คึดฮอดเมืองลาว ๑๒
นคเรศล้ำนั้นชื่อ หลวงพระบาง : นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ
“เอื้อยนาง”
นคเรศล้ำนั้นชื่อหลวงพระบาง
นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ
เชียงทองล้นมะลุงมะเลืองล้านย่าน
น้ำแผ่ล้อมระวังต้ายชั่วตา
ฮุ่งค่ำเช้าชาวเทศเทียวสำเภา
อุดมโดยดั่งดาวดึงฟ้า
มีพนังกั้นหลายถันแถวตาด
คนหลั่งเข้าแลงเช้าส่วยสน
.....
นั่นเป็นบทกลอนจากวรรณกรรมลาวโบราณ ที่เอ่ยถึงโลเกชั่นของนครหลวงพระบาง หรือ เชียงทอง ในอดีต (จากบทของอาจารย์สมภพ ทรัพยากรบุคคลท่านหนึ่งของลาว-ไทย) ซึ่งมีปรากฏในวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น กาละเกด สินไซ โสวัด ฯลฯ
เมืองหลวงพระบางในครั้งนั้นกวีบรรยายว่าเป็น นคเรศล้ำ นครเลื่องลือ รุ่งอร่ามมเรืองรอง ที่มี นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ คือเป็นชุมชนบ้านเมืองที่มีผู้คนคับคั่งนับได้เป็นตื้อ(คุณพ่อใหญ่ปรีชา พิณทอง อธิบายไว้ในหนังสือสารานุกรมภาษาอีสาน ไทย อังกฤษ ของท่าน ว่า ตื้อหนึ่ง = หนึ่งพันล้าน) แต่เช้าวันนี้เราตื่นขึ้นมากลับพบว่า เมืองหลวงพระบางเป็นเมืองที่เงียบสงบเมื่อเทียบกับเมืองที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันทั้งฝั่งซ้าย และฝั่งขวา จะเจ็ดโมงเช้าแล้วแต่ดูเหมือนว่าเมืองทั้งเมืองยังคงหลับใหลอยู่ในสายหมอกฉ่ำชื่นแห่งอรุณสมัย
เราอยากจะตื่นสายกันสักเล็กน้อย เพราะเพิ่งหลับเมื่อตอนค่อนรุ่ง กระนั้นเมื่อปลุกกันตื่นขึ้นมาเตรียมตัวจะเที่ยวกันก็ดูทุกคนสดชื่นกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะ ท่านอาจารย์สาคร กือเจริญหัวหน้าคณะด้วยแล้ว ดูอาจารย์กระตือรือร้นนักหนาที่จะพาเราไปทำบุญตักบาตรเบิกฟ้าก่อนชมเมืองหลวงพระบาง
เวลาแปดโมงเช้า แห่งเดือนต้นเดือนธันวาคมในหลวงพระบาง ฟ้ายังครึ้ม หมอกยังโรยสายอยู่ยองใย ท้าวเดชอารุณหนุ่มหน้ายิ้มก็พาเราออกจากเฮือนพัก “แก้วปะทุม” ผ่านอนุสาวรีย์ ไกสอน พมวิหาน แล้วจอดรถที่หน้าพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง (
หลวงพระบางเคยเป็นเมืองหลวงเมืองแรกของราชอาณาจักรล้านช้างฮ่มขาว ก่อนจะย้ายลงไปที่เวียงจันทน์ในช่วงสมัยของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ครั้นหลายปีผ่านไปหลายรัชกาลลาวก็แยกออกเป็น ๓ อาณาจักรอิสระ คือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ จนประมาณปี พ.ศ.๒๓๒๑ -๒๒ ช่วงรัชกาลของพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ ลาวก็ตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม ถึง ปี พ.ศ.๒๔๓๖ ก็ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีก ราชวงศ์ เวียงจันทน์หมดสิ้นไป แต่ทางหลวงพระบางยังมีสืบเนื่องเรื่อยมาแม้อยู่ในยุคเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส เจ้ามหาชีวิตพระองค์สุดท้ายคือ คือ พระเจ้าศรีสว่างวัฒนา รัฐบาลลาวใหม่ได้จัดให้พระราชวังที่เคยประทับให้เป็นหอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบางให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาอดีตอันเคยเป็นราชอาณาจักรอันรุ่งเรืองแห่งนครหลวงพระบางและลาว
ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคารชั้นเดียวยกพื้นสูง เป็นศิลปะล้านช้างผสมฝรั่งเศสที่ดูสมถะ สง่างาม รอบบริเวณร่มรื่นด้วยเงาไม้ และดูเงียบขรึม แต่เข้มแข็งยืนยงด้วยแถวแนวของหมู่ตาลที่ยืนตระหง่านเรียงรายอยู่สองข้างทางเข้า
ค่าเข้าเยี่ยมชมวันนั้นราคา ๑๐,๐๐๐ กีบ หรือ ๕๐ บาทสำหรับชาวไทยและต่างชาติ
ส่วนคนลาวเองคิดราคาคนละ ๒,๐๐๐ กีบ
ภายในอาคารเป็นห้องหลายห้องที่เคยเป็นห้องประทับในอดีต เป็นที่จัดแสดงเครื่องราชูปโภค ข้าวของ เครื่องใช้ เครื่องทรง ของราชวงศ์ พระฉายาลักษณ์ เรื่องราว ประวัติศาสตร์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างฮ่มขาว และเจ้ามหาชีวิตในอดีต
มุมหนึ่ง ทางปีกขวาของตัวอาคารเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกอัญเชิญมาไว้ที่กรุงสยาม แต่ตอนหลังได้คืนมาดังเดิม นับเป็นโชคดีและเป็นสิริมงคลที่พวกเราชาวคณะจากม.สารคามครั้งนี้ที่ได้มาก้มลงกราบหน้าพระพักตร์พระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์นี้ที่หลวงพระบาง แม้จะได้กราบเพียงนอกกรงเหล็กที่เขาสร้างปิดล้อมองค์พระไว้ ก็ยังรู้สึกปลื้ม ปิติเปี่ยมหัวใจ ทั้งนี้เพราะหอพระบางที่ทางเข้าด้านหน้านั้นกำลังก่อสร้างอยู่ในปีที่เรามาเที่ยวกัน
ฝั่งตรงกันข้ามกับหอพิพิธภัณฑ์คือภูสีที่เป็นเหมือนหลังคา หรือหอคอยเมืองหลวงพระบาง เพราะเมื่อขึ้นไปถึงยอดภูแล้วจะมองเห็นตัวเมืองหลวงพระบางอยู่ด้านล่าง เป็นภูเขาลูกเล็กๆ งอกตั้งขึ้นบนพื้นราบริมฝั่งน้ำคาน สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ด้านทิศตะวันออกที่อยู่ติดกับลำน้ำคานนั้นป็นที่ตั้ง วัดถ้ำภูสี สามารถเดินวกวนถึงยอดภูได้ ส่วนด้านทิศตะวันตกคือทางที่อยู่คนละฟากถนนกับหอพิพิธภัณฑ์นั้นสูงชันและต้องปีนบันไดถึง ๓๒๘ ขั้นจึงจะถึงยอดภูอันเป็นบริเวณที่ประดิษฐาน พระธาตุภูสี ซึ่งถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีตำนานว่าพระฤษีสองพี่น้องได้ก่อสร้าง พระธาตุนี้มาก่อนตั้งเมืองชวา(เซ่า – ชื่อเดิมของหลวงพระบาง) หรือเชียงทอง หรือหลวงพระบางนี้ จนมีคำกล่าวว่า หากยังไม่ได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุภูสี ก็เหมือนยังมาไม่ถึงหลวงพระบางนั่นแล
อีกอย่างหากต้องการมองทิวทัศน์อันสวยงามรอบเมืองหลวงพระบาง ก็จงกลั้นใจปีนบันไดขึ้นไปให้ถึงยอดภูนี้เทอญ
๐๐๐๐๐๐
(ยังมีต่อค่ะ)