กิ่งคำปายกับยายทวด 8
โดย เอื้อยนาง
8.นางจิงโจ้ผู้มีกระเป๋าหน้าท้อง
เสียงเด็กร้องดังแว่วๆ ในความสงัดเงียบของเวลาค่อนรุ่งปลุกกิ่งคำปายให้สะดุ้งตื่น อากาศในโพรงไม้อับชื้นและหนาวเย็น หญิงชราที่นอนข้างกายขดตัวจนกลมป้อมเช่นเดียวกับเจ้าวอมแบตที่ส่งเสียงหายใจสม่ำเสมอ
แสงไฟที่ด้านนอกส่องเข้ามาวับแวม เด็กสาวลุกขึ้นโผล่หน้าออกไปดู ไฟกองโตลุกโพลงให้ความอบอุ่นแก่ร่างที่นอนตะแคงเหยียดยาวอยู่ข้างกองไฟ
ฮือๆ ๆ...
อื่อ อื้อ..ๆ ...ๆ...
เสียงร้องของเด็กสลับกับเสียงปลอบโยนของนางแม่ ดังออกมาจากสัตว์ตัวหนึ่งที่นอนนิ่งอิงแอบอยู่กับร่างของคนผู้นอนหลับอยู่ข้างกองไฟ
“สัตว์อะไรเสียงร้องเหมือนเด็กทารก”
กิ่งคำปายแปลกใจนักหนา และมันก็กระโดดลุกขึ้นนั่งทันทีที่เธอเดินโหย่งๆ เข้าไปใกล้ ลูกน้อยทิ่อิงแอบอยู่กับมันกระโดดหลบเข้าไปอยู่ในถุงหน้าท้องของแม่มันทันทีที่มองเห็นกิ่งคำปาย เสียงร้องแบบเด็กๆ ก็เงียบหายไปทันทีเช่นกัน
“จิงโจ้”
กิ่งคำปายชะงักเท้าที่ก้าวเดิน มันเป็นสัตว์พื้นเมืองของถิ่นนี้เช่นเดียวกับวอมแบต แต่วอมแบตนั้นมีสีเทาปนดำ และขนยาวมากกว่า แต่เจ้าตัวนี้ มองไกลๆ ในแสงสลัวของเปลวไฟดูคล้ายลูกวัว หรือหมาตัวโตๆ เพราะขนของมัน เป็นสีน้ำตาลและ มีขาหน้าสั้น ยามมันยืดตัวขึ้นยืนด้วยสองขาหลังที่เหยียดยาวและ แข็งแรง ทำให้ขาหน้าทั้งคู่ที่สั้นจู๋มองเหมือนคนพิการแขนสั้น ขายาว ดูตลกพิลึก ครั้นหันมามองสบตากับกิ่งคำปายมันก็ส่งเสียงพูดด้วยสำเนียงที่เด็กสาวคุ้นเคยยิ่ง
“หวัดดีกิ่ง”
เสียงห้วนสั้นอย่างชาวแก๊งมอเตอร์ไซค์ที่กิ่งคำปายทิ้งมานั่นเอง
“โมบายหรือจ๊ะ”
คนพลัดถิ่นจำได้ทันที แต่ยังถามออกไปให้แน่ใจ
“ไม่ใช่เค้าแล้วจะเป็นใครกันล่ะ ตัวว่าฮึ” หางเสียงเง้างอดเหมือนน้อยใจเต็มที
“ถ้างั้นที่ส่งเสียงร้องแงๆ อยู่นั่นก็คือลูกของตัวละสิ”
“แหงละ”
พร้อมกับเสียงตอบเงาร่างของเด็กสาวเจ้าของผมสั้นหยิกฟูหลายหลากริ้วสี กางเกงยีนรัดติ้วสั้นจู๋ กับเสื้อสายเดี่ยวตัวจิ๋วอย่างไม่หวั่นความเหน็บหนาวแบบชาวนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ก็ปรากฏให้เห็น ลอยเลื่อนออกจากร่างของจิงโจ้ตัวนั้น
กิ่งคำปายตื่นเต้น ดีใจ ยิ่งกว่าได้รู้ว่ายายทวดอยู่ในร่างของวอมแบตเสียอีก ยิ่งเหงาๆ เศร้าๆ คิดถึงบ้าน คิดถึงยายสร้อยสายคำอย่างนี้มีเพื่อนเป็นผีก็ยังดีกว่าไม่มีใครเลยละ
“ตัวมาพร้อมกับยายทวดหรือ”
ถามแบบไม่ต้องการคำตอบ โผผวาเข้าไปหาและโอบกอดอย่าลืมตัว แต่กลับทะลุผ่านร่างนั้นไปแทบล้มคะมำ ฝ่ายนั้นกลับหัวเราะฮิๆ น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
“ใช่แล้ว ตัวเอาลูกน้อยมาด้วย เค้ามองเห็นยายทวดพาตัวออกไปฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศตอนเช้าตรู่เมื่อเครื่องบินมีปัญหาลงพื้นที่เมืองซิดนีย์ไม่ได้” กิ่งคำปายตื่นเต้นดีใจจนไม่สนใจเสียงน่าหมั่นไส้ของเพื่อน”
