http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 08/05/2024
สถิติผู้เข้าชม14,039,860
Page Views16,350,001
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

วรรณกรรมเยาวชน :กิ่งคำปายกับยายทวด โดยเอื้อยนาง ตอน6.นาไบ แม่เฒ่าผู้ทำให้ไฟดับ และมามิริสาวน้อยผู้มากับไฟ

วรรณกรรมเยาวชน :กิ่งคำปายกับยายทวด โดยเอื้อยนาง ตอน6.นาไบ แม่เฒ่าผู้ทำให้ไฟดับ  และมามิริสาวน้อยผู้มากับไฟ

                                           กิ่งคำปายกับยายทวด:

                         ตอน6.นาไบ แม่เฒ่าผู้ทำให้ไฟดับ  และมามิริสาวน้อยผู้มากับไฟ

                                                                                                                โดยเอื้อยนาง

            ฟ้าหม่น ฝนพร่ำ  อากาศฉ่ำและเยือกหนาว  ร่างเล็กๆ เปล่าเปลือยของหญิงชราสั่นสะท้าน พยายามขดตัวซุกหัวเข้าหาความอบอุ่นในโพรงไม้ใหญ่อยู่เดียวดาย

            ตะวันจวนจะลับฟ้า เม็ดฝนเริ่มซา แต่ลมยังหวีดหวิวต้องต้นสน   น้ำค้างหล่นพรูๆ ผู้ขดตัวอยู่ในโพรงใต้

            ต้นสนโบราณ  หนาวเหน็บ  เหน็ดเหนื่อยไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนไหว เพราะตั้งแต่เช้ามืดที่ซมซานจากหมู่บ้านมายังไม่มีอะไรตกใส่ท้องเลย 

            อี๊ด  อี๊ด ด....   มีเสียงสัตว์ร้องดังขึ้นใกล้ๆ  

            เจ้าวอมแบตหน้ากลมขนปุกปุยตัวหนึ่งมุดตัวเข้ามา  โพรงนี้แม้จะเป็นสถานที่ที่แม่เฒ่าและผู้หญิงหลายคนในเผ่าเคยเข้ามาพึ่งพิง  ใช้เป็นพักอาศัยเป็นพิเศษแห่งเพศพันธุ์  นั่นคือช่วงวันมีรอบเดือน  อันเป็นความลับเฉพาะผู้หญิงที่ผู้ชายรู้ไม่ได้   แต่มันก็คงเป็นที่พำนักของเจ้าวอมแบตมันเช่นกัน  และมันเพิ่งจะกลับเข้ามา มันคงแปลกกลิ่นแปลกใจ  มันจึงดุนจมูกอุ่นๆ เข้ามาดมๆ   ครั้นเห็นว่าผู้บุกรุกแทบสิ้นลมแน่นิ่งไม่ติงไหว แล้วนั่นแหละมันก็เลยเบียดๆ ชิดๆ จนแม่เฒ่าเจ้าของร่างที่ไร้เรี่ยวแรงได้รับความอบอุ่นขึ้นเริ่มขยับกาย  เจ้าสัตว์ขนนิ่มซุกไซ้ แม่เฒ่ากอดก่าย  สุดท้ายนอนกอดกันกลมหลับไปทั้งคนและสัตว์

            ตุ๊บ ! ตุ๊บ ! เสียงของหนักๆ หล่นลงมาจากปลายต้นสนโบราณที่สูงลิบลิ่ว

                        

            ในความสลัวรางแห่งยามพลบค่ำแม่เฒ่าในโพรงไม้เปิดเปลือกตาขึ้นมามอง   แล้วก็ต้องผวาตื่นเต็มที่ เมื่อได้เห็นร่างประหลาดมหัศจรรย์สองร่างหล่นลงมาเหมือนฟ้าส่ง

             แม่เฒ่าขยี้ตาอันฝ้าฟาง

             สองร่างนั้นเป็นคน เป็นคนแน่ๆ หาใช่สัตว์ หรือเทพไทองค์ใดไม่

             แต่ก็เป็นคนที่ออกจะประหลาดในความคิดของหญิงเฒ่าชาวเผ่า    เพราะทั้งสองที่หล่นลงมามีแขนขาหน้าตา  เผ้าผม เหมือนคน  แต่กลับไม่มีนมและอวัยวะบอกเพศ  เนื้อหนังเป่งพองยับย่น และมีสีสันต่างกันระหว่างท่อนร่างกับท่อนบน

