http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 08/05/2024
สถิติผู้เข้าชม14,066,973
Page Views16,379,353
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

วรรณกรรมเยาวชน :กิ่งคำปายกับยายทวด โดยเอื้อยนาง ตอน 9 จากดงอู่ผึ้งถึงมาเคอจูลา

วรรณกรรมเยาวชน :กิ่งคำปายกับยายทวด  โดยเอื้อยนาง ตอน 9 จากดงอู่ผึ้งถึงมาเคอจูลา

วรรณกรรมเยาวชน :กิ่งคำปายกับยายทวด

โดยเอื้อยนาง

ตอน๙. จากดงอู่ผึ้งถึงมาเคอจูลา

 

“อิ่นอ้อยหรือเจ้าอ้าย”

เจรียงทองมองสิ่งที่วาววับในกำมือใจหวนคิดระลึกถึงวันที่ได้มันมา เจ้าอ้ายราชวงศ์กำมือน้อยของนางไว้กับอกก่อนวางมันใส่ลงไป แล้วบอกว่า

“ใช่แล้ว ของรักของหวงของอ้าย เจ้าเก็บไว้ให้ดี”

 

เสียงแว่วๆ แผ่วๆ นั้นเหมือนดังลอยอยู่ในสายลม เจรียงทองมองลูกน้อยที่ตอนนี้เติบใหญ่กลายเป็นเด็กหญิงอายุห้าปีแล้ว นั่นแสดงว่าผู้ที่ให้อิ่นอ้อยแก่เธอจากไปแล้วเกือบหกปีมากกว่าอายุของเด็กน้อย ตั้งแต่ปี ๒๔๓๐ จนป่านนี้ ปี ๒๔๓๖ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา มีข่าวจากสำเภาที่เข้ามาทางเมืองแกวว่าเขาหายไปกับเหล่านักขุดทองแสวงโชค ในป่าบนภูเขาของทวีปที่เป็นเกาะใหญ่ ที่มีผู้คนมากมายจากทุกสารทิศทั่วโลก พากันบุกรุกเข้าไปทลายขุดเอาแร่ที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิต เป็นยุคตื่นทองในออสเตรเลีย

“เขาอยากได้เงินทุนมากอบกู้บ้านเมืองขับไล่ชาวต่างชาติผู้เข้ามารุกล้ำกลืนกิน

บ้านเมือง แบ่งสองฝั่งโขงออกเป็นซ้ายขวา” ผู้นำข่าวกลับมา บอกได้เพียงเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอะไรมากมายไปกว่านั้น   เจรียงทองจึงได้แต่คอยแล้วคอยเล่า ข่าวคราวก็ยังเงียบหาย

คืนวันผ่านไปอย่างเงียบเหงา วัยสาวที่ควรจะเปล่งปลั่งเริงร่ามีชีวิตชีวากลับซบเซาซีดเซียว และเริ่มโรยรากว่าเวลาอันควร คิดถึงบ้านหลังใหญ่ในเมืองอุบลดงอู่ผึ้งที่อบอุ่น คับคั่ง เต็มไปด้วยญาติพี่น้องปล้องปลายของพ่อแม่

เดือนยี่ย่างกรายเข้ามาแล้ว ที่นั่นคงอุ่นหนาฝาคั่งด้วยการเตรียมงานบุญขอบคุณบวงสรวงฟ้าแถนหากแม้นว่าเธออยู่ด้วยคงได้ช่วยเหล่าสาวๆ ทำข้าวหนม ข้าวต้ม ร้อยข้าวตอกและดอกไม้ แต่งขันหมากเบ็งบูชาฟ้าแถน พ่อเป็นหมอม้า(คนเป่าแคนในพิธีบวงสรวงบูชาเทพฟ้าพญาแถน)คงเป่าแคนเสียงแล่นแตร  ๆ   แม่เป็นนางเทียม(นางทรง) คงเข้าทรงกรายกรฟ้อนแอ่นท่ามกลางเสียงแคน เสียงลำ  เหล่านางเทียมทั้งหลายคงได้แต่งกาย แต่งหน้าสีสันฉูดฉาดสดสวย ทัดหูและคล้องคอด้วยมาลัยดอกจำปาลาวเหลืองอร่ามหอมเย็น

