วรรณกรรมเยาวชน :กิ่งคำปายกับยายทวด
โดยเอื้อยนาง
ตอน๙. จากดงอู่ผึ้งถึงมาเคอจูลา
“อิ่นอ้อยหรือเจ้าอ้าย”
เจรียงทองมองสิ่งที่วาววับในกำมือใจหวนคิดระลึกถึงวันที่ได้มันมา เจ้าอ้ายราชวงศ์กำมือน้อยของนางไว้กับอกก่อนวางมันใส่ลงไป แล้วบอกว่า
“ใช่แล้ว ของรักของหวงของอ้าย เจ้าเก็บไว้ให้ดี”
เสียงแว่วๆ แผ่วๆ นั้นเหมือนดังลอยอยู่ในสายลม เจรียงทองมองลูกน้อยที่ตอนนี้เติบใหญ่กลายเป็นเด็กหญิงอายุห้าปีแล้ว นั่นแสดงว่าผู้ที่ให้อิ่นอ้อยแก่เธอจากไปแล้วเกือบหกปีมากกว่าอายุของเด็กน้อย ตั้งแต่ปี ๒๔๓๐ จนป่านนี้ ปี ๒๔๓๖ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา มีข่าวจากสำเภาที่เข้ามาทางเมืองแกวว่าเขาหายไปกับเหล่านักขุดทองแสวงโชค ในป่าบนภูเขาของทวีปที่เป็นเกาะใหญ่ ที่มีผู้คนมากมายจากทุกสารทิศทั่วโลก พากันบุกรุกเข้าไปทลายขุดเอาแร่ที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิต เป็นยุคตื่นทองในออสเตรเลีย
“เขาอยากได้เงินทุนมากอบกู้บ้านเมืองขับไล่ชาวต่างชาติผู้เข้ามารุกล้ำกลืนกิน
บ้านเมือง แบ่งสองฝั่งโขงออกเป็นซ้ายขวา” ผู้นำข่าวกลับมา บอกได้เพียงเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอะไรมากมายไปกว่านั้น เจรียงทองจึงได้แต่คอยแล้วคอยเล่า ข่าวคราวก็ยังเงียบหาย
คืนวันผ่านไปอย่างเงียบเหงา วัยสาวที่ควรจะเปล่งปลั่งเริงร่ามีชีวิตชีวากลับซบเซาซีดเซียว และเริ่มโรยรากว่าเวลาอันควร คิดถึงบ้านหลังใหญ่ในเมืองอุบลดงอู่ผึ้งที่อบอุ่น คับคั่ง เต็มไปด้วยญาติพี่น้องปล้องปลายของพ่อแม่
เดือนยี่ย่างกรายเข้ามาแล้ว ที่นั่นคงอุ่นหนาฝาคั่งด้วยการเตรียมงานบุญขอบคุณบวงสรวงฟ้าแถนหากแม้นว่าเธออยู่ด้วยคงได้ช่วยเหล่าสาวๆ ทำข้าวหนม ข้าวต้ม ร้อยข้าวตอกและดอกไม้ แต่งขันหมากเบ็งบูชาฟ้าแถน พ่อเป็นหมอม้า(คนเป่าแคนในพิธีบวงสรวงบูชาเทพฟ้าพญาแถน)คงเป่าแคนเสียงแล่นแตร ๆ แม่เป็นนางเทียม(นางทรง) คงเข้าทรงกรายกรฟ้อนแอ่นท่ามกลางเสียงแคน เสียงลำ เหล่านางเทียมทั้งหลายคงได้แต่งกาย แต่งหน้าสีสันฉูดฉาดสดสวย ทัดหูและคล้องคอด้วยมาลัยดอกจำปาลาวเหลืองอร่ามหอมเย็น
เดือนยี่ผ่านไปมีใบบอกมาจาก เมืองอุบลดงอู่ผึ้งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นใหญ่แห่งกรุงสยามได้ส่งข้าหลวงใหญ่ต่างพระเนตรพระกรรณมายั้ง ณ เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย หรือดงอู่ผึ้ง ทางจำปาศักดิ์จึงต้องส่งผู้คน ช้างม้า ทาสีไพร่พลส่วนหนึ่งไปร่วมต้อนรับ และแสดงความมีน้ำใจจงรักภักดี เจรียงทองฟังข่าวนั้นด้วยความ กระหายใคร่รู้จนผู้เป็นแม่สามีสังเกตเห็น