“สนุกเหลือเกิน รู้สนุกยิ่งกว่าแข่งมอเตอร์ไซค์เป็นไหนๆ “
โมบายยังคงเป็นคนเดิมที่เห็นโลกรื่นรมย์ตลอดกาล
“เชอะ...สนุกจะตายล่ะ ปล่อยให้เค้านั่งหง่าวอยู่คนเดียว เป็นห่วงแทบแย่ ที่ไหนได้ทั้งทวดทั้งหลานท่องอากาศกันสนุก”
กิ่งคำปายกลับเป็นฝ่ายเง้างอด อิจฉาเพื่อนในโลกใหม่ที่มีแต่ความอิสระ เสรียิ่งนักแล้ว
“อิจฉาก็ตายซะสิจะได้มาอยู่โลกใหม่ด้วยกัน” เพื่อนที่เป็นผีแนะนำ
“โอ้ย...ไม่เอาจ้า อยู่อย่างนี้ก็เหมือนอยู่ด้วยกันอยู่แล้วนี่”
ปฏิเสธเสียงดังลั่น ครั้นนึกได้ว่ามีใครอีกคนนอนหลับอยู่ข้างกองไฟก็รีบปิดปากตัวเอง และเถิดถอยออกไปไกลห่างอย่างเกรงอกเกรงใจ
“อย่ามัวพูดคุยอยู่เลย มานี่กันเถอะ”
ทวดคำปลิวผู้ที่ถูกสองสาวหนึ่งผีกับหนึ่งคน เอ่ยถึงปล่อยให้ร่างเจ้าวอมแบตนอนนิ่งอิงแอบอยู่กับเฒ่านาไบต่อไป แล้วเปลี่ยนร่างเป็นเจ้านางคำปลิวผู้แสนสวยคนเดิม ก้าวเดินออกจากโพรงไม้เหมือนนางฟ้าประจำพงไพร ไม่พูดพล่ามทำเพลง มาถึงก็คว้ามือเหลนพาลอยล่องลัดลอดทิวไม้ โมบายกระเตงห่อผ้าลักษณะคล้ายกระเป๋าเป้บรรจุลูกน้อยที่ระเห็ดเข้าไปอยู่ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ขึ้นสะพายหลัง และติดตามไปทันทีไม่ยอมห่าง
“จะไปไหนกันค่ะทวด แล้วไม่ใช้แพรเหาะหรือคะ แล้วโรบินสันล่ะ”
กิ่งคำปายพยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของยายทวด ซึ่งไม่เคยทำได้ แม้ฝ่ายนั้นเพียงแตะเบาๆ ก็ทำเอาเธอล่องลอยตามติดไปด้วยทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว
“ไม่ต้องใช้ไปแค่ใกล้ๆ นี้เองเดี๋ยวก็กลับมา ปล่อยหนุ่มนั่นให้นอนคอยอยู่ที่นี่ก่อน”
ทวดปฏิเสธ พลางลดเลี้ยวเล็ดลอดกิ่งไม้กิ่งไร่ พระจันทร์ข้างแรมอ่อนๆ เคลื่อนสูงเหนือทิวไม้ ส่องแสงนวลใสไปทั่วราวป่า อากาศหนาวเย็นแต่กระแสพลังจากปลายนิ้วที่สัมผัสได้ของยายทวดส่งความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วร่าง
“แต่หนูอยากขี่ไปบนแพรนี่คะสนุกกว่า” ทำเสียงเง้างอดออดอ้อน แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่ได้ยิน
“ฮึ...อย่าให้หนูทำได้เองบ้างก็แล้วกัน จะท่องโลกคนเดียวไปไม่ง้อเลย”
“ไว้ให้กลายเป็นผีเสียก่อนเถอะ แล้วจะรู้ว่าถ้าบารมีไม่ถึงก็ทำไม่ได้หรอก อย่างโมบายถ้าไม่มีข้าจ้างก็มาถึงที่นี่ไม่ได้”
“จริงหรือโมบาย”
เธอหันไปถามเพื่อนผู้กระเตงลูกน้อยล่อยลอยอยู่เคียงข้าง
“จริงซี อย่างเค้าน่ะ ไม่กลายเป็นเปรตก็บุญนักแล้ว เกิดมาไม่เคยสร้างบุญกุศลอะไรเลย ได้แต่ทำให้พ่อแม่ทุกข์ร้อนอ่อนใจอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงวันตายนะ”
“เค้าเองก็เหมือนกันนะโมบาย ทำให้ยายสร้อยสายคำต้องพร่ำบนอยู่ทุกวี่ทุกวันไม่เคยเว้น
“ตัวยังดีไม่ได้ทำผิดอะไรมากมาย เพิ่งมาริทำตอนโตแล้วซึ่งก็ไม่ถือว่าสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ใครมากมาย แต่เค้าซี...”
