วรรณกรรมเยาวชน กิ่งคำปายกับยายทวด
โดยเอื้อยนาง
ตอน 7. เจ้านางคำปลิว
ไฟกองโตลุกโพลง ขับไล่ความมืดและหนาวเย็นไปได้บ้าง หนุ่มโย่งล้มตัวลงนอนข้างกองไฟ ส่วนกิ่งคำปายพอใจจะเข้าไปเบียดวอมแบต กับแม่เฒ่านาไบในโพรงมากกว่า ทวดคำปลิวในร่างวอมแบตตอนนี้ก็สงบเสงี่ยมเงียบหงิม จนกิ่งคำปายไม่แน่ใจว่าทวดยังอยู่หรือไม่ กระนั้น
ก็ยังเบียดหลังพิงอิงแอบเอาความอบอุ่นจากขนนุ่มนิ่มของเจ้าสัตว์น้อย
ลมต้องสนเสียงดังหวีดหวิว กิ่งคำปายแว่วๆ ได้ยินเป็นเสียงยายสร้อยสายคำกำลังขับกล่อมให้นอน น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเสียงลมอ้อนปลายไผ่ แกว่งไกว
โยกโยนดังอยู่แว่ว ๆ
นอนสาหล้าหลับตาแม่สิกล่อม....
สายใจสายคอของยายเอย นอนเถิดหนาหลับตานอนอู่
นกอีจู้มันกู่มันร้อง
มันมากล่อมน้องให้นอนหลับตา
พ่อไปไฮ่ปิ้งไก่มาหา
แม่ไปนาปิ้งมามาป้อน
เจ้าอย่าอ้อนนอนอู่สายคำ....
ดึกมากแล้ว น้ำค้างพร่างพรม แต่ลมกลับนิ่ง เสียงนกและสัตว์ป่าบางชนิดกู่
ร้องก้องดัง ฟังเหมือนเสียงเด็กร้องไห้แว่วมาจากที่ไกลๆ สองคนกับหนึ่งสัตว์ขดตัวเข้าในโพรงไม้แคบๆ แล้วหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย
นอนสาเด้อหล้าหลับตานอนอู่
เจ้าผู้ฮู้นอนอู่สายไหม
ลูกผู้ใด๋สายใจนอนอู่
เป็นลูกสูมาเอาไปมื้อนี้
ข้ามแต่นี้นางเป็นลูกกู...อื่อ อือ อ อ...จ๊ะ
เสียงเห่กล่อมในพิธีสู่ขวัญรับเอาเจ้าคำปลิวทารกน้อยจบลงด้วยเสียงร้อง จ๊ะ...ของหญิงชราผู้เป็นย่าของเจ้าหนูน้อย ก่อนวางร่างเล็กจิ๋วในอ้อมแขนลงในเปลอย่างแผ่วเบา และนุ่มนวล
เสียงร้องดังจ้า เมื่อเปลถูกแกว่งไกว ญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายที่รายล้อมแย้มยิ้มอิ่มใจ ทยอยกันเข้าผูกข้อมือเล็กๆ นั้นด้วยสายสิญจน์
มาเยอขวัญเอย
เมื่อวานเป็นลูกผี
วันนี้เป็นลูกคน มาเย้อ...
“นาชังอะไรอย่างนี้ ปากอิ่ม แก้มนิ่มเป็นสีกุหลาบเชียว”
“เอาผูกเบื้องซ้ายขวัญมา ผูกเบื้องขวาขวัญอยู่เน้อ”
“ดูผิวเจ้าผิวผ่องดังทองคำเชียว เจ้าชื่อคำปลิวก็แล้วกันนะ...ขอให้ใหญ่กล้าหน้าบานเร็ววันเป็นหลานขวัญหลานแก้วของย่าเด้อ”
ผู้เป็นย่าคือเจ้านางแห่งนครจำปาศักดิ์เอ่ยอย่างชื่นชมผู้ที่ร่วมในพิธีต่างเออออ อื้ออึง ด้วยชื่นบานหรรษา ต่างขานรับด้วยคำเพราะเสนาะหู อิ่มเอม เปรมใจกับผู้เป็นเจ้าปู่ เจ้าย่า และเจ้าหลานผู้เป็นทารกน้อยเพิ่งลืมตาดูโลกได้ครบสามวันในท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้ก ของแขกเหรื่อที่มาห้อมล้อมแห่แหนนั้น ผู้เป็นแม่ของคำปลิวเจ้าตัวน้อย กลับนอนนิ่ง เหม่อลอยอยู่ข้างคีไฟ น้ำในหม้อที่ตั้งบนก้อนเส้าเดือดปุดๆ กลิ่นสมุนไพรโชยชายหอมกรุ่น กระบวยอันน้อยด้ามไม้สลักลวดลายนาคสองตัวตวัดพันเกี้ยวกอดวางพาดอยู่บนปากหม้อ
นานเท่าไหร่แล้วหนอที่ผู้สลักลวดลายนั้นไม่ได้กลับมาใช้และจับต้องมันอีก นานเท่าไหร่แล้วที่ตัวเขาจากไปทิ้งไว้แต่ลูกในท้อง และสิ่งของอันเป็นฝีไม้ลายมือให้คนอยู่หลังคำนึงถึง หญิงสาวมองทุกคนชื่นชมลูกน้อยแล้วน้ำตาไหลซึม ใช้มือข้างหนึ่งป้ายน้ำตา อีกมือหนึ่งควานเข้าไปใต้หมอน ดึงสิ่งหนึ่งออกมามองดูมันผ่านม่านน้ำตา
“อิ่นอ้อยออยคำตัวนี้พี่ให้เจ้าเก็บไว้แทนใจ ส่วนอีกตัวนี้ที่เป็นคู่ของมันพี่เก็บเอาไว้ติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง ที่จริงมันต้องอยู่คู่กัน มันเป็นตัวผู้กับตัวเมียเจ้าดูซี...”