เดือนยี่ผ่านไปมีใบบอกมาจาก เมืองอุบลดงอู่ผึ้งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นใหญ่แห่งกรุงสยามได้ส่งข้าหลวงใหญ่ต่างพระเนตรพระกรรณมายั้ง ณ เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย หรือดงอู่ผึ้ง ทางจำปาศักดิ์จึงต้องส่งผู้คน  ช้างม้า ทาสีไพร่พลส่วนหนึ่งไปร่วมต้อนรับ และแสดงความมีน้ำใจจงรักภักดี เจรียงทองฟังข่าวนั้นด้วยความ กระหายใคร่รู้จนผู้เป็นแม่สามีสังเกตเห็น

“เจ้าคงอยากกลับบ้านพร้อมขบวนไพร่พลใช่ไหม”

เจ้าแม่แห่งนครจำปาศักดิ์ถามลูกสะใภ้ผู้เปลี่ยวเหงาอย่างเข้าใจ และแสนจะสมเพชเวทนาเจ้านัก  หน้าหมองๆ ของเจรียงทองก้มลง ไม่ยอมสบตา แต่ก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว  แต่ประกายตาก่อนก้มต่ำวาววับขึ้นมาให้ผู้ถามเห็นนิดหนึ่ง จึงเอ่ยปากอนุญาต เพราะถึงอย่างไรเจ้าราชวงศ์บุตรชายคนโตของเจ้าแม่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาจากแดนไกลอีกแล้ว

“แต่เจ้านางน้อยคำปลิวลูกเจ้านั้นต้องอยู่ที่นี่   เพราะเป็นสายเลือดคนเดียวของเจ้าราชวงศ์   แม่น้อยนี้เป็นเจ้านางแห่งจำปาศักดิ์  เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกปู่รักเขามากเจ้าก็รู้ อีกอย่างเขาไม่เหงาหรอก มีพี่น้องลูกป้าลูกอามากมายเป็นเพื่อนเล่น สักวันหนึ่งเมื่อเขาเติบใหญ่คงได้มีโอกาสไปเยือนเมืองอุบลดงอู่ผึ้งให้เจ้าได้พบหน้ากันบ้าง ไม่ต้องกลัวหรอก”

นั่นแล้วอิ่นอ้อยที่แสนรักและหวงแหนตัวแทนจากชายคนรักผู้เป็นพ่อของเจ้านางน้อยคำปลิว จึงได้บรรจุเข้าไว้ในตลับเงินที่ห้อยคอเจ้านางน้อยอยู่เป็นประจำ

“จำไว้นะลูก มันเป็นพ่อของเจ้า คู่ของมันอยู่กับพ่อที่พกไปแดนไกลด้วย  เจ้าเก็บมันไว้ให้ดีนะ คอยให้คู่ของมันกลับมาอยู่ด้วยกัน”

นั่นคือคำสั่งจากแม่ที่เจ้านางน้อยจำไว้ตลอดมา  นานตลอดชีวิตของเจ้านาง คำปลิวอิ่นอ้อยทั้งสองไม่เคยได้กลับมาอยู่คู่กันอีก   แต่มันเป็นคำมั่นสัญญาที่ต้องยึดถือ   และกลายภาระหน้าที่ ที่คำปลิวจดจำรำลึกจะต้องทำให้ได้ ให้มันได้อยู่คู่กัน ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว มันก็ยังเป็นภาระที่ต้องทำให้สำเร็จ

            .........................................................................................