“เจ้าคงอยากกลับบ้านพร้อมขบวนไพร่พลใช่ไหม”
เจ้าแม่แห่งนครจำปาศักดิ์ถามลูกสะใภ้ผู้เปลี่ยวเหงาอย่างเข้าใจ และแสนจะสมเพชเวทนาเจ้านัก หน้าหมองๆ ของเจรียงทองก้มลง ไม่ยอมสบตา แต่ก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ประกายตาก่อนก้มต่ำวาววับขึ้นมาให้ผู้ถามเห็นนิดหนึ่ง จึงเอ่ยปากอนุญาต เพราะถึงอย่างไรเจ้าราชวงศ์บุตรชายคนโตของเจ้าแม่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาจากแดนไกลอีกแล้ว
“แต่เจ้านางน้อยคำปลิวลูกเจ้านั้นต้องอยู่ที่นี่ เพราะเป็นสายเลือดคนเดียวของเจ้าราชวงศ์ แม่น้อยนี้เป็นเจ้านางแห่งจำปาศักดิ์ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกปู่รักเขามากเจ้าก็รู้ อีกอย่างเขาไม่เหงาหรอก มีพี่น้องลูกป้าลูกอามากมายเป็นเพื่อนเล่น สักวันหนึ่งเมื่อเขาเติบใหญ่คงได้มีโอกาสไปเยือนเมืองอุบลดงอู่ผึ้งให้เจ้าได้พบหน้ากันบ้าง ไม่ต้องกลัวหรอก”
นั่นแล้วอิ่นอ้อยที่แสนรักและหวงแหนตัวแทนจากชายคนรักผู้เป็นพ่อของเจ้านางน้อยคำปลิว จึงได้บรรจุเข้าไว้ในตลับเงินที่ห้อยคอเจ้านางน้อยอยู่เป็นประจำ
“จำไว้นะลูก มันเป็นพ่อของเจ้า คู่ของมันอยู่กับพ่อที่พกไปแดนไกลด้วย เจ้าเก็บมันไว้ให้ดีนะ คอยให้คู่ของมันกลับมาอยู่ด้วยกัน”
นั่นคือคำสั่งจากแม่ที่เจ้านางน้อยจำไว้ตลอดมา นานตลอดชีวิตของเจ้านาง คำปลิวอิ่นอ้อยทั้งสองไม่เคยได้กลับมาอยู่คู่กันอีก แต่มันเป็นคำมั่นสัญญาที่ต้องยึดถือ และกลายภาระหน้าที่ ที่คำปลิวจดจำรำลึกจะต้องทำให้ได้ ให้มันได้อยู่คู่กัน ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว มันก็ยังเป็นภาระที่ต้องทำให้สำเร็จ
.........................................................................................
“ไปกันเถอะจะสว่างแล้ว” ยายทวดเอ่ยชวนอย่างรีบร้อน เมื่อแสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า และกลุ่มผู้คนที่ประกอบพิธีอยู่รอบกองไฟพากันเดินกลับที่พัก
“เดี๋ยวซีคะทวดจ๋า...หนูอยากรู้ว่าพวกเขาจะพากันไปที่ไหน และนั่นดูเหมือนว่าหนูเห็นใครบางคนที่เอาคบไฟไปให้เฒ่านาไบเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา เธอผู้นั้นไง...”