พูดมาถึงตรงนี้เสียงโมบายกลายเป็นสั่นสะท้าน ปนเสียงสะอื้นฮักๆ แถมมีเสียงเด็กร้องไห้แงๆ จากกระเป๋าสะพายหลังประสานเป็นลูกคู่ขึ้นมาอีก ทำเอากิ่งคำปายน้ำตาเล็ดไปด้วย จนยายทวดดุเข้าให้นั่นแหละ ทั้งสองสาวหนึ่งผีกับหนึ่ง คนจึงค่อยเงียบเสียงลงได้
ล่องลอยกันมาจนผ่านพ้นทิวไม้สู่ลานโล่งริมลำธารที่ไหลเลื้อยลงสู่บึงใหญ่แห่งหนึ่ง ภูเขาสีดำทะมึนทอดตัวยาวสูงต่ำลดหลั่นอยู่ใต้แสงจันทร์อยู่ฝั่งงตรงกันข้าม
เสียงรัวกลองในจังหวะเร้าใจประสานกับเสียงร้องเพลงที่เปล่งเป็นทำนองคล้ายเพลงสวดอ้อนวอนเหล่าเทพเทวาฟ้าดินดังมาจากลานโล่งที่มีไฟกองใหญ่ลุกโพลง บางครั้งเสียงแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้ารันทดสลดหดหู่ บางครั้งคร่ำครวญญหวนไห้ บางครั้งกลับเร้าใจกลายเป็นเพลงศึกสู้รบ
ทวดคำปลิวพาสองสาวเข้าไปจนใกล้กลุ่มคนผู้กำลังตีกลองร้องเพลง และเต้นรำอยู่รอบกองไฟ แล้วจึงหยุดลงไปสังเกตการณ์อยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบึง
เสียงกลองและเสียงเพลงดังมาจากกลุ่มผู้หญิงที่นั่งรวมกันอยู่ใต้ต้นไม้ไกลออกไปจากวงที่เต้นรำอยู่รอบกองไฟ
นักเต้นรำรอบกองไฟทั้งหมดเป็นชายฉกรรจ์ และทั้งร่างกายเปลือยเปล่า ผิวกายที่ดำสนิทราวกับย้อมด้วยครามนั้น ถูกแต่งแต้มลวดลายเป็นเส้นสายลายพร้อยด้วยสีแดงและขาว ทั้งหน้าตา ลำตัว และแขนขา เครื่องประดับขนนกบนศีรษะ และกิ่งไม้ใบไม้ที่ผูกเป็นพู่ไว้รอบเอว หัวเข่า และข้อเท้าขยับไหวระริกไปตามจังหวะการเต้นของเจ้าของ ในมือของแต่ละคนมีอาวุธที่ทำจากไม้พลองยาวปลายแหลมเสี้ยมคล้ายปลายหอกกระทุ้งพื้นเสียงดังฉึกฉักเป็นจังหวะตามเสียงกลองหนังของพวกผู้หญิง
“ผีเหล่านี้กำลังเต้นรำหรือคะ”
กิ่งคำปายเหม่อมองแปลกใจ จึงถูกยายทวดหยิกเข้าให้ พลางอธิบายว่านี่ไม่ใช่หรอก เขาเหล่านี้เป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริง เป็นชาวพื้นเมืองเผ่าหนึ่งที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนรอนแรม เคลื่อนย้ายไปตั้งค่ายพักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงรอบบึงใหญ่กลางหุบเขาแห่งนี้ หมุนเวียนจากไป และกลับมาเพื่อเสาะหาอาหารตามฤดูกาล
“น่าสนุกจัง” เด็กสาวรำพึงนึกอยากให้คนที่นอนอยู่ข้างกองไฟมาเห็นด้วยนัก