เสียงเขาชี้ชวนให้ดูหอยสีชมพูเลื่อมมุกมันปลาบ ตัวเล็กๆ เท่าเหรียญคำ ลักษณะกลมนูนด้านหนึ่ง แต่อีกด้านกลับแบนราบมีร่องขดเป็นวงลงลึกเป็นปากหอย สองตัวมีวงเวียนไม่เหมือนกัน
“ตัวของเจ้าเวียนซ้าย จำไว้ตัวของอ้ายนี่เวียนขวา มันเป็นคู่รักกันอยู่ด้วยกันมาแต่ไหนแต่ไร แม้อ้ายจะนำตัวหนึ่งจากไปไกล แต่มันสองยังครองใจเหมือนกับเราทั้งสองยังครองรักกันอยู่ แม้ห่างกันคนละฟากฟ้า มันก็เหมือนยังอยู่คู่กัน ด้วยมีสายใยแห่งรักร้อยเข้าไว้ด้วยกันตลอดเวลา เจ้าคอยอ้ายนะ เจ้าคอยอิ่นอ้อยก็คอยด้วย”
ทารกน้อยในเปลร้องจ้า ท่ามกลางเสียงผู้ใหญ่พูดจาหัวเราะหยอกล้อ ชื่นชม ต่างนำเงิน กำไล สายสร้อยที่นำมาเป็นเครื่องรับขวัญวางลงข้างกายเด็กน้อย จนเปลหนักอึ้งเจ้าคำปลิวตัวน้อยกลับร้องไห้ดังลั่น ร้องไปเหยียดยาวราวกับจะขาดใจ ใครต่อใครต่างผลัดกันเข้าไกลเปลกล่อม แต่เสียงร้องนั้นกลับดังยิ่งขึ้นราวกับถูกขัดใจใหญ่หลวงนัก ผู้ที่มาชุมนุมในหอคำ(คฤหาสน์)ของเจ้าเมืองเริ่มมองหน้าสบตากันด้วยแววกังวล
เด็กอาจหิวนมกระมัง ผู้เป็นเจ้าย่ายื่นมือช้อนผ้าแพรที่ห่อหุ้มร่างเล็กจิ๋วแต่เสียงจ้านั้น อย่างเบามือทะนุถนอม พาไปให้แม่ผู้ยังนอนอยู่ไฟเพื่อให้นม แต่ปากน้อยๆ ไม่ยอมงับเอาหัวนมยังคงอ้ากว้างส่งเสียงร้อง เอาเป็นเอาตาย
“ เจ้าปู่เล่ามาผูกแขนรับเอาขวัญหลานแล้วหรือยัง”
ใครบางคนตะโกนแข่งเสียงเด็กออกไปที่โฮงกลาง อันเป็นห้องโถงใหญ่ ใช้เป็นที่ชุมนุมญาติพี่น้องและไพร่พลของเจ้าเมือง เจ้าโฮงและแขกเหรื่อกำลังนั่งดื่มกินสรวลเฮฮากันอยู่ที่นั่น
“ใครว่ากันล่ะ ก็ข้ากำลังจะมา หลานของข้าข้าไม่รับแล้วใครจะรับได้”
ชายผู้เป็นผู้ใหญ่กว่าคนทั้งปวงในที่นั้น และเป็นเจ้าปู่ของทารกน้อยว่าพลางเดินผึ่งผายมาหา ก้มลงกระซิบกับเจ้าน้อยผู้อ้าปากร้องไม่หยุดเบาๆ เว้าวอนเสียงอ่อนโยน แล้วเป่าขม่อมน้อยๆ นั้นแผ่วผิวสามครั้ง โอม...เพี้ยง...ๆ....ๆ ...ก่อนใช้ของบางสิ่งสวมลงที่คอน้อย เป็นสร้อยเงินเส้นยาวพร้อมจี้ที่ทำขึ้นเพื่อบรรจุเครื่องรางโดยเฉพาะ ลักษณะเป็นตลับรูปร่างกลมรีสลักลวดลายพญานาค มีเดือยเล็กๆ ด้านข้างสำหรับเปิดปิด
เสียงร้องเงียบลงเป็นปลิดทิ้ง ตลับเงินใบจิ๋วลายพญานาคสะท้อนแสงแวววับอยู่กับแพรไหมที่ใช้ห่อหุ้มเจ้าตัวน้อย
“นี่เป็นของฝีมือพ่อของเจ้าทำขึ้นเองนะ หากเขาอยู่ที่นี่เขาคงจะดีใจมาก”