             “นิ้วมือของมันก็มีเหมือนมือคน  แต่นิ้วตีนซีกลับกุดกลมใหญ่โต”

             แม่เฒ่าลูบคลำมือไม้ของตนเองขณะเพ่งมองสองร่าง  หนึ่งยาว  และหนึ่งนั้นสั้นกว่า  หล่นลงมาแล้วนอนนิ่งไม่ติงไหว  เจ้าตัวสั้นและเล็กกว่านั้นตกลงมาก็กลิ้งไม่เป็นท่า ราวกับว่ามันเป็นเพียงเศษไม้กองหนึ่ง

            “หรือว่าพวกมันตายไปแล้ว”

             ความสงสัยใคร่รู้ทำให้มีเรี่ยวแรง แกยันกายลุกขึ้นก้าวออกจากโพรงไม้         มีวอม

แบตเจ้าสัตว์ตัวอ้วนกลมปุกเดินตะลุกปุ๊ก ๆ  ตามมาเหมือนรู้ใจ และมันก็เดินได้ไวกว่าเสียอีก  มันเดินไปใช้จมูกดุนๆ ดมๆ  ใช้ร่างกลมอ้วนและก้นใหญ่ๆ ของมันเสียดๆ ถูๆ สองร่างประหลาดนั้น   เหมือนจะให้ความอบอุ่นเช่นที่ทำกับแม่เฒ่าเมื่อครู่ที่ผ่านมา

                            

                                                           วอมแบต

            ไม่นานสองร่างก็ขยับกายเคลื่อนไหว  ร่างใหญ่กว่าลุกขึ้นนั่งก่อน มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง มองบนมองล่างแล้วกระโดดลุกขึ้นยืน

           “นี่ที่ไหนกัน  อ้าวนี่ใคร...คุณ  คุณครับ”

           หนุ่มตัวสูงโย่งที่มีแขนขายาวเกะกะ  พิจารณารอบข้างแล้วก็มาพยามยามปลุกคนที่นอนเหยีอดยาวบนพื้นให้ลุกขึ้นมาร่วมรับรู้ชะตากรรม

           “โอ้ย...ที่นี่ ที่ไหนกัน ฉันไม่ได้อยู่เครื่องบินหรือ”

           สาวน้อยเจ้าของร่างที่ถูกปลุกลุกขึ้นมาทำหน้าตาเลิ่กลั่ก  แต่เปล่งภาษาพูดออกมาคนละภาษา   เห็นเขาทำหน้างงจึงพูดใหม่เป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น  แต่ก็เข้าใจกันได้ในทันทีเพราะได้สัมผัสกลิ่นไอแห่งความทุกข์ร้อนร่วมกัน

           “คุณ...”

           “โรบินสัน ครับ”

           “ฉันกิ่งคำปาย  นี่เรายังไม่ตายใช่ไหมคะ”

           “ผมคิดว่าไม่นะ  แม้ว่าเราจะ...”

            “ตกลงมาจากเครื่องบิน หรือเครื่องบินพาเรามาตกลงที่นี่”

           “แล้วคนอื่นๆ บนเครื่องบินเล่า เขาไปไหนกันหมด เขาหล่นลงมาด้วยหรือเปล่า ซากเครื่องบินเล่าอยู่ที่ไหน...” 

            พูดพลางกระโดดลุกขึ้นสำรวจตัวเอง ก้มมอง เอียงข้างซ้ายขวา  หน้าหลัง มือไม้ หน้าตาล้วนอยู่ครบ

           “นั่นซีนะ ดูซีร่างกายของเราไม่ได้มีอะไรแสดงให้เห็นว่าตกลงมาจากที่สูงเลย”

           กิ่งคำปายหยิกๆ ดูเนื้อของตัวเองรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ แสดงว่าไม่ตายจริงๆ  แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวนอกจากเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายแล้ว   ก็มีเพียงกระเป๋าผ้าใบจิ๋วสายยาวๆ บรรจุสิ่งของเล็กๆ เช่นบัตรต่างๆ  และรูปถ่ายของแม่  ยาย  และป้าผู้ที่เธอจะเดินทางไปหา  กับอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือ  จี้ห้อยคอตลับเงินอันจิ๋ว เด็กสาวใช้มือกำไว้แน่นรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา

            มีคำถามมากมาย  แต่คำตอบคงอยู่ในอากาศ  ไม่มีใครตอบได้  แม้แต่คนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันขณะนี้

           “แกหล่นลงมาจากฟ้า...แกมาจากฟ้า”

           เสียงแม่เฒ่าเจ้าของร่างงองุ้ม ผิวดำมะเมื่อม เปลือยเปล่า ที่สองหนุ่มสาวเพิ่งสังเกตเห็น ร้องบอก   พลางชี้มือขึ้นไปเบื้องสูง  สองหนุ่มสาวต่างชาติต่างผิวพรรณหันมามองเป็นตาเดียวกัน  ต่างผงะด้วยความตกใจ  “คนหรือนี่”  เด็กสาวคราง มองร่างนั้นด้วยความพิศวง  ไม่เข้าใจภาษาและคำพูดของแม่เฒ่าเพียงแม้สักคำ

           “นี่มันเกิดอะไรขึ้นหนอ”

           กิ่งคำปายอยากตะโกนก้องตามความเคยชิน  เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนขัดใจ   แต่ตอนนี้มีแต่ต้องสงบปากสงบคำรักษาท่าที  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดแปลกแตกต่าง

          “อย่าเอ็ดไปนะนังเหลนขี้สงสัย”

           เสียงนั้นเปล่งออกมาจากปากเจ้าสัตว์ตัวกลมๆ ขนนิ่มๆ ที่คลอเคลียอยู่กับแม่เฒ่าเจ้าของโพรงไม้นั่นเอง

          “ยายทวดเองหรือที่ทำเรื่องนี้น่ะ”

            เด็กสาวเพิ่งนึกได้จึงใช้มือคลำดูจี้ที่ห้อยคอ  เห็นยังอยู่แต่มันปิดสลักสนิทจึงก้มลงไปใกล้เจ้าสัตว์ที่มองมาตาแป๋วแหวว  แล้วกัดฟันถาม ความโกรธตามขึ้นมาเป็นริ้วๆ

           “เออแต่ข้าก็ช่วยเจ้า กับเจ้าหนุ่มนั้นไม่ให้ตายเพราะเครื่องบินตกนั่นแหละ”

           รอดตายจากเครื่องบินตกหรือ  แต่ต้องมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มองไปทางไหนมีแต่ป่าดงพงไพรที่มีต้นไม้ต้นไร่แตกต่างจากที่เคยชิน ลำต้นสีขาวโพลนสูงชะลูดของยูคาลิปตัส ดูราวกับคนเปลือยร่างยืนโย่งเย่ง   คนคนเดียวที่มีให้เห็นขณะนี้ก็เป็นคนประหลาด   เนื้อตัวผมเผ้าดูราวกับไม่ใช่คน   แถมไม่สวมเสื้อผ้า  ไม่เกรงกลัวสายตาคน สัตว์  หรือเทพยดาฟ้าดินองค์ใดเลย

           “และตอนนี้ ข้าจะช่วยเจ้ากับหนุ่มนั้น”   เจ้าสัตว์ตัวกลมขนฟูทำเสียงวางท่าก่อนชำเลืองไปทางหนุ่มโย่งนิดหนึ่ง    “ให้เข้าใจภาษาของแม่เฒ่าชาวเผ่าคนนั้นก่อน”

           “แสดงว่าตัวเองมีเครื่องแปลภาษาให้เป็นสากลว่านั้นเถอะ”  ชักน่าสนใจ  ค่อยคลายโกรธแต่น้ำเสียง  ยังออกประชด ๆ

           “เออน่ะ จะมีอะไรก็ช่างเถอะ เรื่องของเจ้านางคำปลิวซะอย่างสบายไปแปดอย่าง”

            “ทำพูดดีไปเถอะ”

            เด็กสาวเผลอค้อนคว่ำใส่เจ้าวอมแบต ลืมไปว่ามีหนุ่มหน้ายุ่งคอยสังเกตสังกาอยู่อย่างใกล้ชิด แต่ฝ่ายนั้นทำไก๋เหมือนไม่ได้ใส่ใจ ก็อะไรๆ มันผิดรูปผิดแผนอยู่ทั้งนั้น หากหญิงสาวคนนี้เบลอๆ  บวมๆ ไปอีกบ้าง ก็คงเป็นเพราะสถานการณ์ที่สุดจะรับได้สำหรับเธอนั่นเองแหละ คิดแล้วเขาก็ให้อภัย  อย่างน้อยก็ยังได้มีเพื่อนไม่เปล่าเปลี่ยวเดียวดายในโลกประหลาดนี้นัก