“หากโรบินสันมาด้วยก็ดีหรอก เขาเป็นผู้ชายคงง่ายกว่าถ้าจะเข้าไปไต่ถามเอาความจากคนเหล่านั้นว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนในแผ่นดินอันกว้างใหญ่แห่งทวีปนี้”
เธอบ่นเพราะคิดถึงเขาหรือเปล่านะ อาจเป็นเพราะสงสารที่ถูกปล่อยให้นอนอยู่ข้างกองไฟเดียวดายในป่าใหญ่ก็ได้ และได้รับคำตอบจากเพื่อนผู้ทำตัวเป็นฝ่ายเดียวกับยายทวดไปแล้วว่า
“ไม่ดีหรอก เขายังไม่รู้จักยายทวดกับเค้าน่ะ ปุบปับพาเขาเหาะลัดป่ามาถึงนี่คงได้เอะอะเอ็ดตะโรวุ่นวายกันไปเปล่าๆ ให้เขาค่อยๆ เข้าใจดีกว่า”
“ใช่แล้ว.....” ทวดสนับสนุน “ อีกอย่างนะ พวกที่เต้นรอบกองไฟอยู่นั้นกำลังประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอยู่ ใครอื่นจะเข้าไปรบกวน หรือรู้เห็นไม่ได้หรอก”
เปลวไฟลุกโพลงกลิ่นควันของไม้สนและยูคาลิปตัสที่ถูกเผาไหม้ฟุ้งกระจายตลบอบอวลไปทั่วทั้งป่าแล้วล่องลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า เหมือนจะหอบเอาเสียงสวดพร่ำ ร่ำวอน อ่อนโยนขึ้นสู่สรวงสวรรค์
เสียงเพลงเปลี่ยนทำนองจากการเว้าวอน เป็นคล้ายสวดร้องสรรเสริญ ขอบคุณเทพยาดาฟ้าดิน อย่างแสนดีอกดีใจ ที่ท่านประทานให้ความอุดมสมบูรณ์ แห่งผืนดินถิ่นพำนัก และบางครั้งเปลี่ยนเปล่งเสียงร้องเป็นคล้ายเสียงของสัตว์ ต่างๆ พลางกระโดด
ฮ็อบๆ ๆ ....โฮก ๆๆ..คล้ายเสียงเสือ ลีลาท่าทางลวดลาย ของเหล่านักเต้นก็เปลี่ยนไปตามเสียงเพลง เป็นท่ากระโดด แล้ววาดแขนขาถลาร่อน คล้ายนกเหินบิน สลับกับเสียงแห่งธรรมชาติ น้ำตกซ่ากระโจนไหล ลมโบกไกวแกว่งกิ่งก้าน ดอกไม้บานรับตะวัน
ท้องฟ้าเหนือภูเขาที่ทอดตัวดำทะมึนอยู่ริมบึงฝั่งตรงกันข้ามกำลังเปลี่ยนสี เส้นแสงสีชมพู ส้ม อมม่วงฉายส่องจับก้อนเมฆดูงามประหลาด
อรุณสมัยกำลังย่างกรายสู่หล้าโลก
เสียงขับร้องของนักร่ายรำประจำเผ่าเปลี่ยนทำนองเป็นเพลงพลิ้วหวาน ขับขานเพื่อการต้อนรับวันใหม่กับนางดวงตะวัน*ผู้บรรทุกดวงไฟและแสงสว่างขึ้นมาเยือนหล้าโลก ที่เคยโศกระทมของยามค่ำคืนอันหนาวเย็น และมืดมิดให้ทุกชีวิตกลับมาเริงรื่น ชื่นบานจากความอบอุ่นและสว่างสดใส
ตะวันฉายแสงสีทองเลื่อมระยับจับขอบฟ้า เสียงนกกากู่ร้อง เสียงกลองเสียงร้องขับขานหยุดชะงักลง เหล่านักเต้นรำนั่งนิ่งอยู่รอบกองไฟที่ราแสงอ่อนลง เหลือแต่ถ่านแดงโร่...