 

“ไปกันเถอะจะสว่างแล้ว”  ยายทวดเอ่ยชวนอย่างรีบร้อน เมื่อแสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า และกลุ่มผู้คนที่ประกอบพิธีอยู่รอบกองไฟพากันเดินกลับที่พัก

“เดี๋ยวซีคะทวดจ๋า...หนูอยากรู้ว่าพวกเขาจะพากันไปที่ไหน และนั่นดูเหมือนว่าหนูเห็นใครบางคนที่เอาคบไฟไปให้เฒ่านาไบเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา  เธอผู้นั้นไง...”

กิ่งคำปายทำท่าเหมือนจะเดินตามกลุ่มคนที่ทยอยกันผ่านหน้าไป แต่ถูกฉุดไว้และพาลอยเลื่อน แล้วร่างก็ลอยขึ้นเหมือนขามา  โมบายที่ตามติดมาเบื้องหลังอธิบายแทนยายทวดว่า

“ตัวอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้หรอก เราต้องรีบกลับเพราะตะวันกำลังขึ้นแล้ว เค้ากับยายทวดต้องหาที่หลบตัวก็รู้”

“ใช่ เจ้าอย่าลืมสิว่าเราเป็นผี และข้าก็ยังอยากอยู่ข้างนอกไม่อยากเข้าไปสิงสถิตในตลับเงิน”

ทวดสนับสนุน กิ่งคำปายได้แต่เสียดาย  และหมายมั่นว่าจะกลับมาอีกพร้อมโรบินสันเพื่อนคนเดียวของเธอที่ไม่ใช่ผีในตอนนี้

ล่องลอยกันมาจนเกือบถึงที่หมาย  ยายทวดจึงพาดิ่งลงที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ปล่อยร่างเหลนสาวให้ก้าวเดินไปเองบนพื้นดิน

“เจ้าเดินไปเองนะ  ข้ากับโมบายต้องเข้าไปสิงในร่างของวอมแบต กับจิงโจ้ดังเดิมก่อน”

กิ่งคำปายยักไหล่ไม่คัดค้าน ทุกสิ่งที่ยายทวดตัดสินใจเธอไม่เคยคัดค้านอยู่แล้ว แม้ว่าตลับเงินจะเป็นถิ่นพำนักประจำของยายทวด แต่บางครั้งการได้อยู่ในร่างอื่นๆ  บ้างทำให้ยายทวดรู้สึกเป็นสุขกว่า  กิ่งคำปายเองก็ชอบ เธอรู้สึกว่าได้พูดจาหยอกเอินกันได้ดีกว่าเป็นเพียงวิญญาณในตลับเงินเป็นไหนๆ

แม่เฒ่านาไบกับโรบินสันนั่งกันอยู่เงียบๆ ข้างกองไฟ เมื่อกิ่งคำปายกลับมาถึงที่พักใต้ร่มไม้ใหญ่  ฟ้าสว่างขึ้นมากจนมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ชัดเจน ดอกกัม(ยูคาลิปตัส)หลากสีแย้มบานแต่งแต้มสีสันให้วันใหม่สดใสขึ้น วอมแบตน้อยกับนางจิงโจ้แม่ลูกอ่อนนอนพิงอิงแอบอยู่กับขาอันเปล่าเปลือยของแม่เฒ่านาไบ   ทั้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับการกลับมาของเด็กสาวจนเธอเผลอค้อนให้วงโต

“อ้อคุณกลับมาแล้ว ผมกำลังเป็นห่วงอยู่เชียว”

หนุ่มโย่งถอนหายใจโล่งอก ก็กิ่งคำปายเป็นเพื่อนคนเดียวในโลกของเค้าในขณะนี้ ถ้าหากไม่นับแม่เฒ่าชาวเผ่าด้วยน่ะ

“ขอโทษค่ะฉันไปทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย”