             พระจันทร์ดวงกลมเปล่งรัศมีสีสวยประหลาด  ลอยเลื่อนอยู่เหนือยอดสนโบราณ ส่องแสงสลัวรางไปทั่วราวไพร   แม่เฒ่าซึ่งตอนนี้ร่างไม่เปล่าเปลือยแล้วเพราะมีเสื้อแจ๊คเก็ตตัวโคร่งของหนุ่มโย่งห่อหุ้มร่างกาย กันความเหน็บหนาว   ที่จริงกันความอุจาดนัยน์ตาของเขาและเธอนั่นแหละ   คนอะไรไม่เคยใส่สวมเสื้อผ้าและไม่รู้ว่าเสื้อผ้าคืออะไร

              “ข้าชื่อนาไบ”    แม่เฒ่าบอกสองหนุ่มสาวที่แกเห็นหล่นมาจากฟ้าว่าอย่างนั้น

              “ค่ายพักของข้าและชาวเผ่าอยู่โน้น ไกลออกที่ริมลำธาร”

             “แล้วทำไมแม่เฒ่าจึงมาอยู่ที่คนเดียว” สองหนุ่มสาวมองไม่เห็นสิ่งของที่น่าจะบอกให้รู้ว่าที่นี่คือที่พักอาศัย แม้เศษเครื่องใช้สักชิ้นก็ยังไม่มี

             “ข้าทำไฟดับ  ข้าทำไฟดับไป  ข้าเหลวไหล  สมควรแล้วที่ได้รับโทษ ถูกเนรเทศออกจากเผ่า”

             เสียงพูดนั้นสั่นพร่าแล้วหายไปในลำคอในที่สุดก็ไม่พูดจาอะไรอีกเลย   ผู้มาใหม่ทั้งสองได้แต่เงียบงันไปเช่นเดียวกัน  เงียบงันเพราะงงงันด้วยนั่นแหละ

              ทำไฟดับ เนรเทศออกจากเผ่า ไฟฟ้า หรือไฟอะไร สองหนุ่มสาวต่างผิวพรรณไม่กล้าถาม ต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด พิศวง ที่สุดได้แต่ฝืนยิ้มเศร้าๆ ให้แก่กันและกัน

              เวลาผ่านไปไม่นาน  ทั้งสามคนก็คุ้นเคย  และวางใจคนแปลกหน้า   เช่นเดียวกับวอมแบตน้อยที่ออเซาะฉอเลาะ  ราวกับว่าตัวเองก็เป็นคนคนหนึ่งเช่นกันกับเขา   ซึ่งที่จริงกิ่งคำปายรู้อยู่แก่ใจ  แต่เธอสู้อุตส่าห์เก็บเงียบไว้คนเดียว  ยังไม่อยากบอกให้ใครๆ ให้ได้รู้ เพราะคร้านจะอธิบาย

              ทำไงได้ล่ะ  หลายอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เหลือเชื่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะหนุ่มหัวสมัยที่เกิดในสังคมที่เชื่อเรื่องเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อย่างโรบินสันนั้น  อธิบายไปก็คงเหนื่อยเปล่า

              “เอาไว้ค่อยว่ากันอีกที  ตอนนี้เรารู้กันอยู่สองคนก่อนนะยายทวด”   เด็กสาวงึมงำกับเจ้าวอมแบต

              ทันใดนั้น  มีแสงไฟวับแวมเคลื่อนไหวตรงชายป่า   แม่เฒ่านาไบทำตัวหายวับเข้าไปอยู่ในโพรงไม้อย่างรวดเร็ว ทันที  แล้วทำสัญญาณให้ทุกคนตามเข้าไป และกระซิบกระซาบให้เงียบเสียงกันทุกคน เหมือนเกรงกลัวแสงนั้นนักหนา

              แสงไฟเคลื่อนตรงเข้ามาใกล้  จนได้ยินฝีเท้าเจ้าของผู้ถือคบไฟก้าวเดินเข้ามา   ดูเหมือนผู้ถือนั้นจะมุ่งหน้าตรงมาจนยากที่จะหลีกหลบ

              “แม่เฒ่านาไบ ท่านอยู่นี่หรือเปล่า”