กิ่งคำปายทำท่าเหมือนจะเดินตามกลุ่มคนที่ทยอยกันผ่านหน้าไป แต่ถูกฉุดไว้และพาลอยเลื่อน แล้วร่างก็ลอยขึ้นเหมือนขามา โมบายที่ตามติดมาเบื้องหลังอธิบายแทนยายทวดว่า
“ตัวอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้หรอก เราต้องรีบกลับเพราะตะวันกำลังขึ้นแล้ว เค้ากับยายทวดต้องหาที่หลบตัวก็รู้”
“ใช่ เจ้าอย่าลืมสิว่าเราเป็นผี และข้าก็ยังอยากอยู่ข้างนอกไม่อยากเข้าไปสิงสถิตในตลับเงิน”
ทวดสนับสนุน กิ่งคำปายได้แต่เสียดาย และหมายมั่นว่าจะกลับมาอีกพร้อมโรบินสันเพื่อนคนเดียวของเธอที่ไม่ใช่ผีในตอนนี้
ล่องลอยกันมาจนเกือบถึงที่หมาย ยายทวดจึงพาดิ่งลงที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ปล่อยร่างเหลนสาวให้ก้าวเดินไปเองบนพื้นดิน
“เจ้าเดินไปเองนะ ข้ากับโมบายต้องเข้าไปสิงในร่างของวอมแบต กับจิงโจ้ดังเดิมก่อน”
กิ่งคำปายยักไหล่ไม่คัดค้าน ทุกสิ่งที่ยายทวดตัดสินใจเธอไม่เคยคัดค้านอยู่แล้ว แม้ว่าตลับเงินจะเป็นถิ่นพำนักประจำของยายทวด แต่บางครั้งการได้อยู่ในร่างอื่นๆ บ้างทำให้ยายทวดรู้สึกเป็นสุขกว่า กิ่งคำปายเองก็ชอบ เธอรู้สึกว่าได้พูดจาหยอกเอินกันได้ดีกว่าเป็นเพียงวิญญาณในตลับเงินเป็นไหนๆ
แม่เฒ่านาไบกับโรบินสันนั่งกันอยู่เงียบๆ ข้างกองไฟ เมื่อกิ่งคำปายกลับมาถึงที่พักใต้ร่มไม้ใหญ่ ฟ้าสว่างขึ้นมากจนมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ชัดเจน ดอกกัม(ยูคาลิปตัส)หลากสีแย้มบานแต่งแต้มสีสันให้วันใหม่สดใสขึ้น วอมแบตน้อยกับนางจิงโจ้แม่ลูกอ่อนนอนพิงอิงแอบอยู่กับขาอันเปล่าเปลือยของแม่เฒ่านาไบ ทั้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับการกลับมาของเด็กสาวจนเธอเผลอค้อนให้วงโต
“อ้อคุณกลับมาแล้ว ผมกำลังเป็นห่วงอยู่เชียว”
หนุ่มโย่งถอนหายใจโล่งอก ก็กิ่งคำปายเป็นเพื่อนคนเดียวในโลกของเค้าในขณะนี้ ถ้าหากไม่นับแม่เฒ่าชาวเผ่าด้วยน่ะ
“ขอโทษค่ะฉันไปทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย”
บอกเขาพลางแก้ตัวในใจว่า ไม่ได้โกหกหรอกนะ เพราะธุระส่วนตัวมันย่อมมีหลายชนิด แล้วแต่ใครจะคิดเอาเถิด เขาเองฟังแล้วก็พยักหน้าราวกับว่าเข้าใจ และผลุน
ผลันลุกขึ้นเดินเข้าไปในป่าบ้าง เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าต้องจัดการกับตัวเองเหมือนกัน
“แม่เฒ่าล่ะคะ ไม่จัดการกับตัวเองบ้างหรือ”
เฒ่านาไบยิ้มอวดฟันสองสามซี่ พลางทำไม้ทำมือบอกให้รู้ว่าแกเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวเพิ่งได้เพ่งพิศรูปร่าง หน้าตาของแกอย่างชัดเจนใกล้ชิด เพราะเมื่อแรกที่ได้พบกันนั้นเป็นเวลามืดค่ำแล้ว
ผิวหนังอันเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าดำคล้ำ และถูกเคลือบทาด้วยอะไรบางอย่างที่มีสี