บอกเขาพลางแก้ตัวในใจว่า ไม่ได้โกหกหรอกนะ เพราะธุระส่วนตัวมันย่อมมีหลายชนิด แล้วแต่ใครจะคิดเอาเถิด เขาเองฟังแล้วก็พยักหน้าราวกับว่าเข้าใจ  และผลุน

ผลันลุกขึ้นเดินเข้าไปในป่าบ้าง เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าต้องจัดการกับตัวเองเหมือนกัน

            “แม่เฒ่าล่ะคะ ไม่จัดการกับตัวเองบ้างหรือ”

            เฒ่านาไบยิ้มอวดฟันสองสามซี่ พลางทำไม้ทำมือบอกให้รู้ว่าแกเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวเพิ่งได้เพ่งพิศรูปร่าง หน้าตาของแกอย่างชัดเจนใกล้ชิด เพราะเมื่อแรกที่ได้พบกันนั้นเป็นเวลามืดค่ำแล้ว

            ผิวหนังอันเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าดำคล้ำ และถูกเคลือบทาด้วยอะไรบางอย่างที่มีสี

เหลือบแดงปนเทามันอาจจะคล้ายกับที่ยายสร้อยสายคำของเธอทาขมิ้นผสมกับมะขามเปียก เพื่อประเทืองผิวให้เหลืองอร่าม กระมัง  เพียงแต่มีสีที่แตกต่าง และความหนาเตอะจนดูคล้ายกับเป็นผิวหนังอีกชั้นหนึ่งที่ช่วยห่อหุ้มหนังกำพร้าแท้จริงไว้จากสิ่งภายนอก เหตุนี้กระมังแม่เฒ่าจึงยังเปลือยกายได้เฉยเลยในอากาศค่อนข้างเย็น และนั่งนอนบนเปลือกไม้ใบไม้ไม่มีแม้เสื่อสักผืนปูรองอย่างนี้

เช่นเดียวกับผมสั้นกุดสีดอกเลาที่ถูกพอกด้วยน้ำมันผสมผงถ่านและดินโคลนสี

แดงจนแข็งทื่อ   ผิวกายของแม่เฒ่ามีแผลเป็นมากมายหลายแห่งจนลายพร้อย บ้างเป็นเส้นคล้ายถูกขุดขีดจากสิ่งแหลมคม บ้างด่างพร้อยคล้ายรอยถูกไฟไหม้ ที่หว่างอก แผ่นหลังและสะโพกนั้น มีเส้นโค้งครึ่งวงกลมเหมือนพระจันทร์เสี้ยวเกิดขึ้นหลายเส้นเหมือนรอยสักที่จงใจทำเพื่อความสวยงามประดับร่างกาย    หรืออาจมีความหมายอื่นๆ แฝงอยู่

แม้ตอนนี้จะมีเสื้อแจ็คเก็ตตัวโคร่งจากโรบินสัน  แต่ดูเหมือนนาไบจะไม่ใส่ใจว่าจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อห่อหุ้ม ปิดบังร่างกายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามดูเหมือนมันเป็นส่วนเกินให้แกต้องเกาหยุกหยิก ดึงโน่นดึงนี่ของมันตลอดเวลาอย่างไม่เป็นสุขนัก ที่สุดแกก็ถอดมันออกกองไว้กับวอมแบตน้อยซึ่งต้อนรับด้วยการทำเสียงอี๊ดๆ  อย่างพออกพอใจที่ได้ซุกตัวเข้าหาความอบอุ่น

                                

ไม่นานนักหนุ่มโย่งก็กลับมาพร้อมโถเปลือกไม้ของมามิริ บรรจุน้ำใสแจ๋วเต็มมเปี่ยมมายื่นให้ผู้ชราก่อน แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธเขาจึงเปลี่ยนส่งมาให้กิ่งคำปาย ซึ่งรับมาไว้อย่างแสนดีใจ พลางขอบคุณไม่ขาดปาก ในป่าใหญ่เปล่าเปลี่ยวอย่างนี้ ดูเหมือนน้ำคือนสิ่งจำเป็นสิ่งแรกของคนเรา แต่เฒ่านาไบกลับปฏิเสธพลางมองสองหนุ่มสาวด้วยสายตาแปลกใจ ไม่น่าเชื่อ

