพนี้เลย)
ผู้ได้รับทุนทั้งหมด
ขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย มาดูร่องรอยที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์อีสาน ในช่วงปีพ.ศ.๒๔๔๔ (ตรงกับรัชกาลที่ ๕) กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์มาดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ณ อุบลราชธานี มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงการปกครองหลายอย่างทำให้มีผู้ไม่พอใจและปลุกระดมส้องสุมกำลังกระจายอยู่ทั่วอีสานและสองฝั่งโขง จนต้องปราบปรามเป็นการใหญ่ แกนนำสำคัญคนหนึ่งถูกจับได้ที่บ้านผับแล้งแห่งนี้
ผอ.กล่าวประทับใจ
มีหลักฐานคือเครื่องมือทรมานนักโทษทิ้งไว้ใต้ต้นโพ(ต้นเดิม)มานาน เครื่องมือนี้เป็นท่อนไม้ เจาะรูสำหรับสอดขานักโทษ และตอกสลักตรึงไว้กันหนี เรียก “กับตีน” ผู้เขียนเคยนำเรื่องราวไปเผยแพร่แล้ว เพราะสืบไปสืบมาแกนนำคนดังกล่าว(องค์ซอง หรืออ้ายอะซอง)เป็นญาติสายตรงของบรรพบุรุษข้างฝ่ายแม่และยายตัวเอง(ยายบุญจันทร์ ใจภักดี)
หนังสือที่ได้รับบริจาคมากมายล้วนน่าอ่าน
ค่ะที่นำมาเล่าเพียงจะบอกถึงความสำคัญ ความเป็นมาในอดีตของหมู่บ้านให้รู้กันลืมเท่านั้นแหละ เพราะวันนี้มาเห็นร่องรอยแล้วระลึกถึง ความจริงยังมีเรื่องราวน่าสนใจให้ติดตามกันเยอะ ที่เขียนไว้ในหนังสือ “เมื่อยายอายุเท่าหนู” นั้นไม่ถึงเศษเสี้ยวของเรื่องจริงที่มีหรอกนะ ตอนนี้พิมพ์ครั้งที่ ๔ แล้ว มีจำหน่ายที่นานมีบุ๊ค ใครอยากอ่านสั่งผ่านยายนางก็ได้ รับรองอ่านแล้วได้ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา
ใต้ศาลามี บั้งไฟเก็บไว้
เพราะเรื่อง “เมื่อยายอายุเท่าหนู” เป็นเรื่องในบ้านผับแล้งนี้เอง เกิดจากความรัก ความอบอุ่นแห่งวัฒนธรรมหมู่บ้าน เป็นความประทับใจในวัยเด็ก เป็นความทรงจำไม่รู้ลืมก็เลยอยากให้เด็ก ๆ หันมามองดูถิ่นที่อยู่ของตนเองด้วยความรักบ้างจะได้ไม่น้อยอกน้อยใจจนทิ้งถิ่นไปดิ้นรนที่อื่น คิดและเชื่อตามคนอื่นว่าอีสานแล้ง ๆ จนฝังหัวซึ่งยายนาง ยายน้อย ตาอาจไปพบมาทั้งเมืองนอกเมืองนากลับเห็นว่าอีสานอุดมสมบูรณ์ น่าอยู่ ผู้คนน่ารักที่สุดละ
อีกอย่างจุดประสงค์ก็อยากให้รักอ่าน รักเขียน ก็เลยฝากเด็ก ๆ และคุณครูไว้ว่าใครอยากเขียน อยากบอกอะไรส่งไปให้ยายนาง ยายน้อยได้ จะให้รางวัล “เป็นสัญญานะ”
สิม(โบสถ์)เก่า
เราบอกก่อนลากลับ รับของฝาก มีทั้งข้าวสาร และปลาร้านำไปขึ้นรถ เตรียมตัวเดินทางขึ้นอีสานเหนือ เด็ก ๆ อยากไปดูไดโนเสาร์ที่ภูกุ้มข้าว กาฬสินธุ์ รวมกลุ่มวันหยุดกันทั้งทีต้องตะรอนกันไปทัศนศึกษาแบบครอบครัวพ่อใหญ่เลาะให้คุ้ม
แต่แหม... งานต้นเทียนพรรษาอันยิ่งใหญ่ในใจเราก็ยังดึงดูดอยู่ มาทั้งทีไม่ได้ดูก็ให้เสียดายนัก แต่จะคอยให้ถึงวันแห่ก็เสียเวลา ก็เลยเที่ยวดูตามวัด ตามวาเห็นเพียงเทียนที่กำลังขึ้นรูปขึ้นร่าง เห็นช่างกำลังขะมักเขม้นสร้างปราสาทเทียนและผึ้งก็เอาละ เลยแถมภาพประติมากรรมต้นเทียนงาม ๆ แปลก ๆ จากการจัดแสดงต้นเทียนนานาชาติ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ อุบลราชธานีมาให้ชมด้วยนะคะ
๐๐๐๐๐