เหลือบแดงปนเทามันอาจจะคล้ายกับที่ยายสร้อยสายคำของเธอทาขมิ้นผสมกับมะขามเปียก เพื่อประเทืองผิวให้เหลืองอร่าม กระมัง เพียงแต่มีสีที่แตกต่าง และความหนาเตอะจนดูคล้ายกับเป็นผิวหนังอีกชั้นหนึ่งที่ช่วยห่อหุ้มหนังกำพร้าแท้จริงไว้จากสิ่งภายนอก เหตุนี้กระมังแม่เฒ่าจึงยังเปลือยกายได้เฉยเลยในอากาศค่อนข้างเย็น และนั่งนอนบนเปลือกไม้ใบไม้ไม่มีแม้เสื่อสักผืนปูรองอย่างนี้
เช่นเดียวกับผมสั้นกุดสีดอกเลาที่ถูกพอกด้วยน้ำมันผสมผงถ่านและดินโคลนสี
แดงจนแข็งทื่อ ผิวกายของแม่เฒ่ามีแผลเป็นมากมายหลายแห่งจนลายพร้อย บ้างเป็นเส้นคล้ายถูกขุดขีดจากสิ่งแหลมคม บ้างด่างพร้อยคล้ายรอยถูกไฟไหม้ ที่หว่างอก แผ่นหลังและสะโพกนั้น มีเส้นโค้งครึ่งวงกลมเหมือนพระจันทร์เสี้ยวเกิดขึ้นหลายเส้นเหมือนรอยสักที่จงใจทำเพื่อความสวยงามประดับร่างกาย หรืออาจมีความหมายอื่นๆ แฝงอยู่
แม้ตอนนี้จะมีเสื้อแจ็คเก็ตตัวโคร่งจากโรบินสัน แต่ดูเหมือนนาไบจะไม่ใส่ใจว่าจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อห่อหุ้ม ปิดบังร่างกายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามดูเหมือนมันเป็นส่วนเกินให้แกต้องเกาหยุกหยิก ดึงโน่นดึงนี่ของมันตลอดเวลาอย่างไม่เป็นสุขนัก ที่สุดแกก็ถอดมันออกกองไว้กับวอมแบตน้อยซึ่งต้อนรับด้วยการทำเสียงอี๊ดๆ อย่างพออกพอใจที่ได้ซุกตัวเข้าหาความอบอุ่น
ไม่นานนักหนุ่มโย่งก็กลับมาพร้อมโถเปลือกไม้ของมามิริ บรรจุน้ำใสแจ๋วเต็มมเปี่ยมมายื่นให้ผู้ชราก่อน แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธเขาจึงเปลี่ยนส่งมาให้กิ่งคำปาย ซึ่งรับมาไว้อย่างแสนดีใจ พลางขอบคุณไม่ขาดปาก ในป่าใหญ่เปล่าเปลี่ยวอย่างนี้ ดูเหมือนน้ำคือนสิ่งจำเป็นสิ่งแรกของคนเรา แต่เฒ่านาไบกลับปฏิเสธพลางมองสองหนุ่มสาวด้วยสายตาแปลกใจ ไม่น่าเชื่อ
“ผู้ชายตักน้ำมาให้ผู้หญิงหรือ ข้าไม่เคยเห็น”
แกถามเสียงแหลมสูงพลางทำสีหน้าบ่งบอกว่าแปลกใจนักหนา
“ทำไมไม่ได้เล่า”
สองหนุ่มสาวกลับแปลกใจมากกว่า เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของแม่เฒ่า
“ก็....การตักน้ำเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเท่านั้น ผู้หญิงต้องตื่นแต่เช้าก่อนแสงตะวันนเพื่อไปตักน้ำมาให้ทันก่อนผู้ชายตื่นนอนในตอนเช้า เจ้าไม่ตักน้ำละสิ ปู่ฟ้าจะต้องไม่
ชอบเจ้าแน่”
ประโยคหลังเจาะจงพูดกับกิ่งคำปายพลางมองอย่างตำหนิ
“ไปตักน้ำหรือ ที่บ้านแม่เฒ่าไม่มี...ก๊อกน้ำ...”
กิ่งคำปายพูดได้เพียงเท่านั้น โรบินสันก็ชิงตัดบทขึ้นว่า
“ไม่หรอกแม่เฒ่า ที่บ้านของเราไม่มีอะไรที่เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เราต่างช่วยกันทำทุกอย่างเท่าที่จะช่วยกันได้น่ะครับ”
“คงเป็นเผ่าป่าเถื่อนละซี”
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ นาไบ”