“ผู้ชายตักน้ำมาให้ผู้หญิงหรือ ข้าไม่เคยเห็น”

            แกถามเสียงแหลมสูงพลางทำสีหน้าบ่งบอกว่าแปลกใจนักหนา

“ทำไมไม่ได้เล่า”

สองหนุ่มสาวกลับแปลกใจมากกว่า เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของแม่เฒ่า

“ก็....การตักน้ำเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเท่านั้น ผู้หญิงต้องตื่นแต่เช้าก่อนแสงตะวันนเพื่อไปตักน้ำมาให้ทันก่อนผู้ชายตื่นนอนในตอนเช้า เจ้าไม่ตักน้ำละสิ ปู่ฟ้าจะต้องไม่

ชอบเจ้าแน่”

ประโยคหลังเจาะจงพูดกับกิ่งคำปายพลางมองอย่างตำหนิ

“ไปตักน้ำหรือ ที่บ้านแม่เฒ่าไม่มี...ก๊อกน้ำ...”

กิ่งคำปายพูดได้เพียงเท่านั้น โรบินสันก็ชิงตัดบทขึ้นว่า

“ไม่หรอกแม่เฒ่า ที่บ้านของเราไม่มีอะไรที่เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เราต่างช่วยกันทำทุกอย่างเท่าที่จะช่วยกันได้น่ะครับ”

“คงเป็นเผ่าป่าเถื่อนละซี”

“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ นาไบ”

ชายหนุ่มคิดถึงคนในสังคมที่ตนเองเพิ่งจากมา และคล้อยตามแม่เฒ่าอย่างจะเอาใจมากกว่า แต่กลับถูกค้อนคว่ำบ่นงึมงำจากผู้ที่เขาพยายามจะเอาใจว่า

“เห็นไหม...เจ้ากล้าเอ่ยชื่อของข้าว่านาไบตรงๆ  ทั้งๆ  ข้าอาวุโสกว่ามากมายอย่างนี้ ก็แสดงว่าเผ่าของเจ้าป่าเถื่อนจริงแหละ”

เออแน่ะ.... ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแหยๆ และขอโทษขอโพยยอมรับในความไม่มีอารยะของตน คนอะไรเรียกชื่อก็ไม่ได้ ทั้งๆ  ตัวเองบอกเขาแท้ๆ  ว่าชื่อนาไบ  ส่วนเด็กสาวยังติดใจเรื่องชาวเผ่า

“เผ่าอะไร อยู่ส่วนไหนของประเทศนี้คะแม่เฒ่า”

“ก็เผ่ามาเคอจูลา ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพบุรุษมาแต่ยุคกำเนิดโลกและเผ่าพันธุ์โน้นสิ”

แม่เฒ่าตอบอย่างภาคภูมิใจ แต่ผู้ฟังทั้งสองยังข้องขัดไม่เข้าใจอยู่ดี อ้าปากจะซักถามเอาความให้รู้ให้ได้ว่าตอนนี้ตนกับหนุ่มโย่งหน้าเหมือนแขกขาวคนนี้ตกมาอยู่แห่งหนตำบลใดของประเทศนี้ เพื่อจะได้หาทางกลับออกไปเสียที แต่โรบินสันคิดว่าอาจเป็นการทำให้แม่เฒ่ารำคาญมากขึ้น แล้วพาลโกรธหนีไปเสียจะยิ่งแย่ เขาจึงชิงอธิบาย เพื่อนใหม่ฟังเสียก่อนว่า

