เมืองเสมา ฟ้าแดดสงยาง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์
สาวภูไท
อีสานเป็นดินแดนแสนกว้างใหญ่ แม้จะได้ชื่อว่าแห้งแล้งที่สุดในประเทศไทยมาแสนนานเป็นประเด็นให้นักพัฒนา นักปกครองใช้เรียกร้องเอางบประมาณมาก็เยอะ ฝนแล้ง น้ำท่วม ยากจน ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกคนกล่าวอ้าง ทำมาหากิน และช่วงนี้มีการฟ้องร้องว่าการเบิกงบของบางท้องที่ปกครองเพื่อเหตุดังกล่าวที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงการกล่าวอ้าง สาวภูไทก็เคยเห็นอยู่บ้างหรอกหนาว่า ไม่ว่าจะฝนตก หรือฝนแล้ง คนทำข่าวเขารีบไปหาภาพจากที่ใดๆก็ได้ ไปรายงานประสานการกับพวกของบ
นั่นเป็นความดีข้อยิ่งใหญ่ของความเป็นอีสานที่หลาย ๆ คนต้องสำนึกไว้ให้ดี ดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์นะจะบอกให้
ก็รู้กันอยู่ว่า ณ ผืนดินอันเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่แห่งนี้เป็นแหล่งส่งส่วยสำคัญมาแต่สมัยอยุธยา หมากแหน่ง(เร่ว) นอระมาด(นอแรด) น้ำเผิ้ง(ผึ้ง) ขี้เผิ้ง(ขี้ผึ้ง) ยางน้ำเกลี้ยง(น้ำรักใช้ในกระบวนการปิดทอง) และอื่น ๆ รวมถึงเลกแรงงาน(แรงงานชายฉกรรจ์จากการสักเครื่องหมายบนข้อมือ เรียกว่าสักเลก) จำนวนมากได้มาจากหัวเมืองในถิ่นนี้
และรู้ไหมว่าแถบถิ่นที่ราบสูงกว้างใหญ่นี้มีผู้คนอยู่อาศัยก่อตั้งชุมชนบ้านเมืองมาก่อนสมัยประวัติศาสตร์นานนักหนาหลายแหล่งที่ขุดค้นล้วนบ่งบอกหลักฐานแห่งบรรพชน ทั้งในแอ่งโคราช และแอ่งสกลนคร ที่รู้จักกันดีก็บ้านเชียงนั่นไง ที่ไม่รู้จักล่ะ นับไม่ถ้วนค่ะ วันนี้ก็เลยจะพาไปแวะเที่ยวตามประสาสาวภูไทผู้มีลมหายใจอยู่เพื่อการท่องและเที่ยวหละนะ
ไปที่เมืองฟ้าแดดสงยางกันค่ะ
เป็นเมืองโบราณ ในเขตอำเภอกมลาไสย จังหวัด กาฬสินธุ์ เป็นแหล่งโบราณคดีที่พบเสมาหินมากมายหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นแท่งกลม เหลี่ยม และเป็นแผ่นหินรูปกลีบบัว แบบเกลี้ยง แบบมีสลักลวดลาย และยังมีที่จารึกด้วยอักษรโบราณ
เสมาหินทรายบางแผ่นไม่สลักลวดลาย และรูปร่างลักษณะบอกให้รู้ว่าเป็นฝีมือชาวบ้านพื้นถิ่น ส่วนที่มีลวดลายจำหลักนั้นมักเป็นภาพจำหลักเรื่องราวทางพุทธศาสนา เช่นพุทธประวัติ มหานิบาตชาดก หลายแผ่นมีความประณีตและสวยงาม และได้มีการเคลื่อนย้ายไปไว้ยังที่อื่น ๆ รวมถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแล้วก็มี นำไปไว้ตามวัดในท้องถิ่นก็ไม่น้อย ปัจจุบันเหลืออยู่ในบริเวณเมืองโบราณเสมาจำนวนหนึ่งเท่านั้น
หากหม้อลายเขียนสีเป็นที่รู้จักกันเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเชียงแล้ว ที่ฟ้าแดดสงยางก็มีเสมาหินทรายเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่รู้จักของคนในยุคหลัง ๆ นี่เช่นกัน เท่าที่กรมศิลปากรมาสำรวจพบและขึ้นทะเบียนไว้แล้วก็มีถึง ๑๓๐ แผ่น นับเป็นแหล่งที่มีเสมาหินมากที่สุดของอีสาน จึงได้ชื่ออีกอย่างว่า “เมืองเสมา หรือบ้านเสมา” ส่วนชื่อฟ้าแดดสงยางนั้นเป็นชื่อตามตำนาน ของเมืองฟ้าแดด ซึ่งคู่กับเมืองสงยาง เลยเรียกรวมกันเป็น ฟ้าแดดสงยาง และยังมีเมืองอื่น ๆ ที่เอ่ยถึงในตำนานเดียวกัน เช่น เมืองเชียงเหียน
นอกจากเสมาหินทรายสีแดงมากมายแล้ว ร่องรอยที่เหลืออยู่ของเมืองโบราณนี้ยังมี พระธาตุญาคู ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมโบราณยุคทวารวดี นอกจากนี้ยังพบพระพิมพ์ดินเผาอิทธิพลสกุลช่างคุปตะ
พระธาตุญาคู(ครู)เป็นสถูปโบราณก่อด้วยอิฐและมีการก่อทับใหม่ในยุคหลัง มีเสมาหินปักรายล้อม ในบิเวณใกล้เคียงมีฐานอิฐแสดงว่าเคยมีอาคารโบราณสถานยุคเดียวกันอีก ๓ องค์
สถูปโบราณแห่งนี้ยังคงเป็นที่ศรัทธาของปวงชน โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นสังเกตจากเครื่องสักการบูชา และส่วนที่เป็นวัดที่อยู่ใกล้เคียงมีดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้บูชา(ซื้อ)นำไปกราบไหว้ พร้อมกับซุ้มจำหน่ายของที่ระลึก ของดี ของขลังตามธรรมดาของแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้เป็นมรดกของลูกหลาน
เที่ยวเมืองโบราณในปัจจุบันเราต้องทำความเข้าใจ เพราะการปรับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายแต่งเติมขึ้นนั้น บางครั้งทำให้มองไม่เห็นภาพของวันวานอยู่เลย เช่นเดียวกับการของบประมาณของทางราชการสำหรับภัยแล้ง น้ำท่วมนั่นแหละ คนมีอำนาจในมือจะทำอะไรก็ได้ว่าไหม
อ้าว..เกี่ยวกันไหมนี่...เขียนไปเขียนมาชักเพี้ยน ๆ จบดีกว่า