http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 08/05/2024
สถิติผู้เข้าชม14,066,809
Page Views16,379,121
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

คึดฮอดเมืองลาว ๑๒ นเรศล้ำนั้นชื่อ หลวงพระบาง: นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ

คึดฮอดเมืองลาว ๑๒  นเรศล้ำนั้นชื่อ หลวงพระบาง: นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ

คึดฮอดเมืองลาว  ๑๒

 

นคเรศล้ำนั้นชื่อ  หลวงพระบาง  : นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ

 

“เอื้อยนาง” 

นคเรศล้ำนั้นชื่อหลวงพระบาง

นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ

เชียงทองล้นมะลุงมะเลืองล้านย่าน

น้ำแผ่ล้อมระวังต้ายชั่วตา

ฮุ่งค่ำเช้าชาวเทศเทียวสำเภา

อุดมโดยดั่งดาวดึงฟ้า

มีพนังกั้นหลายถันแถวตาด

คนหลั่งเข้าแลงเช้าส่วยสน

.....

            นั่นเป็นบทกลอนจากวรรณกรรมลาวโบราณ  ที่เอ่ยถึงโลเกชั่นของนครหลวงพระบาง  หรือ  เชียงทอง  ในอดีต  (จากบทของอาจารย์สมภพ ทรัพยากรบุคคลท่านหนึ่งของลาว-ไทย)  ซึ่งมีปรากฏในวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น  กาละเกด  สินไซ  โสวัด ฯลฯ

            เมืองหลวงพระบางในครั้งนั้นกวีบรรยายว่าเป็น นคเรศล้ำ  นครเลื่องลือ รุ่งอร่ามมเรืองรอง ที่มี นิคมคนคั่งเพ็งพอตื้อ  คือเป็นชุมชนบ้านเมืองที่มีผู้คนคับคั่งนับได้เป็นตื้อ(คุณพ่อใหญ่ปรีชา  พิณทอง อธิบายไว้ในหนังสือสารานุกรมภาษาอีสาน ไทย อังกฤษ ของท่าน ว่า ตื้อหนึ่ง = หนึ่งพันล้าน)  แต่เช้าวันนี้เราตื่นขึ้นมากลับพบว่า   เมืองหลวงพระบางเป็นเมืองที่เงียบสงบเมื่อเทียบกับเมืองที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันทั้งฝั่งซ้าย และฝั่งขวา  จะเจ็ดโมงเช้าแล้วแต่ดูเหมือนว่าเมืองทั้งเมืองยังคงหลับใหลอยู่ในสายหมอกฉ่ำชื่นแห่งอรุณสมัย

                               

                เราอยากจะตื่นสายกันสักเล็กน้อย  เพราะเพิ่งหลับเมื่อตอนค่อนรุ่ง  กระนั้นเมื่อปลุกกันตื่นขึ้นมาเตรียมตัวจะเที่ยวกันก็ดูทุกคนสดชื่นกระปรี้กระเปร่า  โดยเฉพาะ ท่านอาจารย์สาคร  กือเจริญหัวหน้าคณะด้วยแล้ว  ดูอาจารย์กระตือรือร้นนักหนาที่จะพาเราไปทำบุญตักบาตรเบิกฟ้าก่อนชมเมืองหลวงพระบาง

                เวลาแปดโมงเช้า  แห่งเดือนต้นเดือนธันวาคมในหลวงพระบาง  ฟ้ายังครึ้ม  หมอกยังโรยสายอยู่ยองใย  ท้าวเดชอารุณหนุ่มหน้ายิ้มก็พาเราออกจากเฮือนพัก   “แก้วปะทุม”  ผ่านอนุสาวรีย์ ไกสอน  พมวิหาน  แล้วจอดรถที่หน้าพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง (Luang  Prabang  MUSEUM)  ซึ่งเดิมเคยเป็นพระราชวังของเจ้ามหาชีวิตลาว  ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๕๑๘

                หลวงพระบางเคยเป็นเมืองหลวงเมืองแรกของราชอาณาจักรล้านช้างฮ่มขาว  ก่อนจะย้ายลงไปที่เวียงจันทน์ในช่วงสมัยของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช  ครั้นหลายปีผ่านไปหลายรัชกาลลาวก็แยกออกเป็น ๓  อาณาจักรอิสระ คือ หลวงพระบาง  เวียงจันทน์  และจำปาศักดิ์  จนประมาณปี พ.ศ.๒๓๒๑ -๒๒ ช่วงรัชกาลของพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์  ลาวก็ตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม  ถึง ปี พ.ศ.๒๔๓๖  ก็ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีก ราชวงศ์ เวียงจันทน์หมดสิ้นไป  แต่ทางหลวงพระบางยังมีสืบเนื่องเรื่อยมาแม้อยู่ในยุคเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส  เจ้ามหาชีวิตพระองค์สุดท้ายคือ  คือ  พระเจ้าศรีสว่างวัฒนา รัฐบาลลาวใหม่ได้จัดให้พระราชวังที่เคยประทับให้เป็นหอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบางให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาอดีตอันเคยเป็นราชอาณาจักรอันรุ่งเรืองแห่งนครหลวงพระบางและลาว