ชายหนุ่มคิดถึงคนในสังคมที่ตนเองเพิ่งจากมา และคล้อยตามแม่เฒ่าอย่างจะเอาใจมากกว่า แต่กลับถูกค้อนคว่ำบ่นงึมงำจากผู้ที่เขาพยายามจะเอาใจว่า
“เห็นไหม...เจ้ากล้าเอ่ยชื่อของข้าว่านาไบตรงๆ ทั้งๆ ข้าอาวุโสกว่ามากมายอย่างนี้ ก็แสดงว่าเผ่าของเจ้าป่าเถื่อนจริงแหละ”
เออแน่ะ.... ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแหยๆ และขอโทษขอโพยยอมรับในความไม่มีอารยะของตน คนอะไรเรียกชื่อก็ไม่ได้ ทั้งๆ ตัวเองบอกเขาแท้ๆ ว่าชื่อนาไบ ส่วนเด็กสาวยังติดใจเรื่องชาวเผ่า
“เผ่าอะไร อยู่ส่วนไหนของประเทศนี้คะแม่เฒ่า”
“ก็เผ่ามาเคอจูลา ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพบุรุษมาแต่ยุคกำเนิดโลกและเผ่าพันธุ์โน้นสิ”
แม่เฒ่าตอบอย่างภาคภูมิใจ แต่ผู้ฟังทั้งสองยังข้องขัดไม่เข้าใจอยู่ดี อ้าปากจะซักถามเอาความให้รู้ให้ได้ว่าตอนนี้ตนกับหนุ่มโย่งหน้าเหมือนแขกขาวคนนี้ตกมาอยู่แห่งหนตำบลใดของประเทศนี้ เพื่อจะได้หาทางกลับออกไปเสียที แต่โรบินสันคิดว่าอาจเป็นการทำให้แม่เฒ่ารำคาญมากขึ้น แล้วพาลโกรธหนีไปเสียจะยิ่งแย่ เขาจึงชิงอธิบาย เพื่อนใหม่ฟังเสียก่อนว่า
“ผมก็เคยรู้มาอยู่บ้างนะครับว่า ในออสเตเลียยังมีชนพื้นเมืองเดิม ที่ชาวผิวขาวผู้มาบุกเบิกจับจองตั้งอาณานิคมเมื่อสองร้อยกว่าปีมานี้เรียกว่าชาวอะบอริจินเหลืออยู่อีกไม่น้อย” เขาเหลือบมองแม่เฒ่านิดหนึ่งเห็นฝ่ายนั้นไม่สนใจ เขาจึงได้พูดต่อเบาๆ
“พวกเขาอาศัยตามชุมชนของตน กระจัดกระจายอยู่หลายแห่งในทวีป”
“คุณเคยเห็นใช่ไหมคะ” กิ่งคำปายสนใจ
“ครับ...ก็มีบ้าง” เขาตอบไม่เต็มเสียงนัก เล่าให้เธอฟังคร่าวๆ ถึงชาวพื้นเมืองในปัจจุบันของออสเตเลียที่เขาเคยไปสัมผัสตามชุมชนแถบออสเตเลียเหนือ หลายแห่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว
“อีกอย่างนะครับ ถึงแม้ผมจะเป็นคนอังกฤษ แต่แม่ของยายทวดของผมเองก็เป็นลูกครึ่งระหว่างนักโทษชาวไอริสกับหญิงชาวอะบอริจินทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตเลีย แถบเมืองทาวส์วีลในรัฐควีนส์แลนด์ตั้งแต่ครั้งอังกฤษเนรเทศนักโทษมาบุกรุกจับจองผืนแผ่นดินนี้สองร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่ครั้นตกมาถึงรุ่นของผม ห้าชั่วคนนี่เราไม่เหลืออะไรที่บ่งบอกความเป็นชนพื้นเมืองเดิมแล้วนอกจากตำนาน เรื่องเล่าในตระกูล”
“อาจเป็นสีผมกับนัยน์ตากระมังที่เขาได้เป็นมรดกตกทอดมา” เด็กสาวนึกในใจพลางมองเขาอย่างเพ่งพิศแต่ไม่พูดออกมา ปล่อยให้ฝ่ายนั้นดื่มด่ำอยู่กับอารมณ์
“ไม่นึกว่าจะยังมีผู้คนที่มีชีวิตอยู่แบบดั้งเดิมอย่างแม่เฒ่า...นี่อยู่”