เจ้าปู่กลืนก้อนที่จุกแน่นในอกลง เป่าขม่อมน้อยๆ อย่างแผ่วผิวอีกทีหนึ่ง แล้วกลับไปที่กลุ่มเดิม คนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นทยอยกันตามไปร่วมวง ยังเหลือแต่นางพี่เลี้ยงที่คอยดูแลฟืนไฟและแม่ลูกอ่อนผู้นอนอยู่ข้างคีไฟ(รางตั้งเตา หรือก้อนเส้าสำหรับก่อไฟในบ้านเรือน)
“อย่าลืมดื่มน้ำร้อนมากๆ นะเจรียงทอง มันช่วยขับน้ำคาวปลาถ่ายเลือดถ่ายลมให้คนอยู่ไฟดีที่หนึ่งเลยหละ อย่าคร้านในการดื่มกินและอาบน้ำร้อน ทาขมิ้นผสมไพลให้ผิวผ่องนะลูก เดี๋ยวเจ้าราชวงศ์ลูกชายข้า กลับมาเขาจะได้เห็นเมียที่สวยสาวราวกับเป็นสาวขึ้นใหม่เทียวแหละ”
เจ้าแม่แห่งนครจำปาศักดิ์สั่งลูกสะใภ้ผู้กำลังอยู่ไฟ แล้วตามหลังสวามีและคนอื่นๆ ไป ทิ้งให้เจรียงทองแม่ลูกอ่อนนอนนิ่งอยู่ข้างเตาคีไฟเพียงเดียวดาย
“เดี๋ยวเจ้าราชวงศ์กลับมา...เมื่อไรเล่าเขาจะกลับมา”
ประโยคนั้นตอกย้ำเป็นคำถามที่ไม่เคยมีคำตอบของสาวแม่ลูกอ่อนเจรียงทอง ให้ยิ่งต้องหม่นหมองครองเศร้า และเหงาทรวง
นานเท่าไหร่แล้วหนาที่เขาจากไปกับชาวจีน ชาวค้า ชาวสำเภา ข้ามน้ำข้ามมทะเลไปแดนไกล ออสเตรเลียประเทศใหม่ เขาบอกว่าจะไปขุดทองคำ นำมาเป็นทุนกอบกู้บ้านเมืองจากการยึดครองของฝรั่งเศส เขาร่ำลือกันนักหนาว่าที่เกาะใหญ่
อันได้ชื่อว่าประเทศออสเตรเลียโน้นมีทองคำมากมาย มากมายเหมือนหินทรายในแก่งดอนโขงนั่นแหละ ภูเขาทั้งลูกของที่นั่นคือแหล่งทองคำ ชาวจีน ชาวญวนเขาล้วนหลั่งไหลกันไปที่นั่น
“เจ้าอ้ายเป็นถึงราชวงศ์แห่งจำปานครราช อันเคยยิ่งใหญ่รุ่งเรือง เหลืองเลื่อมมาแต่โบราณกาล ผ่านมาถึงวันนี้ที่ชาวลาวเฮาถูกย่ำยี ถูกแบ่งแยกให้เป็นข้าสองเจ้าแบ่งเล้าสองฝ่าย ฝั่งซ้ายฝรั่ง ฝั่งขวาสยามยึดครอง อ้ายจะอยู่ดูดายได้อย่างไรอ้ายไปไม่นานหรอกขอให้เจ้าน้องคอยก่อน ...”
แต่นี่กลับนานนักหนาแล้วสำหรับคนคอย นานตั้งแต่เดือนสามผ่านยามแล้งร้อนมาจนฟ้าหม่นฝนหลั่ง จนกระทั่งจะเริ่มหนาวข่าวคราวก็ยังเงียบหายเงียบหายไปกับสายลม ที่อุ้มสมพัดพาเรือใบสำเภาไปขุดค้นค้าขายยังแดนไกล ไกลสุดเขตขอบฟ้า จนเวลาผันผ่านเป็นเดือนเป็นปี ตั้งแต่เลือดในกายก่อตัวขึ้นในครรภ์ได้เพียงสองเดือน จนบัดนี้ลูกน้อยลืมตามาดูโลกอันเงียบเหงา เพราะสาวเจ้าผู้เป็นแม่เอาแต่ตั้งตาคอย ได้เห็นหน้าลูกน้อยกลับยิ่งเศร้าสร้อยคิดถึงเขา อยากให้มาช่วยกันเลี้ยงเจ้าหนูน้อยให้เติบใหญ่
นอนสาหล้าหลับตาแม่สิกล่อม....
นอนอ้อมล้อมในอู่สายไหม
พ่อไปไททางไกลทางค้า
น้อยอ่อนหล้าคอยพ่อกลับมา
นอนสาหล้าหลับสาก่อน....อื่อ อือ อ อ......
************