“ผมก็เคยรู้มาอยู่บ้างนะครับว่า ในออสเตเลียยังมีชนพื้นเมืองเดิม ที่ชาวผิวขาวผู้มาบุกเบิกจับจองตั้งอาณานิคมเมื่อสองร้อยกว่าปีมานี้เรียกว่าชาวอะบอริจินเหลืออยู่อีกไม่น้อย” เขาเหลือบมองแม่เฒ่านิดหนึ่งเห็นฝ่ายนั้นไม่สนใจ เขาจึงได้พูดต่อเบาๆ

“พวกเขาอาศัยตามชุมชนของตน กระจัดกระจายอยู่หลายแห่งในทวีป”

“คุณเคยเห็นใช่ไหมคะ” กิ่งคำปายสนใจ

“ครับ...ก็มีบ้าง” เขาตอบไม่เต็มเสียงนัก เล่าให้เธอฟังคร่าวๆ ถึงชาวพื้นเมืองในปัจจุบันของออสเตเลียที่เขาเคยไปสัมผัสตามชุมชนแถบออสเตเลียเหนือ หลายแห่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว

“อีกอย่างนะครับ ถึงแม้ผมจะเป็นคนอังกฤษ แต่แม่ของยายทวดของผมเองก็เป็นลูกครึ่งระหว่างนักโทษชาวไอริสกับหญิงชาวอะบอริจินทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตเลีย แถบเมืองทาวส์วีลในรัฐควีนส์แลนด์ตั้งแต่ครั้งอังกฤษเนรเทศนักโทษมาบุกรุกจับจองผืนแผ่นดินนี้สองร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่ครั้นตกมาถึงรุ่นของผม  ห้าชั่วคนนี่เราไม่เหลืออะไรที่บ่งบอกความเป็นชนพื้นเมืองเดิมแล้วนอกจากตำนาน เรื่องเล่าในตระกูล”

“อาจเป็นสีผมกับนัยน์ตากระมังที่เขาได้เป็นมรดกตกทอดมา”  เด็กสาวนึกในใจพลางมองเขาอย่างเพ่งพิศแต่ไม่พูดออกมา ปล่อยให้ฝ่ายนั้นดื่มด่ำอยู่กับอารมณ์

“ไม่นึกว่าจะยังมีผู้คนที่มีชีวิตอยู่แบบดั้งเดิมอย่างแม่เฒ่า...นี่อยู่”

เขาละเว้นไม่เอ่ยชื่อให้ระคายเคืองหูผู้เฒ่าอีก เหลือบมองร่างเล็กๆ เหี่ยวย่นนั้นนิดหนึ่งด้วยหางตาซึ่งฝ่ายนั้นทำเป็นไม่สนใจ ค่อยๆ  ผลักวอมแบตกับจิงโจ้ออกไกลตัว ลุกไปใช้ไม้ยาวๆ  เขี่ยถ่านไฟให้ลุกโพลงเพิ่มความอบอุ่น เสื้อแจ๊คเก็ตเนื้อนุ่มที่เขาอุตส่าห์เสียสละถอดออกมาให้ ตอนนี้กลายเป็นเสื้อคลุมให้เจ้าวอมแบตกับจิงโจ้แม่ลูกไปเสียแล้ว  มันทั้งสามซุกตัวเข้าภายในใต้ตัวเสื้อราวกับเจ้าของดั้งเดิมทีเดียว

“และ...ดินแดนแห่งมาเคอจูลาอันศักดิ์สิทธิ์นี้มันอยู่ที่ใด ส่วนไหนของทวีปอันกว้างใหญ่นี้หนอ”

เด็กสาวรำพึงกับตัวเองมองดูไฟที่เริ่มราแสง ทวดในร่างวอมแบตมองตาแป๋วจึงคว้าตัวมากอดไว้อย่างรักใคร่  จิงโจ้โมบายขี้อิจฉาทำท่าทางตลกพกลูกน้อยซุกหัวเข้ามาเบียดบ้าง โรบินสันมองดูกิริยาของสาวแปลกหน้ากับสัตว์ทั้งสามด้วยสายตาพิศวง