             เสียงใสๆ ของเด็กสาวผู้ถือคบไฟดังขึ้น แม่เฒ่าถอนหายใจโล่งอกเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงของใคร แกโผล่หน้าออกไปจากโพรงที่หลบซ่อนตัวแล้วถามว่า

            “มามิริ  มามิริเจ้าใช่ไหม   เจ้ามาทำไม  มีใครตามเจ้ามาหรือเปล่า”

            ผู้ที่ถูกเรียกว่ามามิริลดคบไฟในมือลง  วางไว้ข้างโคนต้นไม้ ก่อนย่างเท้าเข้ามาใกล้

            แสงสลัวจากคบไฟส่องให้เห็นร่างคล้ำเนียน ที่แทบจะเปลือยเปล่านั้นสล้างเสลากลมกลึงราวกับรูปสลักประณีตศิลป์   ขนสัตว์ผืนน้อยผืนเดียวบนร่างของเธอที่ใช้พันรอบเอว  แหว่งเว้า รุ่งริ่ง กระดิกไหวตามจังหวะที่เจ้าตัวก้าวเดิน ดูราวกับจงใจให้เป็นแฟชั่นสุดเก๋ ออกแบบโดยดีไซด์เนอร์ฝีมือเยี่ยม

             “นางฟ้าในพงไพร หรือนางไม้ในแดนป่ากระมัง”

              สาวน้อยอดีตนักซิ่งมอเตอร์ไซค์จากไทยแลนด์พึมพำ  แต่ฝ่ายชายที่หน้าตาเหมือนแขกขาวผู้อ้างว่าตัวมาจากอังกฤษ  จะไปเยี่ยมยายที่ซิดนีย์นั้นตะลึงมองอ้าปากค้าง ไม่พูดจาสิ่งใด

และก่อนที่มามิริจะเดินเข้ามาใกล้จนมองเห็นสองหนุ่มสาว แม่เฒ่านาไบก็รีบถอดเสื้อแจ๊คเก็ตทิ้ง  แล้วผลุนผลันมุดออกไปนอกโพรง  ทำสัญญาณบอกให้ทั้งสองในโพรงเงียบเสียง

             “ข้ามากับตัมบู”

             ผู้มาใหม่บอกเสียงเบาเหมือนเกรงใครอื่นได้ยินเข้า  “ เขาคอยดูต้นทางอยู่ใต้ต้นกัมแดงต้นใหญ่โน่น นี่น้ำผึ้งสำหรับแม่เฒ่ากับเนื้อเต่าย่าง”

              “เจ้ากับตัมบูเสี่ยงภัยเพื่อข้าทำไม  มันไม่คุ้มเลย”

              เสียงแม่เฒ่าสั่นเครือ แต่อีกฝ่ายไม่ใส่ใจเพราะรีบเร่ง ยัดเยียดสิ่งที่ถือมาลงในมือแม่เฒ่าแล้วถอยกลับออกไป แต่ไม่วายสั่งว่า

             “ข้าจะทิ้งคบไว้ให้ แม่เฒ่าก่อไฟได้ในยามกลางคืนอย่างนี้ แต่ตอนกลางวันอย่าให้มีควันเป็นอันขาด หากมีใครเห็น ข้ากับตัมบูจะถูกสงสัยเป็นคนแรกแม่เฒ่าก็รู้”

             แม่เฒ่าใช้มือป้ายน้ำตา  ก่อนกลับหันมาหาสองหนุ่มสาว   และทันทีที่ร่างมามิริหายไปจากสายตา

             โรบินสันก็กระโจนพรวดออกจากโพรงไม้ไปหาคบไฟ  ส่วนกิ่งคำปายกลับสนใจสิ่งในมือของแม่เฒ่ามากกว่า  กลิ่นหอมของน้ำผึ้งรวง  กับเนื้อเต่าย่างทำให้น้ำลายไหล ท้องไส้เคลื่อนไหวโค รกคราก  ด้วยความหิวขึ้นมาทันที   แม้มันจะเป็นเนื้อเต่าก็เถอะ  มันก็เอร็ดอร่อยที่สุดในโลกสำหรับเธออยู่แล้วตอนนี้

              “ถ้าพระเจ้ากรุณา พระองค์คงประทานน้ำให้ข้าบ้างหรอกในตอนนี้”

             กินอิ่มหนำกันแล้วนั่นแหละหนุ่มโย่งจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ

             “มาเถอะเราจะไปเอาน้ำกัน เจ้าถือคบไฟนะ”

              หญิงชราบอกชายหนุ่มแล้วยกภาชนะรูปร่างคล้ายโถที่ทำจากเปลือกไม้บางชนิด  ซึ่งมามิริใช้บรรจุน้ำผึ้งมาให้เมื่อครู่ขึ้น  เดินนำหน้าสองหนุ่มสาวเข้าไปในป่า  ก้มลอดลดเลี้ยวไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  หล่อนบอกให้คนถือคบไฟชูขี้นให้มันสูงพอที่จะมองเห็นหลุมเล็กๆ ที่เกิดอยู่ตรงรอยแยกของเปลือกไม้   ใช้โถเปลือกไม้ในมือตักน้ำขึ้นมาจากหลุมนั้นดื่ม แล้วยื่นให้กิ่งคำปาย

             น้ำค้างในหลุมบนต้นไม้มีรสฝาดเฝื่อนนิดๆ  เจือกลิ่นหอมจางๆ ของเปลือกไม้  และเย็นจนแทบกระด้าง  แต่ในยามยากอย่างนี้มันก็มีค่ามากหลาย  หลังจากดื่มจนอิ่มแล้ว กิ่งคำปายก็ยังใช้ลูบหน้าลูบตา  เรียกความสดชื่นให้ตัวเอง  ก่อนยื่นโถเปลือกไม้ให้ชายหนุ่ม และช่วยถือคบไฟบ้าง  จัดการจนได้น้ำมาดื่มเสร็จแล้วเขาจึงบอกกับเธอว่า

            “คุณช่วยส่องไฟให้ด้วย ผมจะเก็บกิ่งไม้ไปก่อไฟ”

            เม็ดฝนจะเพิ่งขาดหาย ทุกอย่างในป่าเปียกชื้น แต่เพื่อให้ชีวิตรอดจากความหนาวเย็นก็ต้องเสาะหาสิ่งที่ให้ความอบอุ่นให้ได้  โชคดีนักหนาแล้วที่มีคบไฟมาให้ต่อเติม

            ครั้งหนึ่งกิ่งคำปายเคยเข้าค่ายลูกเสือ  เพื่อนในกลุ่มมีทั้งหญิงชาย  ช่วยกันเก็บกิ่งไม้ก่อไฟหุงหาอาหาร  ครั้งนั้นช่างสนุกกันนัก  ทำงานไปหยอกล้อเล่นหัว  หุงข้าวดำไหม้จนถูกคุณครูผู้ควบคุมคาดโทษ  ก็กลายเป็นว่ามันเกรียมกรอบหอมดี  กินกันอร่อยนักหนา  มาถึงตอนนี้การเก็บกิ่งไม้เพื่อก่อไฟให้ความอบอุ่นเพื่อความอยู่รอดจริงๆ  ความรู้สึกกลับต่างไป  เพื่อนใหม่ทั้งสอง ชายหนุ่มต่างผิวพรรณ กับหญิงชราผู้มีชีวิตอยู่ในสังคมยุคหินก็ไม่ใช่ และไม่เหมือนกลุ่มแก๊งมอเตอร์ไซค์เหินหาวในครั้งกระโน้น   ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาจึงเข้าเกาะกุม   ป่านนี้ป้าที่มารอรับที่สนามบินซิดนีย์คงจะรู้แล้วว่าเกิดอุบัติเหตุ  กิ่งคำปายหายไปและป้าก็คงโทรบอกแม่ไปแล้ว  คงช๊อคไปตามๆ กันแน่ ยายสร้อยสายคำคงอาการหนักที่สุด

              สายลมพัดพรู เยือกหนาว อกสาวสะท้านไหว คิดถึงเมืองไทย คิดถึงยายสร้อยสายคำป่านนี้คงพร่ำบ่น ภาวนาส่งใจมาหาหลาน

ลมเอยพัดออน                    

พัดกลิ่นหอมอ่อน แห่งราตรีกาล

หอมนิ่ง หอมนาน

วานลมให้พัดใจ                   พัดไปสู่แดนไกล

พัดไปบอกสร้อยสายคำ ว่ากิ่งคำปายยังอยู่

พัดไปบอกให้รู้ว่ายังอยู่ในที่แสนไกล

-------------------------------

 

 

 

 

 

Tags : เอื้อยนาง OUYNANG วรรณกรรมเยาวชน

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view