เขาละเว้นไม่เอ่ยชื่อให้ระคายเคืองหูผู้เฒ่าอีก เหลือบมองร่างเล็กๆ เหี่ยวย่นนั้นนิดหนึ่งด้วยหางตาซึ่งฝ่ายนั้นทำเป็นไม่สนใจ ค่อยๆ ผลักวอมแบตกับจิงโจ้ออกไกลตัว ลุกไปใช้ไม้ยาวๆ เขี่ยถ่านไฟให้ลุกโพลงเพิ่มความอบอุ่น เสื้อแจ๊คเก็ตเนื้อนุ่มที่เขาอุตส่าห์เสียสละถอดออกมาให้ ตอนนี้กลายเป็นเสื้อคลุมให้เจ้าวอมแบตกับจิงโจ้แม่ลูกไปเสียแล้ว มันทั้งสามซุกตัวเข้าภายในใต้ตัวเสื้อราวกับเจ้าของดั้งเดิมทีเดียว
“และ...ดินแดนแห่งมาเคอจูลาอันศักดิ์สิทธิ์นี้มันอยู่ที่ใด ส่วนไหนของทวีปอันกว้างใหญ่นี้หนอ”
เด็กสาวรำพึงกับตัวเองมองดูไฟที่เริ่มราแสง ทวดในร่างวอมแบตมองตาแป๋วจึงคว้าตัวมากอดไว้อย่างรักใคร่ จิงโจ้โมบายขี้อิจฉาทำท่าทางตลกพกลูกน้อยซุกหัวเข้ามาเบียดบ้าง โรบินสันมองดูกิริยาของสาวแปลกหน้ากับสัตว์ทั้งสามด้วยสายตาพิศวง
“ตั้งอยู่ส่วนไหนหรือ” แม่เฒ่าตอบอย่างรำคาญคนขี้สงสัยนัก “ก็ใต้ฟ้า มีดวงดาว ดวงอาทิตย์เป็นของเรา มีภูเขา แม่น้ำ และผืนป่าให้ลูกหลานของเราได้หากินสืบทอดดเผ่าพันธุ์มาเคอจูลานะซี”
นั่นเป็นคำตอบที่สองหนุ่มสาวได้แต่มองสบตากัน แล้วส่ายหน้า
“งั้นพวกที่ตีกลองเต้นรำกันอยู่ทั้งคืนนั้นก็คือชาวเผ่าของแม่เฒ่าละซี”
กิ่งคำปายเผลอปากบอกออกไป
“เจ้า....” แม่เฒ่าผงะทันทีที่เด็กสาวพูดจบ “เจ้าเห็นพวกเขาทำพิธีเคอรอบอรีหรือ...”
“เออ..ข้าได้ยินเสียงกลอง ดังแว่วมาก็เลย....”
กิ่งคำปายตอบอึกอัก วอมแบตน้อยส่งเสียงกำชับกำชามาว่า
“ระวังคำพูดหน่อยนังเหลนขี้สงสัย”
“เสียงตีกลองร้องเพลงแบบนี้ที่อีสานบ้านไทยแลนด์ของข้ามีออกเกลื่อนไปทุกฤดูกาล”
เธอกล่าวไม่เกินจริงนัก
“เอาเถอะเราคงต้องค่อยๆ คิดกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมชักจะหิวแล้วซี”
โรบินสันไกล่เกลี่ย และเปลี่ยนเรื่องเป็นการต้องเสาะหาอะไรใส่ท้องเป็นอันดับแรก ความจริงเขาอยากออกเดินสำรวจหาทางกลับสู่โลกภายนอกที่จากมาโดยเร็วนั่งเอง
“ฉันก็ไม่รู้ว่าในถิ่นนี้จะมีอะไรให้เรากินได้บ้าง”
เธอลุกขึ้นยืน บ่นพลางมองรอบกายอย่างหมดอาลัย ผืนป่ากว้างใหญ่จะมองเห็นอะไรที่น่าจะกินได้สักนิดก็ไม่มี
“ข้ารู้ที่ชายป่าโน้นมีผลเบอร์รี่มากมายอีกทั้งมดน้ำผึ้งก้นหวานอร่อยด้วย มาเถิดข้า
จะบอกเจ้าเอง”
แม่เฒ่าเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ในความรอบรู้ และเป็นเจ้าของดินแดนของตนเอง
“แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าจะเดินตามข้าไปเท่านั้น ห้ามออกนอกเขตนี้ และต้องคอยระวังอย่าโผล่ออกไปที่โล่งหากมีใครมาเห็นเข้าเราทั้งหมดอาจต้องตาย หรือถูกเนรเทศไปอยู่ยังดินแดนที่ไม่มีฟ้าไม่มีแสงตะวัน”
ว่าแล้วร่างงองุ้มก็ออกเดินนำหน้า มีสองหนุ่มสาว และสัตว์อีกสองตัวเดินตาม กิ่งคำปายดึงเอาเสื้อจากนางจิงโจ้โมบายมาห่มคลุม
“ฮึ...หวงละซี” นางแม่ลูกอ่อนแอบส่งเสียงกระซิบ ประชดประชัน
“เปล่านี่ ก็เราหนาวน่ะ”
กระซิบตอบเสียงเบาที่สุด
*****************