“ตั้งอยู่ส่วนไหนหรือ” แม่เฒ่าตอบอย่างรำคาญคนขี้สงสัยนัก “ก็ใต้ฟ้า  มีดวงดาว  ดวงอาทิตย์เป็นของเรา  มีภูเขา แม่น้ำ และผืนป่าให้ลูกหลานของเราได้หากินสืบทอดดเผ่าพันธุ์มาเคอจูลานะซี”

นั่นเป็นคำตอบที่สองหนุ่มสาวได้แต่มองสบตากัน  แล้วส่ายหน้า

“งั้นพวกที่ตีกลองเต้นรำกันอยู่ทั้งคืนนั้นก็คือชาวเผ่าของแม่เฒ่าละซี”

กิ่งคำปายเผลอปากบอกออกไป

“เจ้า....” แม่เฒ่าผงะทันทีที่เด็กสาวพูดจบ  “เจ้าเห็นพวกเขาทำพิธีเคอรอบอรีหรือ...”

“เออ..ข้าได้ยินเสียงกลอง ดังแว่วมาก็เลย....”

กิ่งคำปายตอบอึกอัก  วอมแบตน้อยส่งเสียงกำชับกำชามาว่า

“ระวังคำพูดหน่อยนังเหลนขี้สงสัย”

“เสียงตีกลองร้องเพลงแบบนี้ที่อีสานบ้านไทยแลนด์ของข้ามีออกเกลื่อนไปทุกฤดูกาล”

เธอกล่าวไม่เกินจริงนัก

“เอาเถอะเราคงต้องค่อยๆ คิดกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมชักจะหิวแล้วซี”

                            

โรบินสันไกล่เกลี่ย และเปลี่ยนเรื่องเป็นการต้องเสาะหาอะไรใส่ท้องเป็นอันดับแรก ความจริงเขาอยากออกเดินสำรวจหาทางกลับสู่โลกภายนอกที่จากมาโดยเร็วนั่งเอง

“ฉันก็ไม่รู้ว่าในถิ่นนี้จะมีอะไรให้เรากินได้บ้าง”

เธอลุกขึ้นยืน บ่นพลางมองรอบกายอย่างหมดอาลัย ผืนป่ากว้างใหญ่จะมองเห็นอะไรที่น่าจะกินได้สักนิดก็ไม่มี

“ข้ารู้ที่ชายป่าโน้นมีผลเบอร์รี่มากมายอีกทั้งมดน้ำผึ้งก้นหวานอร่อยด้วย มาเถิดข้า

จะบอกเจ้าเอง”

แม่เฒ่าเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ในความรอบรู้ และเป็นเจ้าของดินแดนของตนเอง

“แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าจะเดินตามข้าไปเท่านั้น ห้ามออกนอกเขตนี้ และต้องคอยระวังอย่าโผล่ออกไปที่โล่งหากมีใครมาเห็นเข้าเราทั้งหมดอาจต้องตาย หรือถูกเนรเทศไปอยู่ยังดินแดนที่ไม่มีฟ้าไม่มีแสงตะวัน”

ว่าแล้วร่างงองุ้มก็ออกเดินนำหน้า มีสองหนุ่มสาว และสัตว์อีกสองตัวเดินตาม กิ่งคำปายดึงเอาเสื้อจากนางจิงโจ้โมบายมาห่มคลุม

“ฮึ...หวงละซี” นางแม่ลูกอ่อนแอบส่งเสียงกระซิบ ประชดประชัน

“เปล่านี่  ก็เราหนาวน่ะ”

กระซิบตอบเสียงเบาที่สุด

*****************

Tags : กิ่งคำปายกับยายทวด เอื้อยนาง วรรณกรรมเยาวชน

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view