                                  

                ตัวพระราชวังเป็นหมู่อาคารชั้นเดียวยกพื้นสูง  เป็นศิลปะล้านช้างผสมฝรั่งเศสที่ดูสมถะ  สง่างาม  รอบบริเวณร่มรื่นด้วยเงาไม้  และดูเงียบขรึม  แต่เข้มแข็งยืนยงด้วยแถวแนวของหมู่ตาลที่ยืนตระหง่านเรียงรายอยู่สองข้างทางเข้า

                ค่าเข้าเยี่ยมชมวันนั้นราคา ๑๐,๐๐๐ กีบ  หรือ ๕๐ บาทสำหรับชาวไทยและต่างชาติ

ส่วนคนลาวเองคิดราคาคนละ ๒,๐๐๐ กีบ

          ภายในอาคารเป็นห้องหลายห้องที่เคยเป็นห้องประทับในอดีต  เป็นที่จัดแสดงเครื่องราชูปโภค  ข้าวของ เครื่องใช้ เครื่องทรง ของราชวงศ์  พระฉายาลักษณ์  เรื่องราว  ประวัติศาสตร์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างฮ่มขาว  และเจ้ามหาชีวิตในอดีต

                มุมหนึ่ง ทางปีกขวาของตัวอาคารเป็นที่ประดิษฐานพระบาง  พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกอัญเชิญมาไว้ที่กรุงสยาม  แต่ตอนหลังได้คืนมาดังเดิม  นับเป็นโชคดีและเป็นสิริมงคลที่พวกเราชาวคณะจากม.สารคามครั้งนี้ที่ได้มาก้มลงกราบหน้าพระพักตร์พระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์นี้ที่หลวงพระบาง  แม้จะได้กราบเพียงนอกกรงเหล็กที่เขาสร้างปิดล้อมองค์พระไว้  ก็ยังรู้สึกปลื้ม ปิติเปี่ยมหัวใจ  ทั้งนี้เพราะหอพระบางที่ทางเข้าด้านหน้านั้นกำลังก่อสร้างอยู่ในปีที่เรามาเที่ยวกัน

                               

                ฝั่งตรงกันข้ามกับหอพิพิธภัณฑ์คือภูสีที่เป็นเหมือนหลังคา  หรือหอคอยเมืองหลวงพระบาง  เพราะเมื่อขึ้นไปถึงยอดภูแล้วจะมองเห็นตัวเมืองหลวงพระบางอยู่ด้านล่าง  เป็นภูเขาลูกเล็กๆ งอกตั้งขึ้นบนพื้นราบริมฝั่งน้ำคาน  สูงประมาณ ๑๐๐ เมตร  ด้านทิศตะวันออกที่อยู่ติดกับลำน้ำคานนั้นป็นที่ตั้ง วัดถ้ำภูสี  สามารถเดินวกวนถึงยอดภูได้  ส่วนด้านทิศตะวันตกคือทางที่อยู่คนละฟากถนนกับหอพิพิธภัณฑ์นั้นสูงชันและต้องปีนบันไดถึง ๓๒๘ ขั้นจึงจะถึงยอดภูอันเป็นบริเวณที่ประดิษฐาน พระธาตุภูสี  ซึ่งถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  มีตำนานว่าพระฤษีสองพี่น้องได้ก่อสร้าง พระธาตุนี้มาก่อนตั้งเมืองชวา(เซ่า – ชื่อเดิมของหลวงพระบาง) หรือเชียงทอง  หรือหลวงพระบางนี้  จนมีคำกล่าวว่า  หากยังไม่ได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุภูสี  ก็เหมือนยังมาไม่ถึงหลวงพระบางนั่นแล

                อีกอย่างหากต้องการมองทิวทัศน์อันสวยงามรอบเมืองหลวงพระบาง  ก็จงกลั้นใจปีนบันไดขึ้นไปให้ถึงยอดภูนี้เทอญ

๐๐๐๐๐๐

(ยังมีต่อค่ะ)

               

               

               

 

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view