ทันใดนั้นเองมีลำแสงสีรุ้งพุ่งวาบขึ้นมาจากจุดใดจุดหนึ่งเหนือศีรษะของกลุ่มนักเต้นรำ มันพุ่งเป็นลำแล้วล่องลอยคดเคี้ยวมองเห็นเป็นเหมือนงูหลากสีสัน เลื้อยวกวนรอบร่างที่นั่งก้มหน้าไม่ไหวติงอยู่นั้น
กิ่งคำปาย รู้สึกมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวในจี้ห้อยคอ แต่เด็กสาวไม่สนนักเพราะสายตามัวตะลึงลำแสงประหลาด
“สวยจังเลย โมบายตัวมองเห็นแสงนั้นมั๊ย”
กิ่งคำปายถามเพื่อนผู้ไม่ใช่คนของเธอ เพราะไม่แน่ใจว่าสายตาจะมองเห็นสิ่งเดียวกันทั้งหมดหรือเปล่า โดยเฉพาะแสงสีรุ้งประหลาดล้ำอย่างนั้น เพื่อนอาจ
มองไม่เห็นก็ได้ แต่เธอก็ได้รับคำตอบจากเพื่อนต่างพิภพของเธอว่า
“ใช่ ฉันเห็นแล้ว มันเป็นเหมือนควันสีรุ้ง”
ทันใดนั้นลูกน้อยในกระเป๋าสะพายหลังของโมบายก็ส่งเสียงร้องจ้าขึ้นมาเหมือนตื่นตกใจ ผีสาวต้องเปลี่ยนเอากระเป๋ามาอุ้มไว้กับอก ปลอบโยนผีน้อยลูกสาวของเธอจึงค่อยๆ เพลาเสียง และหยุดร้อง ยังเหลือเพียงเสียงสะอื้นอยู่เบาๆ
“โอ๋...เขาคงตกใจน่ะ” กิ่งคำปายเผลอยื่นมือจะไปปลอบโยน แต่เธอก็สัมผัสเพียงความว่างเปล่า มือของเธอเหมือนทะลุร่างที่คล้ายกลุ่มควันนั้นออกไป
“ฉันรู้แล้ว แสงนั้นอาจเป็นเพียงเงา หรือพลังอะไรบางอย่างที่ถูกเสกสรรขึ้นมา เหมือนเธอกับลูกกับยายทวดนี่แหละ” คนเดียวในกลุ่มผีร้องขึ้น
“นั่นอาจเป็นพลังอะไรบางอย่าง” เจ้านางจากอดีตพูดขึ้น “ข้าจะเข้าไปดูใกล้ๆ พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่สักประเดี่ยวก่อนนะ”
แต่ร่างเบาโหวงของทวดคำปลิวเพิ่งลอยขึ้นจากพื้นก็มีอันกระดอนแล้วตกวูบลงมา เธอดีดตัวกลับมายืนอยู่ที่เดิมรวดเร็วจนกิ่งคำปายแทบมองตามไม่ทัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” เธอถามและอยากผวาเข้าไปโอบกอดยายทวด แต่ทำได้เพียงแต่มองด้วยสายตาห่วงใย เธอไม่เคยแตะต้องยายทวดได้ หากไม่ใช่ความประสงค์ของแก
“มันเป็นพลังอะไรบางอย่าง ข้าก็ไม่แน่ใจนัก อาจบางทีเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมที่พวกเขากำลังทำอยู่ก็ได้” ยายทวดเอ่ยเสียงเบาเหมือนไม่แน่ใจนัก
แสงสีรุ้งล่องลอยฉวัดเฉวียน ไปรอบๆ กองไฟ แต่ไม่นานก็จางหายไป
กลุ่มผู้หญิงนักตีกลอง ทำจังหวะดนตรี และประสานเสียงร้องเพลง อยู่ห่างวงออกไปทางชายป่าพากันลุกขึ้นแล้วเดินจากไปเงียบๆ พร้อมกับเด็กๆ อีกกลุ่มใหญ่
ไม่นานนักเหล่านักเต้นรำที่นั่งนิ่งก้มหน้าหันเข้าหากองไฟอยู่นั้นก็ลุกขึ้น เดินตามกลุ่มผู้หญิงและเด็กกลับที่พัก
QQQQQ
*ชาวเผ่าในออสเตรเลียบางเผ่าเชื่อว่า ดวงตะวันเป็นผู้หญิง มีหน้าที่บรรทุกไฟเดินทางข้ามฟ้าจากทิศตะวันออกสู่ตะวันตก ให้แสงสว่างแกโลกในแต่ละวัน